Spiga

Love in Spring: รักในฤดูใบไม้ผลิ


Image: Pino Daeni - Love

Love is like a flower
Such beauty shines so true
It warms my heart and makes me smile
When I think of only you.

Love is like a bloom in spring
That grows and colors hearts
I saw this special love in you
And I hope we never apart.

S.A.
2006


๑ ใน ๑๖ ล้านเสียงนี้ขอมอบให้แด่ พ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตร

ในทางรัฐศาสตร์นัยสำคัญของตัวเลขจากผลการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยถือว่ามีความสำคัญมากค่ะเนื่องเพราัะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้น้ำหนักกับตัวเลขที่วัดจากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา๒๐๑ ได้ระบุไว้ว่า "นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งโดยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร" พรรคที่ได้จำนวน ส.ส. สูงสุดก็จะมีโอกาสเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า ความสำคัญของตัวเลขก็เกิดขึ้นทันที การที่ท่านนายกฯทักษิณได้กล่าวย้ำเตือนถึงความสำคัญของตัวเลข ๑๖ ล้านเสียง หรือ ๑๙ ล้านเสียงให้นักวิพากษ์วิจารณ์ฟังจึงเป็นการกล่าวที่ถูกต้องและชอบด้วยกฏหมายด้วยประการทั้งปวงค่ะ สำหรับผู้เขียนแล้วนายกรัฐมนตรีที่สง่างามต้องมาจากประชาชนเท่านั้นค่ะ

อย่างที่หลายๆคนคงจะทราบจากข่าวแล้วว่า ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรทั่วประเทศ ในปี ๒๕๔๙ ทั้งแบบบัญชีราชชื่อ (party list) และแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง (ส.ส.เขต) ก็ปรากฏผลออกมาแล้วค่ะ จากการรายงานสรุปคะแนนเลือกตั้งของกระทรวงมหาดไทยมีรายละเอียดสรุปย่อดังนี้:

ในระบบบัญชีรายชื่อ(ปาร์ตี้ลิสต์) โดยให้เลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งบัญชีเดียว และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง

- คะแนนของพรรคไทยรักไทย ในระบบบัญชีรายชื่อ ได้คะแนนทั้งสิ้น: 16,246,368 คะแนน
- จำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใคร(No Vote) ในระบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้งสิ้น: 8,399,144 บัตร
- ยอดผู้ใช้สิทธิ์ทั่วประเทศทั้งสิ้น: 28,765,506 คน

จากผลการเลือกตั้งข้างบนสรุปได้ว่าพรรคไทยรักไทยได้คะแนนแบบบัญชีรายชื่อ คิดเป็น 60.1 % ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด (คิดจากบัตรดีทั้งหมด)

ส่วนในระบบแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละหนึ่งคน

- คะแนนของพรรคไทยรักไทย ในระบบแบบแบ่งเขตทั่วประเทศพรรคไทยรักไทยได้ทั้งหมดรวม: 15,387,223 คะแนน
- จำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครในระบบแบ่งเขตรวมทั้งสิ้น: 9,207,230 บัตร
- ยอดผู้ใช้สิทธิ์ทั่วประเทศทั้งสิ้น: 28,765,506 คน

จากผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตสรุปได้ว่าพรรคไทยรักไทยได้คะแนนแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง(ส.ส.เขต) คิดเป็น 57 % ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด (คิดจากบัตรดีทั้งหมด)

จากผลการเลือกตั้งที่ออกมาในครั้งนี้ผู้เีขียนต้องขอแสดงความยินดีกับ สมาชิกพรรคไทยรักไทยและพ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตร นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่น้ำใจนักกีฬาคนนี้ด้วยค่ะที่ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งทั่วประเทศได้อย่างสง่างาม ครองใจมติมหาชน 16 ล้านเสียงท่ามกลางแรงเสียดทานจากหลายๆปัจจัยไม่ว่าจะเป็น:

1. ในสภาวะการการเมืองที่ไม่นิ่งตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากการชุมนุมขับไล่ท่านนายกฯทักษิณของกลุ่มพันธมิตรประชาชนฯ แต่พรรคไทยรักไทย และนายกฯทักษิณก็ยังคงไ้ด้รับความยินยอมและความไว้วางใจจากประชาชนถึง 16 ล้านเสียงมากกว่าจำนวนผู้ประสงค์ไม่ลงคะแนน(No Vote) กว่าเท่าตัวซึ่งคะแนน No Vote ในครั้งนี้มีประมาณ 8 ล้านเสียง

ซึ่งจริงๆช่อง "ไม่ประสงค์ลงคะแนนหรือ No Vote" ก็คือ การรวมตัวกันของฐานเสียงพรรค ปชป. + ชาติไทย + มหาชน + พรรคอื่นๆ + ผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้พรรคใดทั้งสิ้น (อาจจะเกลียดนายกฯ และเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับม็อบพันธมิตรฯ) ในรูปแบบของการงดออกเสียงเท่านั้นเองค่ะ

การเลือกตั้งเมื่อปี 2548 มีประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ประมาณ 32 ล้านคน โดยการเลือกตั้งในครั้งนั้น พรรค ปชป. + ชาติไทย + มหาชน + พรรคอื่นๆ + ผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนได้ มา 13.6 ล้านเสียง มาถึงการเลือกตั้งในครั้งนี้มีผู้ออกไปใช้สิทธิ์ประมาณ 28 ล้านคน พรรคไทยรักไทยได้ 16 ล้านเสียง หายไปประมาณ 2 ล้านเสียง แต่พรรคอื่นในรูปแบบการงดออกเสียงเหลือ 8 ล้านเสียง หายไปมากกว่า เพราะในภาพรวมผู้มาใช้สิทธิ์น้อยลงกว่าเดิม 4 ล้านคน คะแนนเสียงของพรรคไทยรักไทยจึงหายไปเพียงแค่ 2.8 ล้าน และหากนำคะแนนเสียงไม่เลือกใครในปีนี้ที่คิดเป็น 31 % ไปเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ที่ คะแนนพรรค ปชป. + ชาติไทย + มหาชน + No Vote + พรรคอื่นๆ รวมทั้งสิ้นคิดเป็น 34% ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดนั้น เทียบกับคะแนนเสียงไม่เลือกใครในปีนี้ยังถือว่าสูงกว่่าด้วยซ้ำไปค่ะ

2. ก่อนการเลือกตั้งในครั้งนี้ท่านนายกฯต้องเผชิญกับ การทำสงครามกับสื่อไทยที่ไร้จรรยาบรรณหลายสำนักที่ช่วยกันในการประโคมข่าวซึ่งมีแต่ข้อกล่าวหา การปล่อยข่าวลือ รวมทั้งการเต้าข่าว กุข่าวอย่างไม่ขาดสาย ผู้เขียนเห็นด้วยกับคำสัมภาษณ์ของท่านนายกฯ กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้มากค่ะเมื่อนักข่าวคนหนึ่งยิงคำถามเรื่องความแตกแยกในสังคมไทยที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวตอบไปว่า:

" ... ต้องขอร้องให้สื่อช่วยให้ความสมดุลในการนำเสนอข่าว หากยังมุ่งเน้นเรื่องการขายสินค้า ตนรู้ว่ายอดขายของสื่อดีขึ้น ต้องการนำเสนอภาพการประท้วงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอยากให้ทุกคนหันกลับมามอง ต้องดูว่าชาติบ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไร ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย"

และหากเราหาเหตุแห่ง "ต้นตอการสร้างความร้าวฉานในสังคม" ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อย่่างมีสติ เราจะเห็นได้ชัดเจนค่ะว่ามันมีต้นตอมาจาก "สื่อที่ไร้จรรณยาบรรณ" นั่นเองค่ะ เหมือนที่นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งได้เคยเขียนบทความเรื่อง "ผู้ร้ายทางข่าว" ไว้ว่า "ผู้เขียนข่าว" เปรียบเหมือนผู้เนรมิต ถ้าเขียนข่าวออกมาในข้อเท็จจริง เรียกว่าผู้เนรมิตของจริง แต่ถ้าเขียนในลักษณะที่บิดเบือนข้อเท็จจริง คือประเภทเขียนระบายสี ก็เรียกว่าเนรมิตบิดเบือนข้อเท็จจริง. การสกู๊ปข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริงจากขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวนั้นมีประจำและการเขียนข่าวที่ให้สัมภาษณ์อย่างหนึ่ง แต่กลับไปเขียนอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถูกต่อว่าต่อขานจากผู้ให้สัมภาษณ์มีอยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นเรื่องที่ระอากันทั่ว ๆ ไป นี่ก็เป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้วงการหนังสือพิมพ์ของไทยเราด้อยศักดิ์ศรีลงไปมาก ที่เป็นเช่นนี้ก็พอสันนิษฐานได้ว่าการไม่มีจรรยาบรรณคุ้มครองการมี "อคติ" เป็นเจ้าเรือน การเกลียดใครชังใครไม่ชอบใจใครเป็นส่วนตัว เมื่อมีปากกาอยู่ในมือเขียนข่าวบิดเบือนตามอารมณ์ของคนเขียนจึงไม่ส่งผลดีกับสังคมแน่นอน ทำให้ประโยชน์ส่วนใหญ่เสียหายไปด้วย ผลสุดท้ายสถาบันอันสำคัญนี้ก็มีแต่ง่อนแง่คลอนแคลน ไม่มีใครเชื่อถือ "

นี่จึงอาจกล่าวได้ว่า ปากกานั้นร้ายกว่าหอกปลายปืนหากผู้ที่ถือปากกาไม่ใช้ปากกานั้นด้วยความรับผิดชอบ

3. การประกาศคว่ำบาตรไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อต้องการให้สภาตกอยู่ในสภาวะสูญญากาศ หลังการเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมษายน

4. ก่อนการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์นำโดย 'อภิสิทธิ์-ชวน' หนีกระเจิง ถูกชาวเชียงใหม่บางกลุ่มโห่ไล่ หลังจากขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีพรรคไทยรักไทยอย่างหนักหน่วง เหตุความวุ่นวายที่เชียงใหม่นี้เมื่อมองอีกมุม อาจเป็นการเดินเกมส์ทางการเมืองไว้อย่างแนบเนียนของ พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ค่ะ เพื่อสร้างความไม่พอใจให้กับคนทางภาคใต้ที่นิยมพรรคประชาธปัตย์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพื่อสกัดเงื่อนไขผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 20% กรณีมีผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยลงสมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว

5. การวิพากษณ์วิจารณ์หรือโจมตีแนวทางบริหารงานของพรรคไทยรักไทยและแนวความคิดทางการเมือง ของนายกฯทักษิณของนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ราษฎรอาวุโสบางส่วนที่ต่อต้าน "ระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์" อย่างหนักหน่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากนี้บรรดานักวิชาการเหล่านี้ยังได้สูญเสียสถานภาพและความน่าเชื่อจากรัฐบาลชุดนี้มากทีเดียว เพราะรัฐบาลไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่ไม่ให้ความสำคัญนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยมากไปกว่าทีมที่ปรึกษาและทีมวิจัยของรัฐบาลเอง

จะเห็นได้ว่าถึงแม้การเลือกตั้งทีผ่านมาจะมีกระแสต่อต้านจากคนส่วนหนึ่ง แทบทุกสื่อรุมด่าแต่รัฐบาลนายกฯทักษิณและพรรคไทยรักไทยก็ยังได้รับความไว้วางใจจากประชาชนไทยมากถึง 16 ล้านเสียง หรือ 60.1% ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยค่ะ อาจกล่าวได้ว่าน่าอัศจรรย์เสียด้วยซ้ำทั้งที่ยืนเป็นกระสอบทรายให้ต่อยมานานหลายเดือน

ผลจากการเลือกตั้งในครั้งนี้จึงเสมือนกับเป็น "การลงประชามติของประชาชน" ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยว่า มติมหาชนส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า:

- พวกเขาต้องการชี้ให้เห็นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยมิใช่ของคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ปฏิเสธกฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย
- พวกเขายังเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย
- ต้องการให้ พ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตรกลับเข้ามาเป็นผู้นำรัฐนาวา เดินหน้าปฎิรูปการเมือง และบริหารประเทศต่อไปเหมือนเดิม
- ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอันเป็นที่มาของความขัดแย้ง
- ต้องการให้บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะสงบสุขและสันติโดยเร็วที่สุด
- ต้องการนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
- ไม่เห็นด้วยกับพรรคฝ่ายค้านที่คว่ำบาตรการเลือกตั้ง และพยายามขัดขวางการเลือกตั้งไม่ให้เกิดขึ้น
- ไม่เห็นด้วยกับสื่อที่คอยชี้นำว่าการเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมษาไม่มีวันเกิดขึ้น
- ไม่เห็นด้วยกับพวกนักวิชาการที่เดินสวนทางกับระบอบประชาธิปไตยที่สบประมาทเสียงของคนไทยทั่วประเทศว่าไม่มีความหมาย

มาถึงตรงนี้ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ เมษายนที่ผ่านมาก็ผ่านลุล่วงไปไ้ด้ด้วยดีแม้ฝ่ายต่อต้านจะไม่ต้องการให้เกิดขึ้น การเลือกตั้งในครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งค่ะว่า ท่านนายกฯทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ได้สรรสร้างแนวทางใหม่ๆให้กับสังคมไทย และยึดมั่นในระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่พรรคการเมืองหนึ่งเดินตามครรลองแห่งรัฐธรรมนูญได้รักษาและยึดมั่นในแนวทางนี้อย่างมั่นคง โดยไม่หวั่นไหวต่อการกระทำไดๆทั้งสิ้น ไม่เลือกใช้ "วิธีการนอกระบบ" เหมือนกับพรรคการมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งที่ตีตราให้ตัวเองว่า "เราเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา"

ท่านนายกฯทักษิณได้รับเีสียงท่วมท้น ๑๖ ล้านเสียงอย่างที่ไม่เคยมีอดีตนายกฯไทยคนใดได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเท่านี้มาก่อนเ็ป็น "ชัยชนะที่สง่างาม" ของท่านจริงๆค่ะ

มาวันนี้ พ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศเว้นวรรคทางการเมืองจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกระบวนการสรรหาที่จะมีขึ้น ในสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ เพื่อให้สถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง คลี่คลาย และต้องการให้งานเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชสมบัติครบ 60 ปีดำเนินไปอย่างราบรื่นเพื่อร่วมกันถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้นว่าพรรคไทยรักไทยของท่านได้รับ ความยินยอมและความไว้วางใจจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยความถูกต้องและชอบธรรมตามครรลองแห่งรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยที่ท่านสมควรจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่ท่านก็ต้องจำยอมสละ "หลักการอันถูกต้อง" เพื่อให้เกิดความสงบสุข ความสมานฉันท์และความปรองดองขึ้นภายในบ้านเมือง การเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน คือ ความหมายของการปกครองโดยแท้

การประกาศเว้นวรรคทางการเมืองของท่านนายกฯทักษิณในครั้งนี้ เป็นการประกาศที่ถือว่า ยิ่งใหญ่และน่ายกย่องมาก ในความรู้สึกของผู้เขียนค่ะ ต้องอาศัยความกล้าหาญ และเสียสละอย่างมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือผู้เขียนได้เห็นความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ของท่านนายกฯทักษิณอย่างเต็มเปี่ยม หาได้เป็นไปอย่างที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลเคยโจมตีท่านอย่างไม่ให้เกียรติว่า ทักษิณต้องการทำลายหลักการ The King Can Do No Wrong ทักษิณอยากเป็นประธานาธิบดี และไม่จงรักภักดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์

ผู้เขียนเองก็ไม่ทราบว่ามีประชาชนจำนวนสักเท่าใดที่เข้าใจกับการประกาศไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่านในครั้งนี้และก็ไม่อาจทราบว่าความหวังดีต่อชาติบ้านเมืองของท่านนายกฯในครั้งนี้จะได้รับการตอบสนองจากกลุ่มพันธมิตรฯ มากน้อยเพียงใด แต่ตัวผู้เขียนเองเข้าใจเจตนารมณ์ที่สุจริตใจของท่านนายกฯทักษิณและรับทราบมาตลอดว่า ท่านมีความลำบากใจเพียงใดกับการตัดสินใจครั้งสำคัญบนเส้นทางการเมืองในครั้งนี้ที่ต้องผิดสัญญาประชาคมกับประชาชน 16 ล้านเสียงที่เทใจให้ไทยรักไทย และถึงแม้ว่าท่านจะไม่รับตำแหน่งนายกฯ ในครั้งนี้ก็ตาม ท่านก็จะยังอยู่ในใจผู้เขียนซึ่งเป็น 1 ใน 16 ล้านเสียงที่มอบความไว้วางใจให้กับท่านเสมอมาและจะรอการกลับมาของท่านอีกครั้งหลังจากการปฏิรูปการเมือง ท่านนายกฯ ทำสิ่งที่เป็นการเสียสละเป็นการรักษาบ้านเมืองไว้ไม่ให้เสียหายและไม่ต้องการทำลายรัฐธรรมนูญ ท่านเสียสละอำนาจที่ทุกคนต้องการไขว่คว้าเพื่อประโยชน์สุขของคนไทยทุกๆ คน ในสายตาของผู้เขียนท่านชนะทางการเมืองแล้วค่ะ

แม้ตัวผู้เขียนจะเสียน้ำตากับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของท่านนายกฯทักษิณในครั้งนี้มากมาย แต่ก็ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้เป็น 1 ในเสียงข้างมากที่ได้มอบหนึ่งเสียงนี้ให้กับชายที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร สุภาพบุรุษประชาธิปไตย ผู้ปฏิรูปเพื่อความเท่าเทียมกันของชาวชนบทและชาวเมืองผู้นี้ค่ะ


วันนี้ผู้เขียนขอทิ้งท้ายบทเพลงแห่งความหวังและกำลังใจ "You'll Never Walk Alone" มาฝากเพื่อนๆหัวใจประชาธิปไตยทุกคนค่ะ

"You'll Never Walk Alone"

... To PM.Thaksin with Love.
... แด่นายกฯ ทักษิณ ด้วยรักและศรัทธา
... You fight for good future.
... คุณต่อสู้เพื่ออนาคตที่สดใส

... When you walk through a storm.
... ยามที่คุณต้องเดินฝ่าพายุ
... Hold your head up high.
... จงเชิดหน้าของคุณให้แน่วแน่

... And don't be afraid of the dark.
... จงอย่ากลัวความมืด (อุปสรรค)
... At the end of the storm. Is a golden sky.
... สุดปลายทางของพายุ คือท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ

... And the sweet silver song of lark.
... และเสียงร้องไพเราะเสนาะโสตของสกุณี
... Walk on through the wind.
... จงลุยฝ่าพายุต่อไป

... Walk on through the rain.
... จงลุยฝ่าสายฝนต่อไป
... Tho' your dreams be tossed and blown.
... และอย่าโยนความฝันอันบรรเจิดของคุณทิ้งไป

... Walk on, Walk on,
... จงก้าวเดินต่อไป จงมุ่งหน้าฟันฝ่าต่อไป
... With hope in your heart.
... ด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง

... And you'll never walk alone.
... แล้วคุณจะไม่มีวันโดดเดี่ยวเดียวดาย
... You'll never walk alone.
... คุณจะไม่มีวันเปล่าเปลี่ยวตามลำพัง

... God bless you safe and sound all time.
... พระเจ้าทรงอวยพรให้คุณก้าวเดินต่อไป ด้วยความสวัสดีมีโชคชัย



"Be strong and courageous. Do not be terrified; do not be discouraged, for the LORD your God will be with you wherever you go." [Joshua 1:9]

"เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่า จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า" [จอชูอะห์ 1:9]

สุขสันต์วันหยุดสุดสัปดาห์ค่ะ ... :)



บทบาทของหมาเฝ้าบ้าน


เนื่องในโอกาสเริ่มต้นปีใหม่ต้อนรับปีจอ หมาน้อยน่ารัก บ๊อก บ๊อก ผ่านไปได้หลายเพลา ... ในวันนี้ผู้เขียนจึงอยากจะขอเขียนถึงบทบาทของผู้ตรวจสอบอำนาจรัฐของสาธารณชนหรือใช้ภาษาชาวบ้านที่เราๆท่านๆเข้าใจง่ายๆก็คือ "หมาเฝ้าบ้าน (public watchdog)" หน่อยค่ะ

ในสังคมปัจจุบันเราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสื่อมวลชนนั้นมีบทบาทในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารให้กับสังคมมากเลยทีเดียว "สื่อมวลชน" จึงเปรียบเสมือนเป็นคนกลางที่มีความสำคัญมากในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมให้ประชาชนผู้รับสารทราบ สื่อจึงเป็นทั้งผู้ปลุกความคิด ให้ความรู้ สร้างจิตสำนึกในสังคม บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของสื่อจึงควรมีมาตรฐานสูงพอในฐานะที่เป็นผู้ชี้นำทางความคิดของสังคม...

ที่ผ่านๆมาในอดีตเราจะเห็นได้ว่าสื่อมวลชนแทบทุกประเทศมักจะได้รับการยอมรับ ได้รับสิทธิและเสรีภาพในฐานะสื่อมวลชน การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนนั้นเป็นเครื่องชี้ที่สำคัญประการหนึ่งของประเทศที่แสดงให้เห็นว่าประเทศนั้นปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด .... สื่อทำหน้าที่เป็นเสมือนยามเฝ้าบ้านให้กับประชาชนคอยตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมโดยเฉพาะการตีแผ่ "ความจริง (มิใช่ข่าวแต่ง)" ที่เป็นประโยชน์แก่สังคมและการที่สื่อมวลชนใช้เสรีภาพของตนอย่างมีความรับผิดชอบโดยไม่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ใครก็เป็นการสะท้อนบรรยากาศเสรีภาพแห่งสังคมที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมด้วย ดังนั้นการควบคุมสื่อให้อยู่ใน "ขอบเขตและกรอบกติกาของสังคม" จึงมักจะได้รับเสียงตอบกลับว่า รัฐบาลในประเทศนั้นใช้อำนาจหน้าที่จำกัดสิทธิเสรีภาพที่สื่อพึงมี คุกคามสื่อ ริดรอนเสรีภาพของสื่อ หรือ ปิดปากสื่อและในหลายๆประเทศก็ไม่สามารถกระทำได้

ซึ่งในเรื่องเสรีภาพของสื่อนั้นตัวผู้เขียนเองมีความเห็นตรงนี้ค่ะว่า ... "เสรีภาพของสื่อ" คือการที่สื่อได้ทำหน้าที่ด้วย "สำนึกแห่งจริยธรรมและจรรยาบรรณ" เพื่อยังประโยชน์แก่มวลชนอย่างแท้จริงภายใต้กรอบกติกาของสังคมที่ว่า การแสดงออกซึ่งการรายงานข้อมูลข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์นั้นต้ิองตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน เป็นการรายงานข่าวและวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเที่ยงธรรมและสุจริตใจ และต้องเพื่อเป็นการบอกเล่าให้รัฐบาล เจ้าหน้าที่ของรัฐ และบุคคลสาธารณะเหล่านั้นได้รับทราบถึงการปฏิบัติงาน และชี้แนะให้เห็นว่าการปฏิบัติงานของบุคคลเหล่านั้นเป็นไปตามที่ได้ให้คำมั่นที่ได้สัญญากับประชาชนไว้ก่อนหน้านั้นหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามที่ได้รับปากไว้จะได้ปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานให้ดีขึ้นจึงจะได้ชื่อว่าสื่อทำหน้าที่ ผู้นำความคิดแก่ประชาชนได้อย่างถูกต้องหากว่าสื่อเคารพในจรรยาวิชาชีพและความรับผิดชอบของตนก็จะสามารถทำหน้าที่เป็นประโยชน์แก่สังคมได้

แต่กระนั้นก็ตามหากสื่อใช้เสรีภาพเป็นช่องทางในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน หรือใช้เสรีภาพของสื่อเพื่อประโยชน์ทางการเมืองจนเกินเลยขอบเขตของการเคารพในสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคลโดยการให้ร้ายทำลายคนและใช้สื่อที่มีอยู่ในมือปลุกปั่น หรือปลุกระดมมวลชนสร้างกระแสสังคมเพื่อประโยชน์ส่วนตนมิใช่เพื่อส่วนรวม เป็นวัตถุประสงค์เพื่อเงินทองหรือเป้าหมายทางการเมืองเป็นหลักโดยอาศัยความเป็น "ฐานันดร 4" หลายครั้งจึงสร้างความเสียหายและเป็นการทำลายผู้ " ไร้ผิด " ที่ตกเป็นข่าวได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ กรณีการทำบุญประเทศของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรหรือการที่นาย Dan Rather ใช้เอกสารปลอมเป็นเหตุทำให้ประธานาธิบดีบุชเสื่อมเสีย เป็นต้น ทั้งสองกรณีนี้เห็นได้ชัดเจนที่สุดว่าเป็นการป้ายสีของสื่อ

และจริงๆแล้วคำว่าเสรีภาพของสื่อที่หลายคนเรียกร้องถามหานั้นหากได้ลองพิจารณาตรึกตองถึงการกระทำและความจริง เฉกเช่นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาอย่างถ่องแท้แล้วเสรีภาพอย่างแท้จริงร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อย่างที่เคยมีนักเขียนท่านหนึ่งได้ใหุ้มุมมองถึงเสรีภาพของสื่อไว้อย่างน่าฟังว่า: "เราน่าจะถามหา เสรีภาพตามสมควรของสื่อ(มิใช่เสรีภาพของสื่อ 100%) ในฐานะที่เป็นวิชาชีพที่มีความสำคัญสาขาหนึ่ง ที่มีส่วนช่วยจรรโลงสังคมให้น่าอยู่มากกว่า เพราะมันเป็นสิ่งที่พอจะสามารถแสวงหากรอบที่เห็นเป็นรูปธรรมได้ นั่นคือกรอบของกฎหมาย อันเป็นกติกาการอยู่ร่วมกันของสังคม ต้องเรียกร้องและกดดันให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้อยู่ในกรอบของตนเอง อย่าล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ในขณะเดียวกันสื่อก็ต้องทำหน้าที่สื่ออย่างระมัดระวัง มิให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายด้วย หากทำได้ไปถึงจุดนั้น นั่นล่ะ "เสรีภาพของสื่อ" ที่มีจริงๆ แต่เป็นเสรีภาพตามสมควรแห่งวิชาชีพ "

ดังที่ Jean-Paul Charles Aymard Sartre นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสได้เคยกล่าวไว้ว่า:

"..เสรีภาพและความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่ต้องเดินไปด้วยกัน
การแสดงออกของเสรีภาพที่ไม่มีความรับผิดชอบติดตามมาเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าอะไรเลย.."


การออกข่าวกรณีการทำบุญประเทศที่วัดพระแก้วของท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณนั้นเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึง "การนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อที่ขาดสำนึกในจริยธธรรม จรรยาบรรณ และความรับผิดชอบ" ได้ชัดเจนที่สุด ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานและสำนึกในจริยธรรมในการทำหน้าที่ของสื่อของแต่ละสำนักนี่ก็ต่างกันด้วยค่ะหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ถือว่าทำหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริงให้กับผู้เสพข่าวสารได้ทราบในข้อสงสัยด้วยการตรวจสอบไปยังกองงานราชพิธี สำนักพระราชวังในขณะที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการกลับมีการวิพากษ์วิจารรณ์จินตนาการไปไกลต่างๆนาๆโดยไม่มีการตรวจสอบข่าวนี้ไปยังสำนักพระราชวังก่อนตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ซึ่งหากต้องการตรวจสอบจริงๆก็ไม่ยากเลยค่ะเพราะแค่หมุนโทรศัพท์ไปยังกองงานราชพิธี สำนักพระราชวังแป๊ปเดียวอย่างที่หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทำก็จะได้รับคำตอบอยู่แล้ว ในเรื่องพิธีทำบุญประเทศนี้มีคำอธิบายที่ชัดเจนถึงความถูกต้องและเหมาะควรมากทีเดียว ส่วนคนที่พยายามสร้างความเข้าใจผิดสร้างความคลุมเครือให้กับเนื้อข่าวกลับมีคำอธิบายที่พลิกไปพลิกมาไม่น่าเชื่อถือ

ก็เป็นเรื่องธรรมดาค่ะที่การสร้างข่าวลือนั้นจะต้องอาศัย "ความคลุมเครือ" ของข่าวไว้ก่อนเพราะหากข่าวหมดความคลุมเครือแล้วก็คงหมดประโยชน์ที่จะนำมาสร้างกระแสสังคมต่อไป... ด้วยเหตุนี้สื่อมวลชนฐานันดรี่สี่ที่มี "เสรีภาพ" หากแต่ "ขาดจรรยาบรรณ" เสียแล้ว (ไม่รวมสื่อสารมวลชนที่ดีๆนะคะ) ก็สามารถกลายเป็นฆาตกรในสังคมได้ง่ายๆเหมือนกันนะคะ ดังที่เคยมีคนเปรียบเปรยไว้ว่า:

"หนังสือพิมพ์ที่มุ่งร้ายหมายขวัญเพียง ๔ ฉบับ เป็นที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าหอกปลายปืน ๑,๐๐๐ เล่ม"


You're So Vain

Picture: Cabot Trail - Cape Breton, Nova Scotia. The Cabot Trail is dotted with scenic lookouts and is rated one of the 10 most scenic drives in the world by Conde Naste magazine.


I absolutely love this song ... definitely one of my all time favorites, it never gets old.
.
You're So Vain
by Carly Simon
.
.
You walked into the party like you were walking onto a yacht
Your hat strategically dipped below one eye
Your scarf it was apricot
You had one eye on the mirror as you watched yourself gavotte
And all the girls dreamed that theyd be your partner
Theyd be your partner, and...
.
Youre so vain,
you probably think this song is about you
Youre so vain, Ill bet you think this song is about you
.
Dont you? dont you?
You had me several years ago when I was still quite naive
Well you said that we made such a pretty pair
And that you would never leave
But you gave away the things you loved and one of them was me
I had some dreams, they were clouds in my coffee
.
Clouds in my coffee,
and...I had some dreams they were clouds in my coffee
Clouds in my coffee, and...
Well I hear you went up to saratoga and your horse naturally won
Then you flew your lear jet up to nova scotia
.
To see the total eclipse of the sun
Well youre where you should be all the time
And when youre not youre with
Some underworld spy or the wife of a close friend
Wife of a close friend, and...


ข้อคิดจากคำขวัญวันเด็ก "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด"



แม้นว่าวันเด็กแห่งชาติจะผ่านมาแล้วหลายวัน แ่ต่ผู้เขียนคิดว่าคำขวัญวันเด็ก "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด" วลีที่ไม่ซับซ้อนเด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดีก็สามารถนำมาเป็นข้อคิดประยุกต์เข้าักับเหตุการณ์ปัจจุบันได้ดีทีเดียวค่ะ

ในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ 2549 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมานั้นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้คำขวัญในวันเด็กปีนี้ว่า "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด" โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนเห็นว่าคำขวัญวันเด็กแห่งชาติของท่านนายกฯ "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด" ในปีนี้ให้ "ข้อคิด" ที่ดีมากค่ะหากเราจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและคำขวัญนี้ยังสามารถนำไปใช้เตือนสติกับผู้ใหญ่ที่ผ่านการเป็นเด็กบางคนมาแล้วได้ดีอีกด้วยค่ะโดยเฉพาะ วีรบุรุษกลับบ้านก่อนนิสัยเกเรแถวๆสวนลุมที่ผันตัวเองมาเป็น "ผู้นำม็อบวันเด็ก" ขับไล่นายกฯที่มาจากการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตยออกไปที่ตอนนี้จากที่เคยเรียกตัวเองว่าวีรบุรุษกลับกลายมาเป็น "วีรบุรุษกลับบ้านก่อน" ตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปเสียแล้ว (…ฮา…)

ผู้เขียนก็มีความสงสัยนะคะว่าคุณสนธิและชมรมเป็นตัวแทนประชาชนหรือจึงถืออภิสิทธิ์มาขับไล่นายกฯที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยออกไป ผู้ศรัทธายามเฝ้าแผ่นดินบางท่านถึงกับกล่าวว่าอ้างแต่เรื่องนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่อ้่างได้อย่างไรเล่าในเมื่อ ประชาชนส่วนใหญ่เค้ามีฉันทามติให้นายกฯรับผิดชอบบริหารงานราชการแผ่นดินไม่ใช่ยามเฝ้าแผ่นดินแบบที่คุณสนธิเรียกตัวเอง ก็แปลกดีค่ะ อย่างนี้รัฐธรรมนูญไทยมีไว้ทำไมมีไว้ให้สื่อฐานันดรสี่และชมรม "ฉีกทิ้ง" อย่างนั้นหรือ? ปรากฎการสนธิและพันธมิตรสะท้อนให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้ต่างหากที่ไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตยเพราะคนกลุ่มนี้พยายามทำประเทศให้กลายเป็น "อนาธิปไตย" ให้ได้ ที่กล่าวเช่นนี้เพราะว่าบุคคลกลุ่มนี้เมื่อไม่ได้ดังใจขึ้นมา ไม่สมประโยชน์ของตนเองก็พยายามที่จะเปลี่ยนกฏกณท์ที่ถูกตั้งไว้ ทั้งๆที่กลุ่มคนผู้ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้เป็นผู้ปั้นร่างกฏเกณฑ์มาด้วยมือของตัวเองแท้ๆ หากแต่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง

การแสดงออกซึ่งการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยทีีถูกต้องนั้นก็คือเมื่อ คุณสนธิและพันธมิตรไม่เห็นด้วยกับการบริหารประเทศของรัฐบาลก็ควร "จัดตั้งพรรคการเมือง" ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง แล้วหาเสียงเสนอแนวความคิดในการแก้ไขปัญหาของประเทศลงเป็นนโยบายพรรคต่อสู้กันตามกติกาในกรอบของรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ แล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าจะเลือกใครมาบริหารประเทศ และเมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้าไปในสภาแล้วก็ไปแก้ไขกฏหมายให้เป็นไปตามนโยบายหาเสียงและสัญญาไว้กับประชาชน นี่คือหนทางแห่งประชาธิปไตยที่คุณสนธิเลือกเดินได้ แต่คุณสนธิและเหล่าพันธมิตรกลับเลือกเล่นการเมืองรายวันข้างถนนแบบนี้ผลที่ตามมามันจะกลายเป็นมิคสัญญี ดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตกับประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศไทยและยังแสดงให้เห็นถึงการไม่เคารพในกฏกติกาชอบ "เขียนด้วยมือและลบทิ้งด้วยเท้า" มันใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองของประเทศที่กำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาได้เป็นอย่างดี ผู้เขียนคิดว่าการเมืองไทยเราต้องพัฒนาไปไกลกว่านี้ค่ะ

เพราะการพัฒนาประเทศในปัจจุบันเพื่อให้ทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศนั้นเราต้อง "มุ่งพัฒนาคน" เป็นหลักและการพัฒนาคนที่ได้ผลก็คือ "การพัฒนาสติปัญญา" ซึ่งนอกจากจะมีความรู้แล้วต้องมีความคิดด้วยที่เรียกว่าเป็น"คนคิดเป็น" นายกฯทักษิณนี่ถือว่าท่านเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากคนหนึ่งค่ะ ผู้เขียนเป็นอีกคนหนึ่งค่ะที่ชื่นชมการบริหารงานของนายกฯคนปัจจุบัน และผู้เขียนก็คิดว่าท่านนายกฯเป็นผู้นำที่ทำงานมากกว่าการเล่นสำนวนโวหารไปวันๆค่ะและขอยืมคำพูดของคุณสนธิมาค่ะว่า "ทักษิณเป็นนายกฯที่ดีที่สุดที่ประเทศนี้เคยมีมา" สำหรับผู้เขียนแล้วคิดว่าคำพูดนี้จริงที่สุดค่ะ อิอิอิ

และผู้เขียนก็เห็นด้วยกับคำกล่าวของท่านนายกฯค่ะที่กล่าวว่า: "ครูเลิกสอนให้เด็กท่องจำตั้งแต่ชั้นเล็กสุดจนมหาวิทยาลัย เน้นปลูกฝังความคิดและจินตนาการ" เพราะ "จินตนาการ" เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจินตภาพ คือการสร้างภาพในสมองหรือนึกคิดเป็นภาพ จึงเกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ถือเป็นทักษะเบื้องต้นของความคิดสร้างสรรค์ค่ะ เหมือนอย่างการเรียนคณิตศาสตร์ในห้องเรียน เช่นวิชาเรขาคณิตก็เหมือนกัน ผู้เขียนคิดว่าหากทุกคนมุ่งจำแต่สูตรอย่างเดียวมันก็ยากแก่การพิสูจน์หาคำตอบ เลยพิสูจน์ไม่ได้แต่หากนักเรียนคนไหนเป็นคนช่างวาดรูป ประกอบโจทย์ เอามาต่อรูปเสียหน่อยมันก็สามารถพิสูจน์ได้ การเรียนคณิตศาสตร์ให้ได้ดีสูตรสำเร็จไม่จำเป็นต้องท่องสูตรอย่างดียว เพราะการท่องสูตรโดยไม่รู้ที่มาที่ไปจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรหากแต่ต้องรู้ว่าสูตรจริงๆ แล้วความหมายคืออะไร ต้องจินตนาการออกมาให้ได้ พอถึงที่สุดแล้วจะไม่ต้องจำสูตรอีกเลย ต้องมีความเข้าใจและต้องมีจินตนาการ แล้วมันจะทำให้คนที่เรียนเรียนได้อย่างมีความสุขค่ะ

อย่าง " ไอสไตสน์ " เป็นนักฟิสิกส์และเีรียนคณิตศาสตร์ได้เก่งก็เพราะเค้ามีจินตนาการที่ล้ำลึกนั่นเองค่ะ "นักกอล์ฟ" ก็เช่นกันพวกเค้ามักวาดภาพในใจของผลการตีครั้งต่อไปไว้ล่วงหน้าเสมอก่อนการตีในทุกๆครั้ง หรืออย่างในระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่บ่อยครั้งนักเรียนนำตำราหรือโน๊ตการเรียนเข้าห้องสอบ นั่นไม่ใช่เพราะเพื่อการลอกคำตอบ แต่หากเพื่อเป็นการช่วยในการคิดค้นสร้างสรรคำตอบ หรือให้เกิดการระลึกได้ขึ้นมานั่นเอง การทำความเข้าใจ การอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น การจะสร้างโลกในความคิดของคนๆหนึ่งให้ได้ใกล้เคียงความจริงนั้นหากไร้ซึ่งจินตนาการเสียก็คงเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้ยาก

แ่ต่กระนั้นก็ตามทุกอย่างล้วนเป็นดาบสองคมหากคนคนนั้น "ขาดคุณธรรม" ใช้จินตนาการในการมุ่งมาดปรารถนาร้ายต่อผู้อื่นเช่นการนำจินตนาการมาสร้างเป็น"ทฤษฎีสมคบคิด" เป็นต้น ยกตัวอย่างข่าวเด่นประเด็นดังเมื่อปีระกาที่เพิ่งจะผ่านพ้นมาได้ไม่นานที่คุณสนธิผู้นิยามสโลแกน "เราจะสู้เพื่อในหลวง" ใช้จินตนากรอันล้ำลึกใส่ร้ายป้ายสีนายกฯในเรื่องการทำบุญประเทศจนทำให้เกิดการฟ้องร้องกันในที่สุด โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนเชื่อสำนักพระราชวัง มากกว่าจินตนาการของคุณสนธิหลายเท่านัก

อีกทั้งคำขวัญ "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด" ของท่านนายกฯนี่เหมาะที่จะนำไปใช้กับ การพัฒนาชายแดนภาคใต้ ได้ดีที่สุดค่ะเพราะการพัฒนาชายแดนภาคใต้ที่ดีที่สุดนั้น คือ "การพัฒนาสติปัญญา" พื้นที่ตรงนี้มีปัญหามากเพราะที่ผ่านมานั้นเด็กนักเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามขาดการ "ขยันคิดด้วยตัวเอง" เลยถูกบรรดานักการเมืองในคราบนักบวช(บางคนนะคะไมใช่ทุกคน) หลอกใช้เยอะค่ะ ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะหรือเหตุการณ์ที่บ้านตันหยงลิมอร์ที่บรรดาเด็กและสตรีมุสลิมถูกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนำมาใช้เป็นโล่ห์ทางศีลธรรม คนที่คิดและทำอย่างนี้ได้ ต้องถือว่าเป็นคนที่โหดร้ายและใจดำมากค่ะ มันเป็นการนำคนบริสุทธิ์ซึ่งเป็นข้อยกเว้นในทางศีลธรรมของการต่อสู้มาใช้เพื่อประโยชน์ให้กับฝ่ายตัวเอง ในกฎกติกาของการทำสงครามจะรู้กันเป็นสากลว่าจะต้อง "ละเว้นผู้หญิงกับเด็ก" ดังนั้นกรณีที่เกิดขึ้นที่ตันหยงลิมอจึงเป็นการละเมิดกติกาสงคราม

กฎของสงครามชัดเจนว่าจะต้องไม่ทำร้ายเด็กกับผู้หญิง ฝ่ายผู้ก่อการจึงหยิบมาใช้เป็นโล่ทางศีลธรรมส่งผลให้เจ้าหน้าที่ไม่กล้าเข้าชาร์จช่วยตัวประกันทั้งๆ ที่เตรียมกำลังไว้พร้อมแล้วซึ่งในทางกลับกันหากผู้ชุมนุมเป็นชายฉกรรจ์ทั้งหมด ภาพจะออกมาในลักษณะท้าทายอำนาจรัฐเหมือนเหตุการณ์ที่ตากใบ ทำให้เจ้าหน้าที่กล้าใช้มาตรการบางอย่างมากกว่า คนที่ชักชวนผู้หญิงเหล่านี้ออกมาแสดงว่ารู้จริง และหลังจากนี้ถ้าหมู่บ้านอื่นนำยุทธวิธีดังกล่าวไปใช้บ้างก็ถือว่าอันตราย หลายๆคนคงจะเคยเห็นภาพการใช้ผู้หญิงและเด็กลักษณะนี้ที่ปาเลสไตน์นำมาใช้กับอิสราเอลใช่มั๊ยคะ? นี่อุดมการณ์เหล่านี้ระบาดมาที่ภาคใต้บ้านเราแล้วค่ะ ล่าสุดก็บั่นคอเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ด้วยเหตุนี้ค่ะผู้เขียนคิดว่า โต๊ะครู ผู้นำศาสนา ผู้บริหารโรงเรียนจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหามากที่สุดเพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลจะทุ่มเทงบประมาณมากแค่ไหน ถ้าบุคคลเหล่านี้ไม่ให้ความร่วมมือก็จะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ เช่น การแก้ปัญหาโจรจีนคอมมิวนิตส์ ที่ประสบความสำเร็จมานั้นเพราะประชาชนให้ความร่วมมือนั่นเอง แต่การที่ประชาชนจะให้ความร่วมมือนั้นทางรัฐบาลเองก็ต้องพยายามปลดแอกพวกเค้าไม่ให้ตกอยู่ "ภายใต้อิทธิพลทางความคิด" ของพวกบรรดานักการเมืองในคราบนักบวช(บางคน)เป็นอันดับแรกค่ะ ด้วยเหตุนี้การแำก้ปัญหาแบบยั่งยืนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงต้องมีการนำระบบการเรียนการสอนการศึกษาแบบสากลบรรจุเข้าไปอยู่ในหลักสูตรโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาให้มากที่สุดเพื่อฝึกให้เยาวชนตัวน้อยเหล่านี้ เป็นคนคิดเป็น ไม่โดนหลอกง่ายๆนั่นเองค่ะ...