Spiga

เฟดฉีด 1.8 แสนล้านเหรียญกู้วิกฤติการเงิน

ทุ่ม 1.8 แสนล้านเหรียญกู้วิกฤติ! [20 ก.ย. 51 - 04:06]

หลังวิกฤติ “แฮมเบอร์เกอร์” ที่ลุกลามไปยังตลาดหุ้นตลาดทุนทั่วโลกส่งผลให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ต้องงัดมาตรการฉุกเฉินในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดเงินขนานใหญ่เพื่อปกป้องผลกระทบของความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นล่าสุดตลาดหุ้นทั่วโลกได้ผ่อนคลายความกังวลกับวิกฤติการเงินของสหรัฐฯแล้ว หลังสหรัฐฯเตรียมตั้งกองทุนเพื่อดูแลหนี้เสียในภาคการเงินซึ่งคาดว่าจะช่วยบรรเทาวิกฤติการเงินที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีลงได้

ปัดฝุ่นมาตรการเก่าดับวิกฤติ

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สภาคองเกรส สหรัฐฯเปิดเผยว่านายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐฯกำลังเตรียมมาตรการรับมือกับความผันผวนในระบบการเงินของสหรัฐฯที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วโลกด้วยการยื่นข้อเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อจัดตั้งองค์กรแห่งหนึ่งขึ้นมาเพื่อจัดการกับหนี้เสียหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่ยังคงมีอยู่ในระบบการเงิน

ทั้งนี้ แนวทางการจัดตั้งองค์กรจัดการกับหนี้เสียดังกล่าว เป็นแนวคิดเดียวกับบรรษัท Resolution Trust Corp หรือ RTC ที่สหรัฐฯเคยจัดตั้งขึ้นในช่วงปี 1989 เพื่อจัดการกับหนี้เสียที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจจากการทรุดตัวลงของอุตสาหกรรมเงินออมและเงินกู้ของสหรัฐฯ

นายบารัก โอบามา ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ออกโรงเรียกร้องให้ ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด และกระทรวงการคลังสหรัฐฯดำเนินมาตรการฉุกเฉินเพื่อให้สินเชื่อไหลเข้าสู่ตลาดที่อยู่อาศัยที่ประสบปัญหา โดยระบุว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยหยุดยั้งวิกฤตการณ์ที่ลุกลามในตลาดการเงินได้

เฟดฉีด 1.8 แสนล้านเหรียญ

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ได้อัดฉีดเงินกว่า 2 ล้านล้านเยนเข้าสู่ตลาดเงินในเช้าวันนี้และนับเป็นวันที่ 4 ที่มีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดเงินเพื่อหยุดยั้งผลกระทบที่เกิดขึ้น

ขณะที่ธนาคารกลางออสเตรเลียได้เพิ่มวงเงินอีก 2,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียหรือกว่า 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯในการทำธุรกรรมข้อตกลงซื้อคืนพันธบัตร พร้อมทำการระบายเม็ดเงินอีกกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียผ่านการสวอปอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้ดุลบัญชีของธนาคารพาณิชย์กับธนาคารกลางอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6,970 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย

ด้านธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) ได้อัด ฉีดเงินเงินสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 180,000 ล้านเหรียญฯเพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์ในตลาดหุ้นดังกล่าว ทั้งนี้ นายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐฯ และนายเบน เบอร์นันเก ประธานเฟดได้ร่วมกันเปิดเผยว่าจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการพิจารณาแผนการจัดการสินทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่อง

“สิ่งนี้สร้างความผ่อนคลายในตลาดซึ่งจะทำให้สามารถจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้อย่างเป็นระบบและช่วยเหลือภาคธนาคารในการกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง”


นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯได้ออกโรงเรียกร้องให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ดำเนินการอย่างเป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรับมือกับภาวะผันผวนในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยนางเพโลซีระบุในจดหมายที่มีไปถึงประธานาธิบดีบุชว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสหรัฐฯขณะนี้จำเป็นต้องได้รับความพยายามอย่างยิ่งยวดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากความร่วมมือทั้งพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน และสภาคองเกรสพร้อมจะพิจารณาร่างกฎหมายที่สำคัญหลังกำหนดพักสมัยประชุมในวันที่ 26 ก.ย.นี้

ขณะที่หน่วยงานควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐฯได้มีการหารืออย่างใกล้ชิดกับอังกฤษในการปราบปรามการทำช็อตเซลที่สร้างความเสียหายต่อตลาด โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต.ของสหรัฐฯได้ออกคำสั่งฉุกเฉินระงับการทำช็อตเซลเป็นการชั่วคราวสำหรับหุ้นของสถาบันการเงิน 799 แห่ง เพื่อปกป้องนักลงทุนและตลาดการเงิน เช่นเดียวกับสำนักงานบริการการเงินของอังกฤษ (FAS) ก็ได้ ประกาศห้ามการทำช็อตเซลหุ้นกลุ่มการเงินเป็นการชั่วคราว โดยจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 4 เดือน

หุ้นทั่วโลกขานรับพุ่งกระฉูด

ส่วนรัฐบาลจีนกำลังพยายามสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดโดยเข้าซื้อหุ้นของธนาคารขนาดใหญ่สุด 3 แห่งของรัฐและยกเลิกภาษีการซื้อหุ้นส่งผลให้ดัชนีคัมโพสิตของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นกว่า 9.3% ในวันนี้หลังจากที่ก่อนหน้าปรับลดลงในระดับต่ำสุดในรอบ 22 เดือน

ด้านราคาหุ้นในตลาดเอเชีย และตลาดหุ้นทั่วโลกรวมต่างขานรับมาตรการฉุกเฉินในการแก้ ปัญหาวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ครั้งนี้ โดยดัชนีฮั่งเส็งของตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่งขึ้น 7.1% จากแรงหนุนของหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินที่ฟื้นตัว ขณะนี้หุ้นของธนาคารอินดัสเตรียลแอนด์คอมเมอร์เชียลแบงก์ออฟไชน่า ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของจีน และมีหุ้นจดทะเบียนในฮ่องกงพุ่งขึ้นถึง 15%

ส่วนดัชนีนิเคอิ ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นทะยานขึ้น 2.65% หลังจากดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี วันก่อน โดยหุ้นมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไพแนนเชียลซึ่งเป็นธนาคารอันดับ 1 ของญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 9.2% หลังจากผันผวนมาตลอดห้วงสัปดาห์

หุ้นไทยเด้งตามต่างชาติแห่ซื้อ

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรงจากแรงซื้อที่กลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มหลักๆของตลาดนำโดยหุ้นแบงก์และพลังงานส่งผลให้ดัชนีพุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 628.64 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ระดับ 624.83 จุด บวก 24.45 จุด หรือเพิ่มขึ้น 4.07% ขณะที่มีมูลค่าการซื้อขาย 18,183 ล้านบาท ต่างชาติพลิกกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิ 1,406 ล้านบาท

ทั้งนี้ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า เหตุที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นการตอบรับข่าวดีในการร่วมมือกันของธนาคารกลางทั่วโลกในการอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดเงิน รวมทั้งการที่สหรัฐฯมีการจัดตั้งองค์กรเพื่อดูแลหนี้เสียของสถาบันการเงินจึงเป็นปัจจัยบวกให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ ตลาดหุ้นไทยขณะนี้มีความอ่อนไหวเหวี่ยงตัวตามตลาดหุ้นต่างประเทศโดยหากมีข่าวดีหุ้นก็จะขึ้นหรือมีข่าวร้ายหุ้นก็จะปรับตัวลง โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงติดตามการแก้ปัญหาซับไพร์มรวมถึงผลกระทบต่อสถาบันการเงินสหรัฐฯ และทั่วโลกอย่างใกล้ชิด

นางภัทรียายังได้ชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ย.51 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ได้มีการหยุดการซื้อขายแต่อย่างไร โดยมีการเปิดการซื้อขายเป็นไปตามปกติ.


0 ความคิดเห็น: