Spiga
Showing posts with label talking in samak's style. Show all posts
Showing posts with label talking in samak's style. Show all posts

รายการสนทนาประสาสมัครครั้งที่3

รายการสนทนาประสาสมัคร อาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 08.30-09.30 น




สวัสดีครับ


ผมสมัคร สุนทรเวช ครับ วันนี้มาพูดจาประสาสมัครเหมือนอย่างเคย เริ่มต้นอยากจะเรียนว่าอยากจะขอบพระคุณ นาน ๆ จะมีหนังสือพิมพ์เขาลงข่าวเขียนถึงผมในทางที่ดี ขอบพระคุณหนังสือพิมพ์มติชน คุณเสถียรพงษ์ วรรณปก ท่านเขียนถึงผม อ่านเมื่อตอนเช้านั่งมาในรถ ธรรมดาไม่ค่อยอ่าน เห็นว่ารูปกำลังไหว้พระ ขอบพระคุณจริง ๆ ครับ ท่านเขียนหนังสือ ท่านมีข้อสอบถามมา 3 ข้อ ผมจะพยายามงวดหน้าผมจะพูดเกี่ยวกับงานพระพุทธศาสนาที่ท่านฝากผมไว้ ขอเรียนสั้น ๆ ตรงนี้ พออ่านจบเมื่อสักครู่นี้ก็เรียนไว้แล้ว ใช้เวลาอภิปรายนโยบายรัฐบาล 3 วัน

ถัดไปอยากจะพูดถึงว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์ที่งานหนักหน่อย เพราะวันที่ 18,19,20 กุมภาพันธ์ 3 วัน ไปให้รัฐสภาตรวจสอบ มาทั้งสองสภาเลย ตรวจสอบนโยบาย ก็สนุกเหมือนกัน 40 ชั่วโมงโดยประมาณ 3 วัน ความจริงท่านจะเห็นผมโผล่บ้าง ผมนั่งอยู่ข้างหลัง เพราะมีห้องนายกรัฐมนตรีและมีจอให้ดู เวลาที่หนังสือมาเป็นแฟ้มผมก็นั่งเซ็นข้างหลังและก็ฟังไปดูไป ได้กินข้าวข้างหลังบ้าง ถึงเวลาก็ขึ้นมานั่งบ้าง เพราะให้รู้ว่าอยู่ไปไหนไม่ได้ครับเป็นขบวน ผู้คนเขาก็รู้ว่าไป บางทีผมไป 2 คัน บอกให้ทราบว่า 3 วันอยู่ข้างใน นั่งฟัง จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ต้องออกไปงานหน่อย ที่พูดตรงนี้ให้ฟังคือว่าเรื่องทั้งหมดในสภาสุดท้ายก็จบลงเกือบตีหนึ่ง

มอบนโยบายหัวหน้าส่วนราชการ 25 ก.พ.

เสร็จงานวันนั้น วันที่ 21 กุมภาพันธ์ได้พักหนึ่งวัน ก็มีงานตักบาตร ในวังด้วย เรียกว่าได้พักวันหนึ่ง พอถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ก็เริ่มทำงาน ความจริงงานจะเริ่มจริง ๆ วันที่ 25 กุมภาพันธ์คือพรุ่งนี้ครับ จะนัดข้าราชการระดับปลัดกระทรวงมารับฟังนโยบาย คือนโยบายเขียน เขียนแล้วก็เอาไปให้เขาตรวจสอบในสภา จากสภาตอนนี้เอามาให้ข้าราชการ แปลเป็นว่าเขาจะต้องทำอะไรอย่างไร พอทำงานเสร็จวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ก็เริ่มดำเนินงานเลย

ความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างไทยและเขตคันไซ

แต่ก่อนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ มีวันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ มีแขกมาเยี่ยม 2 คณะ ทีแรกก็ไม่ได้ดูอะไรอื่น ตั้งใจไว้เลยว่าคณะไหนจะแบ่งปันก้นไป รองนายกรัฐมนตรี 6 คนให้ท่านแบ่งกันรับบ้าง คณะนั้นคณะนี้ มาจากญี่ปุ่นเรียกว่า เขตเศรษฐกิจคันไซ (นายฮิโระชิ ชิโมะสุมะ ประธานสมาพันธ์ธุรกิจเขตคันไซ) เขามีคันโตกับคันไซ มี 9 จังหวัดญี่ปุ่น ยกกันมา 16 คน พอดูว่า เขาก็มีหมายเหตุมาว่าเป็นคณะแรกที่มาฟังความในเรื่องธุรกิจการค้า ผมบอกอย่างนั้นผมก็รับเอง ก็ไปรับเขาได้คุยกันชั่วโมงหนึ่ง เลยได้ทราบว่าเขาคิดกับเราอย่างไร เขาตั้งใจมาดี สนามบินคันไซที่เราได้ยิน เมืองโอซากา เมืองเกียวโต ก็อยู่ย่านนี้ 9 จังหวัด เป็นการแสดงเครื่องหมายที่ดีว่าพอมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ธุรกิจการค้าก็กลับมาเหมือนเดิม ตอนผมปราศรัยผมก็บอกว่า สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป หันหลัง จีนหันข้าง ญี่ปุ่นหันข้าง ตอนนี้ญี่ปุ่นหันหน้าแล้ว ยกคณะมาเลย ก็รับ

คองเกรสแมนจากสหรัฐฯ มาพบ

เสร็จแล้วก็มีคณะเล็ก ๆ เขาเรียกว่า “คองเกรสแมน” (Congressman) จากสหรัฐอเมริกา ขอมาสนทนา ธรรมดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอยู่ ก็อาจจะฝากรัฐมนตรีต่างประเทศคุย พออ่านดูเขาก็มีหมายเหตุอีกว่า เป็นคณะแรกที่มา จากพรรค Democrat 4 คน พรรค Republican 2 คน เขาเป็นคณะกรรมาธิการ เขาจะมาฟังความว่า บรรยากาศในประเทศไทยเกี่ยวกับการเมืองหลังจากการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลใหม่ ต้องขอเจรจาความเองอีก คือหมายความว่ารับแขกเอง คุยกัน 11.30 น. เลิกคุยอีก 5 นาทีบ่ายโมง ผมก็คุยแล้วไม่ได้ดูนาฬิกา คุยไปเรื่องสบาย ๆ มา 6 คนก็มี 6 ความเห็น 6 คำถาม นั่งคุยและพยายามตอบทุกคำถาม คือเราคุยให้เขาฟังครึ่งทาง และเหมือนตอบคำถามกลายๆ ก็ได้ประโยชน์ครับ เขาก็อยากฟังความของเรา เราก็บอกว่าเราเป็นอย่างไร เขาอยากรู้ต่อไปอีก เราก็คุยกับเขาอธิบายความ ทั้งหมดอยู่ในขอบเขตนะครับ เที่ยวไปลงข่าวกันว่าฝรั่งประหลาดใจว่าสมัครคุยแต่เรื่อง 6 ตุลาคม 2519 ไม่มีหรอกครับเรื่องอย่างนั้น ทำไมถึงต้องเขียนกันอย่างนั้นก็ไม่ทราบได้ ผมก็ทำหน้าที่ของผม พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็คุยกับเขาเป็นที่เข้าใจกัน

นายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการ 5 คณะดูแลโครงการใหญ่

วันพรุ่งนี้ (25 ก.พ.) ก็จะประชุมข้าราชการ ตามที่ลำดับความไว้ว่าเราจะดำเนินการอย่างไร เขาเตรียมการว่าผมจะต้องพูดกับข้าราชการ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อผมมีโอกาสพูดกับท่านที่เป็นเจ้าของประเทศทั้งหลาย ผมก็ควรจะบอกว่าและผมจะทำอย่างไรเรื่องนี้ จะบอกเลยว่าโครงการที่ใหญ่ ๆ 5 โครงการ คือ โครงการขนส่งมวลชนในเมืองหลวง โครงการรถไฟทั่วประเทศ โครงการเรื่องน้ำ โครงการเรื่องเศรษฐกิจ การแพทย์ มี 5 โครงการใหญ่ จะตั้งใจดำเนินการคือว่าทำเป็นคณะกรรมการ 5 คณะ นายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานทั้ง 5 คณะ เพื่อจะไม่ได้ปล่อยให้รัฐมนตรีไปดำเนินการโดดเดี่ยว เรื่องที่จะลงมือทำภายใน 1 ปีนี้ ลงมือเลยครับ การลงมือคือทุกเรื่องเขาจะได้มีคณะกรรมการ และจะตามไปดูมีการประชุม และเรื่องที่จะส่งลงไปดู ก็มีเรื่องความเป็นไปได้ เรื่องปฏิบัติการ เป็นอย่างไร คือเริ่มลงมือทำงานเลย เรื่องขนส่งมวลชนก็จะเดินหน้าไป จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราก็เดินหน้าไปถึงการประมูล ญี่ปุ่นมาเขาบอกว่าท่านทูตขอคุยกับผมก่อน ท่านทูตบอกเลยว่าเรื่องอะไรต่าง ๆ เงินกู้ที่คั่งค้าง ดอกเบี้ยร้อยละ 1.4 เป็นความปรารถนาดี ผมนึกถึงที่ผมเคยรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เขาถามว่าเลือกตั้งมาแล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร ผมบอกว่าบ้านเมืองก็กลับมาสู่สภาพเดิม ผมบอกให้กลับสู่สภาพเดิมก็เริ่มออกเดินทางได้แล้ว มาเรียนให้ทราบไว้ว่าบัดนี้กลับสู่สภาพเดิม เขามาจัดการมาติดต่อมาทำการค้าขาย มีการลงทุน ก็ทยอยกันมาเรื่อย บอกให้ท่านทราบไว้ว่า ถึงเวลาจะได้ทำงานแล้ว กรรมวิธียืดเยื้อเยิ่นเย้อ เลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 กว่าจะเข้ามาสภาได้ 22 มกราคม 2551 กว่าจะเสร็จได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ 6 กุมภาพันธ์ มาถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ถึงจะเอานโยบายเข้าสภา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ แขกบ้านแขกเมืองมากันแล้วมาเจรจาความ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ก็ไปถึงข้าราชการ หลังจากนั้นแล้วพวกผมก็ลงมือทำงาน ก็เรียนให้ทราบเป็นระยะ ๆ รายการอย่างนี้มีประโยชน์ตรงนี้ครับ ที่มาลำดับความให้ฟังไว้

รัฐบาลยังดำเนินนโยบายปราบปรามยาเสพติด

ทีนี้มีอะไรไหมที่อาทิตย์ที่แล้วพูดจากันแล้ว ไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจกัน บางอย่างผมก็ไม่อยากจะพูดเขาตัดประเด็น ถ้าพูดก็ไปพูดกันในสภา ไม่มีปัญหา มีสิทธิที่จะสอบถาม ผมจะตอบให้ แต่เรื่องที่จะต้องสนทนากันคือบางครั้งบางคราวเวลาที่ให้สัมภาษณ์ธรรมดา เขาตอบเขาถาม คนที่นั่งดูเขาบอกเลยครับ คุณสมัครเอาอีกแล้วไปตอบโต้ไปชี้แจง ผมก็บอกว่าโดยสัญชาตญาณของผม คือจะพูดจาถามไปถามมา ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายกับท่านผู้ชมที่นั่งอยู่ทั้งหมด คำที่บอกว่านโยบายฆ่าตัดตอน ประหลาดไหมครับ ใช้คำว่านโยบายฆ่าตัดตอน ซึ่งจะพูดกันยาว ๆ แบบนินทากัน นโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด แล้วผลจากการปราบปรามนั้น เหตุที่แล้วมานั้นมีการกล่าวหากันว่า รัฐบาลนั้นไปฆ่าตัดตอนผู้คน 2,500 คน ผมถามจริง ๆ ตามสำนวนผมว่าแล้วเป็นไปได้อย่างไร ก็ตรวจสอบไปแล้ว ตำรวจบอกว่ามีที่เขาเรียกว่าวิสามัญฆาตกรรม คือตำรวจไปจับไปยิงแล้วต่อสู้กัน ฆ่ากันตาย 59 ราย ซึ่งทุกรายตำรวจต้องขึ้นศาล นอกเหนือไปกว่านั้น ก็พยายามอธิบายให้ฟังเลยบอกว่า เขาค้ากัน เราตรวจสอบ เราให้ยกนิรโทษกรรมให้คน 6 แสนคน พวกค้าเม็ดสองเม็ด อะไรต่าง ๆ ก็เอาตัวมา แล้วก็สอบย้อนขึ้นไป พอสอบขึ้นไป ใกล้ถึงตัวการก็ฆ่าตัดตอนกัน คำนี้แหละครับขอทำความเข้าใจ พูดอย่างไร

ผมก็ไม่อยากจะไปตำหนิสื่อสารมวลชน แต่ไป ๆ มา ๆ คำว่า “ฆ่าตัดตอน” นั้น กลายเป็นนโยบายซึ่งผมต้องย้อนถามเวลาที่เขาพูดกัน ผมถามว่าทำไมถึงได้เดือดร้อนแทนพวกค้ายาเสพติดกันนัก ก็บอกว่าผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่า ผมบอกว่าผู้บริสุทธิ์จะถูกฆ่าได้อย่างไร ถ้าเผื่อตำรวจวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจก็ต้องขึ้นศาล และถ้าเขาไปตัดตอนฆ่ากันเอง เราจะต้องไปรับผิดชอบ แล้วจะมาอ้างอย่างนั้นอย่างนี้จะทำอย่างไร ใครจะฆ่าใคร ก็มีกฎหมาย ทุกอย่างทุกคนแม้จะฆ่ากันเองก็ต้องมีกฎหมายเข้าไปถึง ต้องเข้าใจแบบนี้นะครับ มาถามตาย 5,000 เป็นอย่างไร ถ้าถามแบบนี้ก็บอกว่าทำไมจะฆ่าตัดตอนกัน 5,000 ต้องเป็นเรื่องของพวกฆ่าตัดตอน กลายเป็นว่าเอาอีกแล้ว สมัยนายกรัฐมนตรีคนก่อนฆ่าไป 2,500 นายกรัฐมนตรีคนนี้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยจะฆ่า 5,000 ไปกันใหญ่เลย แบบไม่เข้าเรื่องเข้าราวเลย แล้วถามว่าตกลงจะเป็นคนดีไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้ ก็ไม่ต้องทำนโยบายปราบยาเสพติด ไม่ได้หรอกครับต้องทำ และมาทำแล้วก็จะเกิดอย่างนี้

คำที่ผมพูดไป กลายเป็นว่าออกไปรายงานข่าวแล้ว เหมือนผมเป็นคนร้าย เป็นคนใจร้าย เป็นคนอะไรต่าง ๆ ผมบอกนโยบายดำเนินการเหมือนเดิมทุกอย่างครบถ้วนหมด ถ้าเผื่อตำรวจไปวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจต้องรับผิดชอบขึ้นศาล นอกเหนือไปกว่านั้น ถ้าเขาไปฆ่ากันเอง แล้วเราจะทำอย่างไร คำนี้แหละครับสื่อสารมวลชนไม่ยอมเข้าใจ อะไร ๆ ก็ฆ่าตัดตอน เดี๋ยวนี้ใช้ว่าอย่างไร นโยบายฆ่าตัดตอน ได้อย่างไรครับนโยบายฆ่าตัดตอน ผมต้องพูดกับท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าของประเทศ เรามีนโยบายต้องปราบปรามยาเสพติด ลูกหลานท่านทั้งหลายจะได้ไม่ต้องโดน เกือบ 2 ปียาเสพติดเข้ามาอีก ก็กลับให้อยู่ที่เดิม เท่านั้นแหละครับท่านผู้เป็นเจ้าของประเทศทั้งหลาย ท่านต้องช่วยกันเข้าใจด้วย คำว่าปราบแล้ว ถ้าเผื่อตำรวจเอาไล่จับกัน ต่อสู้กัน อย่างนี้วิสามัญฆาตกรรม ตำรวจต้องรับผิดชอบ ต้องไปขึ้นศาล เรามีหมายครบถ้วน แต่เมื่อสอบไปจะหาถึงตัวใหญ่ เขาก็เกิดตัดตอนกันเอง อย่างนี้ผมเข้าใจว่าท่านประชาชนทั้งประเทศคงจะเข้าใจความหมายนี้ว่า ถ้าเขาไปฆ่ากันเอง แล้วนโยบายนี้จะต้องยุติหรืออย่างไร ชอบพูดกันไปถึงสหประชาชาติ ไปอ้างอิงต่าง ๆ คนที่อยู่ไกลทางโน้นก็ไม่ฟังอะไร มันเป็นไปได้ไหม เหมือนกับว่าเราสั่งให้ตำรวจเอาปืนไปไล่ยิง ๆ แล้วบอกว่าเดือนนั้นต้องได้เท่านั้น ไม่มีครับ นโยบายคราวนี้ไม่มีว่าเดือนนั้นต้องฆ่าเท่านั้นเท่านี้ ไม่มีหรอกครับ และไม่ได้ไปสั่งให้ฆ่าด้วย ถามว่าถ้าเขาไล่จับกันอยู่ ยาเสพติดอยู่ในรถ เขาวิ่งไล่กันไป ทางโน้นยิงมาทางนี้ยิงไป แล้วก็เกิดคดีการตายกันขึ้นมา อย่างนี้ตำรวจต้องไปขึ้นศาล ศาลต้องพิจารณา ถ้าเขาไปตัดตอนกันเอง แล้วเราต้องรับผิดชอบ

ผมย้ำนะครับเหมือนกับพูดวนไปวนมาในอ่าง แต่ต้องพูด พอพูดก็บอกว่าเอาอีกแล้วสมัคร พูดจารุนแรงอีกแล้ว ตอบโต้ ผมจะพยายามที่แนะนำมาขอบคุณครับ เพราะเวลามานั่งดูโทรทัศน์แล้ว คนนั้นถามคนนี้ถาม ฟังแล้วผมต้องใช้คำว่าถามโดยไม่มีเหตุผล ผมก็พยายามไปตอบ เขาบอกว่าที่ตอบอย่างนั้นแสดงว่าเราเหมือนคนร้าย ดูสิครับ ถ้าไม่ปรับทุกข์กับท่านวันนี้ จะปรับทุกข์กับใครที่ไหน เอาเท่านี้ครับ เป็นที่เข้าใจกัน เมื่อไรใครใช้คำว่านโยบายฆ่าตัดตอน ขอให้ท่านผู้ชมทั้งหลายได้โปรดเข้าใจด้วยว่า เขาใช้สำนวนผิด เขาใช้สำนวนเหมือนกับว่า ไม่ต้องการให้มีนโยบายปราบปรามยาเสพติดอีกต่อไป เพราะต้องการให้เข้าใจผิด และชวนให้คนในโลกนี้เข้าใจผิดด้วย

สนับสนุนปลูกยูคาลิปตัสบนคันนาเพิ่มผลผลิตข้าว

ถัดไปมีเรื่องอะไรที่จะคุยให้ฟังสำหรับคราวนี้ ก็มีปัญหาว่าท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง) ท่านเรียนกฎหมาย บอกว่าคุณพ่อบังคับให้เรียน แต่ตัวท่านๆ ชอบวิทยาศาสตร์ แล้วก็สนใจ เมื่อเลือกกันแล้วเขาจะทำงานนี้ และท่านยังชอบต้นไม้และศึกษาเรื่องต้นไม้ พอรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ บอกว่า จะปลูกต้นยูคาลิปตัสบนคันนาเพื่อช่วยพัฒนาประเทศ เพื่อช่วยเศรษฐกิจ ท่านก็คิดอย่างนี้ คนที่พูดอย่างนี้ต้องรู้ในสิ่งที่เขาพูด ออกข่าวกันใหญ่ เป็นทำนองเหมือนว่าเอาอีกแล้วรัฐมนตรีไม่รู้หรือว่ายูคาลิปตัสกินดินดูดดิน ทำดินเสียหาย ผมนึกว่าช่างพูดกันจริง มันสำปะหลังก็เป็นอย่างเดียวกัน แต่มันสำปะหลังใส่ปุ๋ย แต่ต้นไม้อย่างนี้ไม่มีใครใส่ปุ๋ย เขาดูแลกันก็สุดแท้แต่ เมื่อเวลาฟังความ รัฐมนตรีที่โดนอย่างนี้ ผมก็ต้องใช้สำนวนผม ต้องแส่เข้าไปดูหน่อย บังเอิญผู้เชี่ยวชาญเรื่องยูคาลิปตัสขอพบผม ขอสนทนา คุยทางโทรศัพท์ได้ไหมครับ ไม่ได้ ต้องพูดเอง มาเลย ผมก็ลงมานัดสามโมงเย็นคุยเกือบสี่โมงเย็น เชี่ยวชาญจริง ๆ เราก็ได้รู้เหมือนกับที่รัฐมนตรีบอกว่า ยูคาลิปตัสเมื่อ 20 ปีก่อน เปลี่ยนพันธุ์ เปลี่ยนแปลงใหม่ และการค้นพบของอาจารย์ท่านนี้มีเหตุผล และท้าได้พิสูจน์ได้ ทางราชการก็รับรอง แปลว่าเขาปลูกพันธุ์ใหม่ เขาปลูกต้นยูคาลิปตัสบนคันนา พอปลูกไปปลูกมา ทีแรกคันนาก็แคบ เขาเห็นแล้วว่าปลูกแล้วข้าวในนาได้มากขึ้น ใบก็เป็นปุ๋ย ก็ค้นพบว่าเมื่อปลูกต้นไม้บนคันนานั้น รากออกไปอยู่ในผืนนา และเมื่อรากถูกไถ ปรากฏว่ารากต้นยูคาลิปตัสเป็นปุ๋ยที่ดีสำหรับต้นข้าว ไม่น่าเชื่อนะครับ ขณะเดียวกันเมื่อไปไถโดนรากมันซึ่งลงไปอยู่ในนา ท่านลองนึกถึงคันนา ต้นไม้อยู่บนคัน และรากออกไปอยู่ในนา เมื่อไถมันก็ตัดราก ตัดรากต้นก็สะดุ้ง ต้นสะดุ้งแล้วเป็นอย่างไร ต้นสะดุ้งไม่ตายหรอกครับ ยิ่งโตใหญ่ โตมากขึ้น และข้างในนาที่ถูกตัดลงไปบนคันนา ก็เป็นปุ๋ย ใบร่วงมาก็เป็นปุ๋ย ข้าวได้มากขึ้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ คนเป็นรัฐมนตรีเขาเข้าใจ เขารู้พอเขาเห็นอย่างนี้ เขาจึงแนะนำ

ผมจะให้ดูตัวเลขครับ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เชื่อไหมครับยูคาลิปตัสที่ปลูกกันเอามาทำกระดาษกัน เดี๋ยวจะบอกว่าเอาไปทำอะไรได้อีก ปลูกยูคาลิปตัสบนเนื้อที่ 1 ไร่ ที่ดอน ๆ ธรรมดา แห้ง ๆ ได้ 300 ต้น 5 ปีตัดยูคาลิปตัสได้ไม้ 2 ตัน ฟังให้ดีนะครับ 1 ไร่ปลูกได้ 300 ต้น ตัดมาแล้ว 5 ปีได้ไม้ยูคาลิปตัส 2 ตัน ทีนี้ที่ปลูกบนคันนา ข้าวก็ปลูกได้ ต้นยูคาลิปตัสอยู่บนคันนา นา 1 ไร่ 40 เมตรคูณ 40 เมตร 1,600 ตารางเมตร ใน 40 เมตร เขาทำคันนาให้โตขึ้นนิดหนึ่ง คือคันนา 1.50 เมตร คันนาธรรมดา 50 เมตร ศอกเดียว เขาทำเป็น 3 เท่า แล้วปลูกต้นสับไปสับมาซ้ายขวา ข้างหนึ่งปลูกได้ 50 ต้น คือ 25 ต้นกับ 25 ต้นคู่กันสลับกัน 40 เมตรปลูกได้ 50 ต้น อีก 40 เมตรปลูกได้อีก 50 ต้น แปลว่าปลูกบนคันนา เป็นตัวแอล ด้านเท่ากันได้ 100 ต้น ปลูกยูคาลิปตัสบนคันนา 100 ต้น สองด้านเท่านั้น 5 ปี ได้ไม้ 5 ตัน ปลูก 300 ต้นเต็มที่เลยได้ 2 ตัน 5 ปีเหมือนกัน แต่ปลูกเป็นตัวแอล ทางนี้ 50 ต้น ทางโน้น 50 ต้น 100 ต้นได้ 5 ตัน มันเจริญเติบโตอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าแบบนี้คนเป็นรัฐมนตรีเขาไม่ตื่นเต้น เขาต้องตื่นเต้น ตอนที่เริ่มต้นใหม่เกือบ 20 ปีก่อน ตอนกล้ามาใหม่ กล้าต้นละ 3 บาทขึ้นไป 8 บาท เดี๋ยวนี้ลงมาเหลือ 4 บาทแล้ว เขาก็ปลูกกัน การที่คนเป็นรัฐมนตรีจะปรารภว่า ช่วยกันปลูกต้นยูคาลิปตัส เพื่อจะช่วยชาติพัฒนาเศรษฐกิจ ไม้เศรษฐกิจ อย่างนี้ไม่ได้เหรอครับ ต้องได้ครับ ผมคุยวันนั้นสัมภาษณ์แล้วเขาก็ไม่สนใจเท่าไร มาเลยวันนี้ผมจะคุยให้ฟัง

ปลูกไม้ตะกูทำเฟอร์นิเจอร์

ทีนี้คุยเรื่องต้นไม้ต้นนี้ต้นเดียว ก็ยังมีอีกต้นหนึ่งชื่อต้นตะกู แถวนครปฐมก็มี เขาเรียกเจ้าพ่อวังตะกู ต้นตะกูเป็นไม้ประหลาด เพาะขึ้นมาจากเมล็ดเหมือนกัน ต้นไม้ขึ้นมามีใบใหญ่เหมือนใบสัก ต้นไม้คล้ายต้นสัก แต่โตเร็วมาก 1 ปีสูง 7-8 เมตร และขึ้นตรงชะลูดเหมือนต้นสัก ถ้าเผื่อต้นไม้อายุ 10 ปี เอาเด็กไปโอบ 2-3 คนโอบรอบ ดูแล้วไม่น่าเชื่อ เขาถ่ายรูปมาด้วยครับ เขาบอกว่าเนื้อคล้ายไม้สัก และมอดไม่กินเหมือนไม้สัก มีความทนทานเอาไปทำเครื่องมือ เฟอร์นิเจอร์ ใช้แทนไม้สัก ปลูกไม้เอาเนื้อ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เรียนให้ทราบว่าเมื่อเราเข้ามามีต้นไม้ ต้นไม้นี้ออกข่าวเมื่อเดือนพฤศจิกายนเมื่อปีที่แล้ว 3 เดือนเท่านั้นเอง ผมก็เอามาช่วยคุยให้ เพราะอะไร ใครมีที่ ใครจะปลูก ปลูกได้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ปลูกได้ทุกดิน ดีและทนทาน คล้ายไม้สักแต่ราคาไม่แพง แล้วโตเร็วมาก ไม้สักต้องใช้ 30 ปีถึงตัด 40 ปียิ่งดี นี่ 10 ปีตัดไม้ ตัดไม้เท่ากับต้นซุง เท่ากับไม้สัก ต้น 1 ปีสูง 7-8 เมตร

ขอให้ภาคภูมิใจกับธุรกิจอัญมณีของไทย

ถัดไปมีเรื่องเพชร พลอย ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์) บอกมา พอท่านไปได้ตัวเลขมา สนทนาเจอผม ท่านก็จูงมือมานั่งคุยเลย เอากระดาษให้ดูน่าตื่นเต้น ปีหนึ่งค้าขายกันอย่างนี้ 180,000 กว่าล้านบาท ไม่น่าเชื่อ ปีนี้จะทำถึง 200,000 ล้าน ถามว่าบ้านเมืองเรามีวัตถุดิบจะเอามาทำอย่างนั้น ไม่มีหรอกครับ หมด แต่ว่าคนไทยเกิดมีความเก่ง เก่งในการที่ว่าเอาวัตถุดิบมาก้อนเล็กก้อนโตก้อนใหญ่จากต่างประเทศทั่วโลก ไปหาซื้อกันมา แล้วเอาเข้ามา เขาเอามาเผา อุณหภูมิการเผาเป็นความลับของประเทศไทย ของคนไทย แล้วไม่ให้ใครที่ไหน เพราะฉะนั้น ตัววัตถุดิบทั้งหลายที่เป็นก้อน จะมาถูกเผาในประเทศไทย กลายเป็นว่าเราเป็นศูนย์กลางอัญมณีของโลก มีโรงเรียนอยู่แถวสีลม และเขาก็ทำกรรมวิธีกัน ที่ต้องมาบอกวันนี้ ไม่ได้โฆษณาสินค้า โฆษณาให้ฟังว่างานแสดงอัญมณีและเครื่องประดับจะมีวันที่ 27 กุมภาพันธ์ -3 มีนาคม อยากจะเชิญชวนไปชม ไม่ต้องซื้อหรอกครับ ไปชมให้มีความตื่นเต้นว่า บ้านเมืองของเราธุรกิจอัญมณี ปีกลายปี 185,000 ล้านบาท เขามาออกร้านกัน 111 ประเทศ ออกบู้ธ 3,000 กว่าบู้ธ ต่างชาติจะมาร่วมงานนี้อย่างน้อย ๆ 30,000 คน คนไทยจะไปดูเท่าไรไม่ทราบได้ เขาว่าธุรกิจการค้าที่เขาจะค้าขายกันในงวดที่เปิดงานประมาณ 25,000 ล้าน เป็นเรื่องที่เรียกว่าน่าตื่นเต้น ฝีมือของเราการจะทำอะไร เขามีโรงเรียน เจียระไนมาแล้วจะทำแบบไหน ของเราเก่งครับ

อย่างกับพลอยแดง ทับทิม ของเรา ถ้าไปเมืองจันทบุรี ทุกวันนี้ยังมีคนรุมกันแน่นตามถนนต่าง ๆ เขาเอาอะไรให้ใครต่อใคร ตัวที่เขาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ กองเหมือนของไม่มีราคา แต่บัดนี้กลายเป็นของมีราคาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะว่าแต่ก่อนนี้เขาเรียกว่าผูกขาด ถ้าใครทำแบบนั้นไม่ได้ ต่อมาเรื่องจะทำแบบที่จะเอาพลอยมาตกแต่งเครื่องประดับ เขาบอกว่าหมดการผูกขาด ถ้าท่านไปตามโรงแรมมีร้านจิวเวอรี่ต่าง ๆ แหวนต่าง ๆ เขาเอาทับทิมมาเจียระไนเป็นเส้น ๆ ชิ้น ๆ แล้วเรียงปะ ๆ บางทีก็เอาสี่เหลี่ยมปะ ๆ คือเอาชิ้นเล็กมาต่อให้เป็นอันใหญ่ เป็นพืดสีแดง และเพชรสีขาว ศิลปะอันนี้แหละครับ ฝรั่งทำ ไทยก็เลียนแบบ วัสดุไทยก็ทำ ไทยก็มีฝีมือ และพวกเศษทั้งหลายที่กอบกันมาอยู่ในประเทศไทยครับ ฉะนั้น ที่เรียกว่า เพชรดีมณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย์ 9 อันนี้มีครบถ้วนหมดครับ

คุณธวัชชัย อนามพงษ์ พรรคประชาธิปัตย์ เอามาวันนั้น ผมยังเห็นอยู่ คือไม่รู้ว่าจริงปลอมอย่างไร คุณธวัชชัยบอกว่ามูลค่า 25,000 ล้าน แต่ว่าทำไมพกไปสภาได้ ก็ไม่ทราบได้ นี่แหละครับ คนที่เอาใจใส่อย่างนี้จริง เขาจะเอาของจริงไปแสดง วันนั้นดูแล้วเลยไม่ทันถามรายละเอียด ธรรมดาก็คุ้นเคยกันมาก่อน อยากจะบอกแต่เพียงว่าของอย่างนี้ การทำฝีมือ การเผาอยู่ในเทคโนโลยีของคนไทย การจัดต่าง ๆ โรงเรียนต่าง ๆ เป็นความน่าภาคภูมิใจนะครับ แน่นอนกินไม่ได้หรอกครับ แต่ทำเงินให้บ้านเมืองนี้ได้ เอามาบอกแล้วจะให้ใครไปซื้อไหม ไม่ใช่ครับ บอกให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจว่า ธุรกิจอย่างนี้เป็นธุรกิจที่เป็นหน้าเป็นตาของบ้านเมือง ทำเงินเข้าบ้านเมือง ทำงาน ได้ฝีมือ ที่ไปบอกว่าต้องไปถ่ายทอดเทคโนโลยี ไทยก็เหมือนกันครับ คนไทยก็ไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ใครเหมือนกัน รู้เลยว่าต้องเผาอุณหภูมิเท่าไร เขาตกลงกันอย่างนี้ เขายอมรับสิ่งที่จัดการทำกันมาอย่างนี้ อย่างซื้อขายเพชรรัสเซียเป็นอย่างไร พลอยของเราก็ดังครับ ต้องเอามาบอกไว้ ว่าง ๆ นะครับ วันที่ 27 กุมภาพันธ์เขาเปิดงานถึงวันที่ 3 มีนาคม ที่เมืองทองธานี นี่เป็น

เรื่องที่จะคุยให้ฟังวันนี้ วันนี้เขาจะถามว่าจะพูดเรื่องอะไร ผมก็กลายเป็นภาระต้องหา คืออะไรที่กระทบกระทั่งกับคณะรัฐมนตรี ก็จะเอาเรื่องมาช่วยอธิบายแทนเขา คุยกับเขามา หาผู้เชี่ยวชาญและคุยให้ฟัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าเวลาท่านรัฐมนตรีพูดอะไรออกไป สื่อสารมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ จะทำให้เข้าใจผิด ผมนี่แหละครับจะทำให้เข้าใจ ถูกหรือไม่ถูกไม่รู้นะครับ แต่ผมเข้าใจแล้วมาถ่ายทอดให้ท่านผู้ชมที่บ้านได้เข้าใจด้วย บ้านเมืองต้องการสิ่งนี้นะครับ ต้องการความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และจะทำอะไร และตรงไปตรงมาอย่างไร ต่อไปนี้ผมจะได้คุยในสิ่งที่ผมยกประเด็นไว้วันนี้

เปรียบเทียบราคาพืชผักที่สูงขึ้นกว่าในอดีต

ทีนี้จะคุยให้ฟังนิดหนึ่งว่าเมื่อ 15 ปีก่อน เมื่อเวลาที่แตงกวาออกจากสระบุรีกิโลกรัมละ 5 บาท แต่ว่าถ้าไปตลาดบางกะปิ จะกิโลกรัมละ 14 บาท แพงกว่า 9 บาท แต่ถ้ามาตลาด อ.ต.ก. เขาคัดลูกเล็กออก เขาคัดเอาลูกโตมาขาย เขาขายกิโลกรัมละ 25 บาท เห็นไหมครับ เราเป็นคนบริโภคเราต้องรู้ว่าขับรถเก๋งไปซื้อ อ.ต.ก. 25 บาท แต่ว่าถ้าขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อที่ตลาดบางกะปิ ตลาดบางกะปิมี marketing เขามีความคิดอ่านในการขายที่ อ.ต.ก. ทำไม่ได้ครับ อ.ต.ก. คนซื้อซื้อเป็นกิโลกรัม ซื้อครึ่งกิโลกรัมอย่างน้อย เขาชั่งขายกันอย่างนั้น แต่ว่าทางตลาดบางกะปิเริ่มต้น ท่านฟังให้ดีครับ แตงกวา 5 บาทนั้น เขาขายอยู่บนแผง 14 บาท เหตุการณ์นี้ 10 กว่าปีแล้ว แล้วเขามีคนที่ไปขายกองข้าง ๆ คือบนแผงเสียค่าแผง ข้าง ๆ ไม่เสียค่าแผง เขาขาย 12 บาท ข้างล่างขาย 12 บาท ข้างบนขาย 14 บาท แตกต่างกัน แต่คนข้างล่างเขาทำอย่างไรรู้ไหม เขาจะมีกะละมัง มีกระบะพลาสติกสำหรับไปแบ่ง คือคนจนแถวบางกะปิซื้อแตงกวาทีละกิโลกรัมไม่ได้ เขาใส่ 3 แผ่น เอากิโลกรัมมาใส่ 3 อัน โปรดดูให้ดีครับ 1 กิโลกรัมขายทั้งกิโลกรัมข้างล่าง 10 บาท แต่ไม่ได้ชั่งกิโลขายเพราะไม่มีใครซื้อ ต้องซื้อเป็นจานซื้อเป็นกระบะ ฉะนั้น 3 จาน ๆ ละ 5 บาท แตงกวาก็ประมาณ 3 ขีดกว่า ๆ คือเอากิโลมาแบ่ง 3 ทอด เห็นไหมครับ แม่ค้าขายข้างล่าง 3 ขีดกว่า ๆ ขาย 5 บาท ก็บ้านที่คนจนเขาก็ซื้อ 5 บาท ไม่ซื้อครึ่งกิโลกรัมด้วย แต่ว่าซื้อ 5 บาท แม่ค้าขาย 3 จานก็ได้ 15 บาท ข้างบนขายทั้งกิโลได้ 14 บาท ข้างล่างทั้งกิโลถ้าใครซื้อเขาขาย 10 บาทเท่านั้น เพราะต้นทุนมา 5 บาท มา อ.ต.ก. เขาคัดเอาลูกเล็กออก เขาจะขายแต่ลูกโต ๆ เขาขาย 25 บาท เรื่องอย่างนี้ก็ต้องแล้วแต่สถานที่ เพราะ อ.ต.ก. เขาคัด แพงกว่าของธรรมดา นี่เล่าเรื่องก่อน ๆ ให้ฟัง

เล่าให้ฟังอีกนิดครับเพราะว่าไปเจอความมหัศจรรย์ของการเปลี่ยนแปลงเมื่อวานนี้ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน 15 ปีก่อน มะเขือพวงทั้งถุงจำเป็นสำหรับคนตำน้ำพริก ไม่มีมะเขือพวงไม่สนุก มะเขือพวงถุงหนึ่งแต่ก่อนนี้ 60 บาท 10 กิโลกรัม มะเขือพวงถุง 10 กิโลกรัม 60 บาท เวลานั้น 60 บาทถ้าเข้ามาในเมืองแล้วคนซื้อมะเขือพวงจะไม่มีใครซื้อมะเขือพวงกิโลหรือครึ่งกิโล ไม่มี นอกจากพวกที่ทำแกงขาย ทางบ้านจะซื้อเฉพาะตำน้ำพริกหรือจะซื้อเฉพาะใส่แกง จะซื้อมะเขือพวง 10 บาท เขาก็หยิบมาขยุ้ม 10 บาท เขาซื้อเท่านั้น ขณะที่มะเขือพวงกิโลกรัมละ 6 บาท แม่ค้าจะเอามะเขือพวง 1 กิโลกรัมมาขายขยุ้มละ 10 บาท ๆ ๆ จะขายได้ 10 หน ขายได้ 100 บาทขายปลีก ต้นทุน 6 บาท เพราะทั้งถุงนี้ 60 บาท มี 10 กิโลกรัม เรื่องนั้นผมใช้ข้อมูล ที่เล่าให้ฟังเพราะว่าเป็นเรื่องตื่นเต้นสำหรับผมเองด้วย 10 กว่าปีก่อนเจออย่างนี้ที่สระบุรี เวลานั้นมะเขือพวงซื้อ 10 บาทแล้วครับ เดี๋ยวนี้มะเขือพวงในกรุงเทพฯ ต้องซื้อ 20 บาท 10 บาทแม่ค้าจะหน้างอนะ ถ้าตลาดนางเลิ้งยังขายอยู่ 10 บาท เขาก็หยิบแต่น้อยหน่อย สำหรับตำน้ำพริก 10 บาท เมื่อวานนี้ไป มะเขือพวงที่ตลาดไท ซึ่งเคย 60 บาท เดี๋ยวนี้ราคา 280 บาท แปลว่ามะเขือพวงกิโลกรัมละ 28 บาท แต่ก่อนกิโลกรัมละ 6 บาท พอฟังแล้วผมก็ไม่รู้สึกอะไร ดีใจแทนคนปลูก ดีใจแทนเลยว่าบัดนี้ถุงหนึ่ง 280 บาท กิโลกรัมละ 28 บาท รับมาถึงกรุงเทพฯ เขาขายกิโลกรัมละเท่าไรทราบไหมครับ เขาไม่ขายเป็นกิโลกรัม เราจะไม่มีทางรู้เลย หยิบมา 1 ขยุ้ม 20 บาท ให้หยิบ 5 หนได้ 1 กิโลกรัมก็แล้วกัน ก็แปลว่า 100 บาท ต้นทุน 28 บาท เห็นไหมครับ เราไม่ได้กินมะเขือพวงกันทั้งวัน แต่ยกตัวอย่างว่าเรื่องน่าคิดจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค

แล้วไปอย่างไรมาอย่างไร มีเรื่องที่เราต้องคิดว่า ตอนนี้ผมจะใช้กระดาษสักนิด เพราะว่าเมื่อทำการบ้านมาแล้วก็ให้ท่านดูว่าที่เขาขายผักกันนี้ แตงร้าน แตงกวา แตงกวาเดี๋ยวนี้ เมื่อก่อน 5 บาทที่ผมคุยไว้ วันนี้ 13 บาท เปลี่ยนแปลงพอสมควร ถุงหนึ่งเคยซื้อ 50 บาท 10 กิโลกรัม 50 บาท แตงกวาเดี๋ยวนี้ 130 บาท แปลว่ากิโลกรัมละ 13 บาท มาดูแตงกวาว่าเข้ามาในเมืองแล้วราคาเท่าไร แตงกวากิโลกรัมละ 13 บาทต้นทุน เวลานี้ขายแตงกวา 35 บาท บางครั้งขาย 40 บาท เห็นไหมครับ ต้นทุน 13 บาทมาถึงตลาด 40 บาท 40 บาทนี่คือ อ.ต.ก. ถ้าไปบางกะปิจะประมาณ 25 บาท แล้ว 25 บาท 1 กิโลกรัมเขาก็ใส่ 3 จาน เดี๋ยวนี้ไม่ใช่จานละ 5 บาทแล้ว แตงกวาเป็นจานละ 10 บาท ขายทั้งกิโลกรัมขาย 20 บาท แต่แบ่งกิโลเป็น 3 อันใส่ 3 จาน เขาก็ขาย 30 บาท จานละ 10 บาท ไปแต่เช้าก็ 10 บาท พอเย็น ๆ เขาจะร้องขาย 3 จาน 25 เขาขายราคาเหมือนยกกิโลกรัม นี่เป็นเรื่องของความเปลี่ยนแปลง

ที่อธิบายให้ฟังอย่างนี้ผมจะยกตัวอย่างนิดหนึ่ง ฟักเขียว 1 ถุง 10 กิโลกรัมราคา 50 บาท ฟักเขียวลูกขนาดกำลังใช้กิโลกรัมละ 5 บาท มาดูที่ตลาดขายเท่าไร ตลาดขาย 20 บาท ต้นทุน 5 บาท แต่มาถึงตลาดขาย 20 บาท ทุกอย่างเป็นลักษณะอย่างนี้หมด ถูกต้อง แน่นอน อย่างกะหล่ำปลี เวลานี้กะกล่ำปลีแพง 15 บาท มาถึงที่ตลาด 28 บาท เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างจะเป็นอย่างนี้หมด ปัญหาคือว่าเมื่อเล่าให้ฟังอย่างนี้แล้ว คิดว่าอย่างไร ผมต้องคิดให้ฟังว่าเมื่อเวลาที่เรา เราดูฟักทอง เมื่อสมัยก่อนกิโลกรัมละ 6 บาท เดี๋ยวนี้ฟักทองขึ้นมาเท่าไร กิโลกรัม 7 บาท ลูกโต ๆ ที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ 8 บาทอย่างเก่ง มาถึงตลาดขายเท่าไร มาถึงตลาดขายกิโลกรัมละ 25 บาท ฟักทองลูกใหญ่หนัก 7 กิโลกรัม 175 บาท ต้นทุนกิโลกรัมละ 7 บาท 7 x 7 = 49 บาท ทั้งลูกซื้อจากตลาดไท ลูกละ 49 บาท แต่มาถึงตลาดทางนี้แล้วกิโลกรัมละ 25 บาทเป็น 175 บาท อย่างนี้แปลว่าการขนส่งสินค้าไปมา ที่เรียกว่า Logistic มะนาว เวลานี้มะนาวเริ่มแพงอีกแล้ว เพราะเหตุว่าร้อน แล้งเข้า ก็ยังพอมีขาย มะนาวไปซื้อที่โน่นขายส่ง 1.25 บาท แต่มาถึงกรุงเทพฯ 3 บาท 3 ใบ 10 บาท เริ่มแพงแล้ว ต่อไปเวลามะนาวแพง แพงจริง ๆ ลูกละ 8 บาท เวลาที่น้อยเกี่ยวกับอุปสงค์อุปทาน ที่เรียก supply demand เพราะฉะนั้นจะเล่าให้ฟังว่า เรื่องเวลานี้ที่คุณมิ่งขวัญฯ (นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) ท่านกำลังเจรจาความ

หาแนวทางแก้ไขราคาหมูเนื้อแดงที่แพงขึ้น

เวลานี้พอถึงเรื่องหมู คำอธิบายเรื่องหมู ผมฟังเข้าหู แต่ว่าคนบริโภคจะฟังหรือไม่ เวลานี้หมูกิโลกรัมละ 120 บาท แต่ก่อนกิโลกรัมละ 100 บาท ถามว่าทำไม เราต้องคิดถึงเรื่องนี้ ว่าทำไมเนื้อไม่เปลี่ยนแปลง ทำไมแพงหมู เนื้อไม่เปลี่ยน อย่างนี้เราต้องรู้ทันทีว่าต้องมีเฉพาะเรื่อง เขาบอกว่าที่เกิดหมูแพงนี้ เรื่อง supply demand เรื่องเกี่ยวกับเกิดเหตุในการเลี้ยงหมู การเอาลูกหมูไปขาย มีการขาดแคลน พอมันน้อยก็ขายแพง ตั้งราคา ซึ่งราคาซากหมู คือหมูฆ่าเสร็จแล้วตัดเลย เขาขายเฉลี่ยชั่งกิโลมาขายเลย แพงกว่าเดิมเพียง 3 บาท แต่ทำไมเมื่อมาขายเป็นกิโลแล้วถึงเนื้อแดงขึ้นไปกิโลกรัมละ 120 บาท เวลาพูดถึงราคาอะไรต่าง ๆ นั้น ท่านโปรดฟังให้ดี เราต้องมีความเป็นธรรมทั้งผู้ผลิต ทั้งคนกลางและผู้บริโภค เราซื้อหมูมาฆ่ากินโดยตัวเองได้ไหม ไม่ได้ครับ ไก่มาให้ฆ่ายังไม่ฆ่าเลย ตัวเล็กกว่าหมูตั้งเยอะ ฉะนั้นต้องให้มีคนเขาฆ่า ต้องมีคนเขาเลี้ยง มีคนเขาขนมาฆ่า ฆ่าเสร็จแล้วเขาต้องไปที่ตลาด เขามีเขียง จากเขียงนั้นถึงจะถึงเราเป็นผู้บริโภค เพราะฉะนั้นตรงนี้เมื่อเห็นเหตุ เราต้องดูว่าเราควรจะต้องแก้ได้ เราควรจะต้องแก้เหตุได้

เริ่มต้นอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นอย่างนี้เพราะเนื่องจากว่ามีอุบัติเหตุในการเลี้ยงอะไรต่าง ๆ จังหวะจะโคนเขาว่าจะแพง ถ้ามันจะแพงแล้วมันแพงตรงไหน แพงที่หมูเนื้อแดงกิโลกรัมละ 120 บาท ถามว่าไปกินส่วนอื่นของหมู ส่วนอื่นยังถูกกว่า สามชั้นก็ต้องลงไปถูกกว่า กระดูกก็ยังถูกกว่า แต่เราเอาราคาหมูเนื้อแดงมาตั้ง แล้วบอกว่า 120 จะตายอยู่แล้ว เคยขายอยู่ 100 บัดนี้ขึ้นมาเป็น 120 บาท แปลว่าขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ สินค้าขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์เป็นไปไม่ได้ คนขายหมูต้องอธิบายให้เข้าหูคนบริโภค ผมนี่เข้าหูมาแล้ว ฟังแล้วถึงเอามาคุยได้ว่ามันเกิดอุบัติเหตุในการเลี้ยง ทั้งขบวนการการเลี้ยง ต่อไปถ้าเข้าที่เข้าทางแล้วจะกลับมาสู่ราคาเดิม ความแพงนั้นแพงอยู่แล้ว 100 บาทแพงอยู่แล้ว ต้องแปลว่าหมูเนื้อแดง เนื้ออื่นก็ไม่ถูกไม่แพงอย่างนั้น กระดูกหมูราคากิโลกรัมละ 22 บาท ไปซื้อสามชั้นก็ราคาถูกกว่า ส่วนต่าง ๆ ของหมูนั้นไม่ได้ 120 บาทหมด นี่พูดให้เข้าใจไว้เท่านั้นเอง แล้วจะมาออกรับแทนคนขายหมูด้วย การเจรจาความจะเป็นอย่างไร ถ้าเริ่มต้นบอกว่ามีน้อย ขอดูหน่อยว่ามีน้อยมีอย่างไร

เวลาเห็ดโคนออกใหม่ ๆ กิโลกรัมละ 500 บาท เห็ดโคนออกใหม่ ๆ ออกมาประมาณสัก 2 เดือนอย่างมากไม่เกิน เวลาที่ออกมานานแล้วจะลงมา 300 บาท เป็นเห็ดแพงครับ เห็ดโคนกิโลกรัมละ 500 บาท ออกมาเยอะ ๆ แล้วกิโลกรัมละ 300 บาท ทั้งเดือนก็หมดหายไป แต่เห็ดฟางเห็ดนางฟ้า เห็ดนางโลม เห็ดหูหนูขาว ออกทั้งปี เพราะฉะนั้นใครจะกินเห็ดโคนก็ให้คนมีเงินเขากิน เขาซื้อกันตรงนั้น อร่อยแน่นอน แต่ใครจะกินเห็ดฟางมีขายทั้งปี เห็ดฟางอยู่ที่ตลาดบางกะปิ ขายกิโลกรัมละ 60 - 65 บาท อย่างแพงวันไหนแพงก็ 70 บาท เขาถึงเอาแต่ดอกโตมาใส่ เขาขาย 100 บาทที่ อ.ต.ก. แปลว่าเราต้องรู้ด้วยครับ เอาราคา อ.ต.ก. เป็นฐานก็ไม่ได้ ผมขับรถเก๋งไปซื้อ เขาเสียค่าที่แพง เขาขายกิโลกรัมละ 100 บาทเห็ดฟาง แต่ไปบางกะปิ 60 – 70 บาท อย่างนี้แปลว่าจะกินเห็ด จะใส่เห็ดฟางใช้ได้ เห็ดนางโลมใช้ได้ เห็ดนางฟ้าใช้ได้ เห็ดนางฟ้าภูฏาน มีเห็ดให้เลือกมากมายก่ายกอง เพราะว่าชมรมเห็ดของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ และของเราแม้แต่เห็ดโคนหลวงก็ทำสำเร็จ แต่ว่าไปดูแล้วบางทีก็มี บางทีก็ไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็เลยต้องว่า เอาเห็ดมาเป็นมาตรฐาน ถูกต้องครับ บริโภคได้ มังสวิรัตก็กินเห็ดได้ แต่ต้องรู้ว่าเราจะกินเห็ดโคน เห็ดโคนนอกฤดูมีไหม มี อยู่ที่ไหน ในขวด อยู่แถวไหน หลังตลาด อ.ต.ก. ริมตรงทางเข้าต้นโพธิ์ที่เขาเล่นหมากรุกกัน มีร้านค้าเข้าไป มีทุกวัน ขวดละ 600 บาท นับดูสิครับ เก่ง ๆ ประมาณสัก 30 ดอกยาว ๆ ดอกยาวตั้งค่อนคืบ ใส่ขวด 600 บาท ก็ให้คนมีเงินเขากินไป วันไหนจะถูกลอตเตอรี่ก็ไปซื้อกินแล้วกัน ก็เห็ดฟางถูกกว่ากินเห็ดฟาง ผมก็กินเห็ดฟาง นาน ๆ มีคนฝากเห็ดโคนมาให้ก็กิน เพราะเขาฝากมาให้ คือคนกินไม่ต้องซื้อ

อย่างนี้คือเล่าให้ฟังว่าทำไมเรื่องระหว่างผู้ผลิตผู้บริโภค เมื่อผู้ผลิตเขามีปัญหาเรื่องหมู บอกไปกินกระดูกหมู เดี๋ยวโดนด่าอีก กินโครงไก่ก็ว่ากันไป ไม่จบ นี่เป็นเรื่องต้องย้อนหลัง เขาเข้าใจว่าเอาซี่โครงไก่มาต้มแล้วเอามาดูดกิน ทั้ง ๆ ที่คำว่าโครงไก่คือต้มเป็นน้ำซุป ไม่ต้องต้มให้เปื่อย เอาฟักใส่เอาอะไรใส่ อธิบายให้ฟังเข้าใจ ว่าไปซื้อนี้ 20 – 30 บาท แต่ต้มได้ทั้งหม้อ กินทั้งบ้าน ไม่เข้าใจ ยังเยาะเย้ยถากถางอยู่จนวันนี้ ว่าซี่โครงฟักต้มซี่โครงไก่ เป็นอย่างไร ผมจะถามสิเป็นอย่างไร

อธิบายความที่ถูกต้องของเรื่องโครงไก่ต้มฟัก

เมืองจีนกินฟักต้มกระดูกไก่ ต้มกระดูกหมู เนื้อส่งขายหมด ประเทศไทยไปช่วยเมืองจีน ไก่บอยเลอร์ บริษัทเป็นของ ซีพี ออกชื่อเขาหน่อยก็ได้ เขาไปช่วยให้คนจีนได้เลี้ยงไก่แบบที่ไทยเลี้ยง แล้วส่งออก แล้วเอากระดูกไก่กระดูกหมูต้มให้คนกินในโรงงาน ผมไปมาเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง ไม่มีแล้วครับ แต่ว่านั่นคือความถูก แล้วกระดูกหมู กระดูกไก่ รสชาติดี ซื้อหมูสามชั้นไปใส่ ซื้อเนื้อไปใส่ ไปต้ม น้ำรสชาติสู้กระดูกไก่ต้มกระดูกหมูต้มไม่ได้ ดีอย่างนั้นถึงว่า เอาฟักใส่ก็อร่อย เอาหน่อไม้ใส่ก็อร่อย หัวไชเท้าใส่ก็อร่อย อธิบายความจนกระทั่งบัดนี้ซี่โครงไก่ต้มฟัก เรียกซี่โครงไก่ต้มฟักก็เป็นความเชยของคนเรียกแล้ว ต้องเรียกว่าโครงไก่ ทั้งโครงตั้งแต่คอตั้งแต่ตัว ตอนนั้น 3 โครง 1 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 10 บาท ซื้อฟัก 10 บาทเป็น 20 บาท รากผักชีกระเทียมพริกไทยใส่น้ำปลา ต้มได้ทั้งหม้อกินทั้งบ้าน 30 บาทกินทั้งบ้าน ไปซื้อเขาตอนนั้นถุงละ 15 บาท ถุงละ 20 บาท กินได้ 2 คนผัวเมียก็หมดแล้ว

พูดอย่างนี้ พอเรื่องกับข้าวพูดจาคล่องแคล่ว ต้องพูดอย่างนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ราคาระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค นี่ละครับ รัฐบาลผมจะตามไปดูเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม คนปลูกก็ควรจะได้ราคานี้ คนกลางควรจะน้อยหน่อย ไม่ควรจะเอิกเกริก ต้องดูการขนส่งมาตลาด การจะส่งอย่างไร เสร็จเรียบร้อยแล้ว มาพูดให้ฟังจะต้องเป็นข่าว ถูกต้อง จะเป็นข่าวก็ทำได้ แต่ต้องเข้าใจว่ามาพูดให้ฟังเหมือนกับเศษสตางค์

การใช้เศษสตางค์ช่วยทำให้ขึ้นราคาสินค้าอย่างเป็นธรรม

ให้เก็บเหรียญบาท ผมเข้าใจของผมว่าเหรียญบาทคือเศษสตางค์ 5 บาทคือเศษสตางค์ 10 บาทคือเศษสตางค์ คนโรงกษาปณ์เข้าใจว่าเศษสตางค์ต้อง 25 สตางค์ ต้อง 50 สตางค์ ผมก็หลุดไปบอกว่าเรื่อง 25 สตางค์ 50 สตางค์ ให้เขาใช้กันในซูเปอร์มาร์เก็ต แปลว่าอย่างไร แปลว่าราคาสินค้าที่วาง 3.25 บาท 3.50 บาท แปลว่าทศนิยม .25 .50 .75 ในซูเปอร์มาร์เก็ตเขาเสนอขายได้ เพราะเวลานั้นเขากดเครื่อง เห็นไหมเรื่องอย่างนี้ เสร็จแล้วบอกจะไปทำเหรียญ 50 สตางค์ เขามีใช้อยู่พอแล้ว แต่เหรียญบาทอย่าเลิก ผมบอกว่าข้าวแกง 20 บาท ขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์คือ 21 บาท แม่ค้าขาย 100 จานต่อวัน แม่ค้าได้เพิ่ม 100 บาท ซื้อของแพงขึ้น 50 บาท เอาไว้อีก 50 บาทซื้อของอื่นแทนของตัวเอง นี่คือความเป็นธรรม ถ้าไม่พอ ตกลงกันได้ 2 บาท จาก 20 บาทเป็น 22 บาท แปลว่าแม่ค้าต้องซื้อของแพงขึ้น ขายได้กำไรวันละ 200 บาท ซื้อของแพง 100 บาท เอาไว้ซื้ออย่างอื่นแพงอีก 100 บาท นี่คือคำอธิบายง่าย ๆ เหรียญ 1 บาท เหรียญ 5 บาท เหรียญ 10 บาท สมมติว่าขึ้นไป 22 บาท เขาให้มา 30 บาทก็ต้องทอน 8 บาท ให้มา 25 บาททอน 3 บาท ต้องการอันนี้ครับ แล้วยังทำได้อยู่ ผมบอกยังไม่สายเกินไปถ้าจะเก็บเหรียญบาทเอาไว้ เล็กที่สุด ทำอย่างนั้น นี่คือคำอธิบาย แล้วเมื่ออธิบายแล้วก็มาอธิบายเรื่องกับข้าววันนี้ ต้องการให้รู้ว่าเป็นเรื่องน่าคิดระหว่างผู้ผลิตถึงผู้บริโภค

เรื่องการเดินทางที่แพงจนเกินเหตุ รัฐบาลผมจะช่วยลงไปดูว่าจะเป็นอย่างไร ผมไม่ต้องลงมือ คุณมิ่งขวัญฯ เขาเข้าใจ เขาจะหยุด เขาช่วยรัฐบาล 4 หน่วยงานที่เขาไม่ขึ้นราคาสินค้า เขาก็ขอบคุณ เขาช่วยคือเขาไม่ขึ้น แต่คนอื่นจะต้องขึ้น ก็จะต้องปรับปรุงให้เขา พวกที่อยากดูจริง ๆ ขายน้ำมันพืชกันหยก ๆ 29 บาท บอกน้ำมันพืชจะไปทำไบโอดีเซล ขึ้นพรวดพราดไปจ่ออยู่ที่ 49 บาท 29 บาทขึ้นไป 49 บาท มันขึ้นไปได้อย่างไร ทำไมขนาดนั้น นี่ละครับที่จะต้องมาตอบคำถาม จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ขอประทานโทษครับ เรื่องนี้บางทีจะต้องคุยต่อ แต่สัญญาไว้ว่าจะตอบคำถาม เมื่อคราวที่แล้วบอกว่ามัวแต่คุยไม่ตอบคำถาม

คำถามมา อยากทราบว่ายูคาลิปตัสพันธุ์อะไรที่ไม่มีผลต่อดินทำให้ดินไม่เสีย ลองไปถามราชการครับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประทานโทษครับ กระทรวงเกษตรฯ คณะวนศาสตร์ จะเป็นคนตอบ แต่รับประกันได้ว่าผมจะมีหน้าที่เอาข้อมูลไปออกให้อ่านกันทางหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องพันธุ์อะไร คนที่เขาปลูกอยู่แล้ว เขาดำเนินการอยู่แล้ว แต่แนะนำให้รู้ว่าปลูกแล้วไม่เสียของ นาก็ทำนาได้ นั่นก็อยู่บนคันดิน ประเด็นเรื่องยูคาลิปตัส ปลูกมา 10 กว่าปี ตัดไม้ขายได้ทุกปี ไร่ละ 5,000 บาท แนะนำให้ปลูกกันตามคันนา ไม่รณรงค์ให้ปลูก ถูกต้องครับ แนะนำปลูกคันนาครับ ปลูกบนดิน 300 ต้นได้ 2 ตัน ปลูกบนคันนา 100 ต้นได้ 5 ตัน ต้องปลูกบนคันนาครับ

ทำประชาพิจารณ์เรื่องปราบยาเสพติดน่าจะได้ผลดีกว่า ไม่ต้องประชาพิจารณ์หรอกครับ พูดให้ท่านฟังให้เข้าใจตรงนี้เท่านั้นเอง นโยบายฆ่าตัดตอน ใครใช้คำนี้แสดงว่าแย่ นโยบายฆ่าตัดตอน นโยบายบ้าอะไรฆ่าตัดตอน จะใช้สำนวนนี้เดี๋ยวว่าเอาอีกแล้ว สมัครเริ่มออกฤทธิ์อีกแล้ว ใช้คำนี้ สำนวนสนทนาต้องแบบนี้ครับ นโยบายปราบปรามยาเสพติดเด็ดขาด เท่านี้ละครับ ตำรวจไปฆ่าเขาตาย ตำรวจต้องขึ้นศาล แต่ผู้ร้ายกลัวจะถึง มันฆ่ากันเอง ถามว่าแล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าจะไปออกรับแทน พูดไปซ้ำซาก

ค่าจอดรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ที่สนามบินสุวรรณภูมิราคาแพงมาก ประชาชนเดือดร้อน ผมอยากเรียนครับ สนามบินสุวรรณภูมิคือเขาเป็นสถานที่ที่เขาเรียกเป็น International เพราะฉะนั้นราคาเขาตั้งเอาไว้ เขามีราคาไทยราคาเทศไม่ได้ครับ บะหมี่ชามละ 170 บาท แล้วคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐเท่าไร เอา 30 ไปหาร ประมาณมาถึง 6 เหรียญ 5 เหรียญครึ่ง ก็ราคาสากล บะหมี่ที่แอร์พอร์ตราคา 5 เหรียญครึ่ง ปกติ ฝรั่งกินของเราได้ 6 ชาม ต้องขอความกรุณาครับ ถ้าแพง ถ้าหิวอย่างไรก็ต้องกินครับ เดี๋ยวไปอดตายที่นั่น แต่ว่าถ้าไม่จำเป็น ไม่กิน ผมนาน ๆ ก็กินที 170 บาทถึงได้รู้ราคา ราคาที่นั่นแพงทุกอย่าง เพราะเขาทำสำหรับคนที่เดินทาง ในกระเป๋าเขาไม่ใช่เงินไทย ต้องขอความกรุณาจริง ๆ นี่ไม่ได้ไปออกรับแทน ค่าจอดรถนี้จะตรวจสอบหน่อย เพราะว่าเขาจะคิดเอาทุนคืนค่าสนามบินหรือเขาต้องการจะไม่ให้คนจอดมาก มีนักคิดครับ แพงเพราะไม่ต้องการให้ไปจอดมาก แพงเพราะว่าจะได้ไปหลาย ๆ คนได้รวมกันไป จะไปส่งเพื่อนคนหนึ่งมีเพื่อนตามไป 5 คน รถจอด 5 – 6 คัน อย่างนี้ควรจะคิดว่าต้องจ่ายเท่าไร จะไปคันเดียวกันก็จ่ายคันเดียว นี่ผมช่วยคิดแทนให้ แต่จะรับไปดูให้ว่าแพงอย่างไร พอสมควรไหม ถ้าผมมีความรู้สึก ผมจะมาเล่าให้ฟังด้วย

ไม่สนับสนุนตั้งเขตปกครองพิเศษในจังหวัดภาคใต้ เรื่องนี้พูดกันในห้องเล็ก ๆ ผมไปคุยมาแล้วครับ ไปคุยมาแล้วเลย คุยเสร็จทางนี้ได้ฟังเหรียญข้างเดียว ไปดูเหรียญอีกข้างด้วย คุยมาแล้ว เรื่องนี้ยังไม่ปรากฏในนโยบายอะไรทั้งสิ้น อย่าห่วง ๆ เป็นเรื่องบังเอิญ แล้วท่านผู้พูดท่านก็บอกเลยว่าท่านโอเค ๆ

ดำเนินการเน้นเรื่องการศึกษา การเรียนการสอนของนักเรียนมุสลิม คือว่าทำอย่างไรให้นักเรียนอิสลามในไทยได้เรียนเหมือนกัน ถูกต้องครับ อันนี้เป็นความคิดอ่านของเราเลย เขาก็พูดจาทีบอกว่าเรียนไทยครึ่งเรียนของเขาครึ่ง เขาก็อยากเรียนศาสนามาก เรื่องการเรียนกำลังเจรจาความกันเลย ต้องเรียน เพราะมีปัญหาเรื่องว่า เขาไปตั้งกฎเกณฑ์ไว้ให้นักเรียน นักเรียนต้องหัวละ 10,000 กว่าบาท โรงเรียนพุทธ 5,000 กว่าบาท แล้วโรงเรียนพุทธปิดหมด ไปเข้าโรงเรียนเอกชน เรื่องนี้ได้มาจากข้างใน เรื่องนี้ไม่ปิดบัง เป็นเรื่องจะต้องแก้ไข ถูกไหมครับ เผาโรงเรียน โรงเรียนของเราทั้งนั้น โรงเรียนทางนี้ก็ไปเรียน เราต้องอุดหนุนเขา 10,000 กว่าบาทต่อหัว แต่ถ้าโรงเรียนของเราเองอุดหนุน 5,000 บาทกว่า เรื่องนี้กระทรวงศึกษาธิการต้องดูแลแน่นอน ต้องเป็นความเป็นธรรม และตกลงกันว่าเขาอยากจะได้เรียนคนละครึ่งกัน คือเรียนทางยาวีด้วย เรียนศาสนาด้วย แต่ต้องเรียนวิชาการด้วย เพราะว่าเราจะให้เขาได้มีการศึกษา

เงินกองทุนหมู่บ้าน รูปแบบการสนับสนุนให้รับเงินแบบเก่าหรือว่ามีกฎเกณฑ์อย่างไร ถามทันทีตอบไม่ได้ครับ อาทิตย์หน้าจะมาตอบให้ว่าเขาจะมีกฎเกณฑ์อย่างไร

นโยบายเด็กเรียนมัธยมต้นถึงมัธยมปลายจะเริ่มเมื่อไร ก็ต้องเริ่มทันทีครับ เขาต้องเริ่มต้นทันทีเพราะวันที่ 27 พฤษภาคม โรงเรียนเปิดเทอมใหม่ วันนี้เพิ่งเดือนกุมภาพันธ์ มีเวลา 3 เดือนเขาเตรียมกัน ให้เวลาเขานิดครับ นักศึกษากู้ยืมได้เมื่อไร ต้องพูดได้ทันทีว่าเมื่อถึงเวลาจะเริ่มเรียน ต้องกู้ยืมได้ ไม่นานหรอกครับ แล้วก็ก่อนจะถึง 99 วัน ทำได้ก่อนครับ คนทำก็รู้ว่าทำโอกาสอย่างไร คนประมาณเขาบอกว่าเขาขอภายใน 99 วัน เราต้องทำ ไม่มีปัญหาหรอกครับ ไม่มีถ่วง

ทราบว่ารถไฟไปเชียงราย เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าคิด เชียงรายสมัยก่อน อยู่เชียงใหม่จะไปเชียงรายต้องขับรถยาวลงมาที่ลำปาง 90 กว่ากิโลเมตรขับลำปาง จากลำปางขึ้นไปเชียงรายอีก ทั้งหมดแล้วจากเชียงใหม่ไปเชียงราย 375 กิโลเมตร ต้องผ่านพะเยาขึ้นไปทางโน้น เป็นตัว V ต่อไปก็ตัดถนนใหม่ 161 กิโลเมตรจากเชียงใหม่ไปเชียงราย ขวางข้างบนเลย ไปดอยสะเก็ด เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ความรู้สึกที่อยากจะรถไฟก็ลดน้อยลง แต่ความรู้สึกเรื่องนี้ขอคุยไว้ให้ฟังนิดหนึ่งครับ เชียงรายเป็นที่ที่เราคิดว่าถ้ารถไฟจะขึ้นไปข้างบน หรือรถไฟจะข้ามทางหนองคาย แล้วเข้าไปทางเวียงจันทน์ก่อน ถ้าติดภูเขาไปไม่มากขึ้นหนทางลำบาก ถ้าเผื่อขึ้นเชียงรายได้ก็จะเลือกขึ้นทางเชียงราย รถไฟที่ว่าเป็นรางมาตรฐาน เพราะเราขึ้นไปเชื่อมกับที่ข้างบน เรื่องรถไฟจะคุยให้ฟังต่างหากอีกวัน เรื่องนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน

ทีนี้ถามว่ารถไฟสายสีแดงต่อไปถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิตหรือเปล่า เรื่องสายสีไหนยังไม่ออกในรายละเอียด แต่ว่าวันพรุ่งนี้ข้าราชการจะรับรู้นโยบาย และวันถัดไปเรื่องของรถขนส่งมวลชนกรุงเทพบอกได้แต่เพียงว่าจะต้องเพิ่ม และออกไปเหยียบไปที่ชานเมือง 9 เส้นทางประมาณ 300 กิโลเมตร เวลานี้มี 43 กิโลเมตร ใต้ดินมีอยู่ 20 กิโลเมตร ข้างบนมี 23 กิโลเมตร จะมีอีกประมาณ 300 กิโลเมตร และจะลงมือทำ สายไหนตรงไหน ๆ เริ่มก่อน ก็เตรียมการไว้แล้ว จะไม่ทำให้ชักช้า ได้เริ่มลงมือได้ตอกเข็มแน่นอน ดำเนินการแน่นอน

บัณฑิตปัก์ใต้จำนวนเป็นหมื่น ๆ คน เรียนกันไปแล้วกู้เงินไปเรียน แล้วยังไม่มีงานทำแล้วถึงเวลาจะต้องคืนเงินแล้ว เรื่องนี้ต้องมีนโยบายแน่ ถ้ายังคืนไม่ได้ ก็ยังเอาไม่ได้หรอกครับ ไม่มีใครเค้นคอ ถ้าหากบังคับให้เขาทำก็ต้องแก้ข้อบังคับ ต้องมีเวลา แต่ทว่าผมได้คุยกับทางทหารแล้ว แล้วนี่ก็ไม่ใช่ความลับ อุตสาหกรรมเกิดขึ้นไม่ได้ ประมูลสร้างทาง 4 เลนเข้าไปในยะลา ตกลงเสร็จเรียบร้อยไม่กล้าไปก่อสร้าง ผมก็คิดตรงกันเลยกับท่านผู้บัญชาการทหารบก บอกว่าแล้วทำไมไม่เอาทหารช่าง 111 ไป ท่านบอกกำลังดำเนินการอยู่ งบประมาณยังอยู่เหมือนเดิม บริษัทนั้นจะต้องผ่องถ่ายมา ทหารไปทำครับ จ่ายเงินให้ทหาร เพราะ 111 นี้เคยมาช่วยงานในกรุงเทพฯ เยอะ คราวนี้เขาจะยกไปทำ ยะลาจะได้ถนน 4 เลน ทำโดยทหารช่าง วิธีการ ตั้งโรงงาน ๆ ไม่มีใครกล้าไปทำ ตั้งโรงงานไม่กล้าไปทำ ตกลงกันแล้วครับว่าอุตสาหกรรมทหารยังจะเกิดขึ้น ผมพูดถึง อสร. เลย บอก อสร. ขายให้เอกชนไป ทหารตรงนี้ทำ อสร. ดังนะ โรงงานแบบ อสร. ทหารจะไปทำใหม่ อุตสาหกรรมทหารจะไปทำที่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ต้องลงมือเลยครับ ทหารทำ เอกชนลงทุน 49 เปอร์เซ็นต์ ทหารโดยรัฐบาลลงทุน 51 เปอร์เซ็นต์ ลงมือเลยครับ สร้างไปเฝ้าไป เรื่องอย่างนี้คือเรื่องที่เล่าให้ฟังได้

แล้วก็ขอเรียนว่า ตอบคำถามยังไม่มันเท่าไร แค่นี้เอง แต่ว่า อะไรประสบมาผมคุยวันที่ 22 กุมภาพันธ์ วันนี้วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ได้มาผสมผสานเล่าให้ฟังแล้ว มีความหวังครับ มีวิธีการและเป็นที่เข้าใจกันว่าจะแก้ไขปัญหาอะไร ตรงไหน อย่างไร รายการอย่างนี้ละครับเป็นรายการที่ต้องขอบคุณช่อง 11 ที่เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีมาพูดจาประสาสมัคร แล้วก็ได้สื่อความกัน ได้ตอบคำถาม ว่าง ๆ ถ้าเผื่อวันไหนเนื้อหาไม่ดีจะตอบคำถามครึ่งหนึ่งเลย ครึ่งชั่วโมงตอบคำถามเลย วันนี้เวลาหมดส่งสัญญาณแล้ว อาทิตย์หน้าพบกันใหม่ ผมจะบอกให้ฟังไว้ล่วงหน้าว่าจะคุยเรื่องอะไรอย่างไร เนื้อหาจะเป็นอย่างนี้ จริง ๆ ใกล้ ๆ ถ้าเนื้อหาน้อย ก็จะได้คุยเรื่องที่ท่านส่งเข้ามาแล้วผมตอบคำถามไป แต่ว่าจะตอบเท่าที่รู้และตอบได้ทันที เหมือนอย่างที่พูดว่า สร้างทางจะใช้ 111 ทหารราบราชบุรี ทหารช่างราชบุรี เรื่องอุตสาหกรรมใครไม่กล้าลงทุน อุตสาหกรรมทหารจะไปลงทุน ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรลองมาดูสิครับ อสร.เขาทำได้เจริญก้าวหน้า เที่ยวนี้จะทำแบบ อสร. อุตสาหกรรมอาหารกระป๋องอะไรต่าง ๆ อาหารฮาลาล ทหารลงมือครับ ทหารถือ 51 เปอร์เซ็นต์ เอกชนลงทุน 49 เปอร์เซ็นต์ จะลงมือทันที วันนี้ต้องลาก่อนครับ วันอาทิตย์หน้าพบกันใหม่

สวัสดีครับ

ที่มา: กรมประชาสัมพันธ์


สนทนาประสาสมัครครั้งที่2 / Talking in Samak's Style on sunday Feb 17th


รายการ"สนทนาประสาสมัคร" วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551
ถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

สวัสดีครับท่านผู้ชมที่เคารพ ผมสมัคร สุนทรเวช นะครับ

มาสนทนาประสาสมัคร เหมือนอย่างเคย วันอาทิตย์ 08.30 น. หลังพระเทศน์จบนะครับ ก่อนอื่นต้องเรียนว่า รายการคงเป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าอะไรเป็นอย่างไรมา และชี้แจงอะไรที่ขัดข้องกับเรื่องอาทิตย์ที่แล้วนิดหน่อย และต่อไปก็จะคุย สารคดีวันนี้ก็คือเรื่องแก้เศรษฐกิจ เพื่อเศษสตางค์ ก็จะอยู่ท่อนหลัง และเศษ 3 ส่วน 4 ของเวลาทั้งหมดก็จะคุยเรื่องที่ว่า

อยากจะเริ่มต้นตรงนี้ครับว่า เมื่อคราวที่แล้วพอออกอากาศไปแล้ว คนวิพากษ์วิจารณ์น่าดู วิพากษ์วิจารณ์บอกจัดอะไร นั่งเห็นทั้งตัว พุงพุ้ย ผมบอกผมได้ต่อว่าไปแล้ว พวกนั้นมาดูทีหลังเพราะผมต่อว่ากลางอากาศเลย ก็ว่าเสร็จเรียบร้อย วันนี้ก็จัดการครับ นั่งโต๊ะมีแขน มีที่วางเรียบร้อยครับไม่มีปัญหา อธิบายเสร็จเรียบร้อยก็ต้องบอกว่า เล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องโดนวิพากษ์วิจารณ์ครับ ทำไมต้องเช็ดจมูกด้วย มันเป็นเรื่องของว่า ขนจมูกวันไหนถ้ามันไม่ยาว ถ้ามันยาวก็โกนๆ ไปหน่อย เวลาคนพูดนานๆ น้ำลายมันออกมาอยู่ตรงนี้ครับ เราก็รำคาญก็เลยต้องเช็ด ขอให้อภัยเลยครับมันเป็นพฤติกรรมส่วนตัวเล็กน้อย จะพยามยามไม่ให้เช็ดบ่อยหนัก มันก็จะมาเปียกๆ คาๆ อยู่ตรงนี้ ต้องชี้แจงนะครับ ไม่อย่างนั้นก็บอกว่าบุคลิกลักษณะท่าทางไม่ดี เคราะห์ดีวันนี้ไม่ไอนะครับ เดี๋ยวไอจะโดนว่าอีก

รายการวันนี้จะเริ่มต้นด้วยการขอบคุณ ท่านอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ขอบคุณบริษัท ฟาร์ติมา ทำไมต้องขอบคุณ ก็เพราะเหตุว่า มีคนเล่นไม่ค่อยดีกับรัฐบาลนี้ เริ่มต้นก็จัดรายการเลย พูดเสียหาย ท่านอธิบดีและรัฐมนตรีท่านเก่งครับ ให้บริษัทชี้แจง บริษัทก็ชี้แจง ท่านอธิบดีชี้แจงหน่อย 3โมงเย็นท่านอธิบดีชี้แจง เรียบร้อยครับ เห็นได้ชัดเลยครับ เห็นไหมครับว่า เอาความไม่เข้าท่ามาให้รัฐบาล ให้คนในรัฐบาล มาถึงก็ต้องถอดถอนรายการไปเอง คือว่าเขาโครมๆ แล้วก็ถอนรายการออกไป แล้วก็บอกว่าผมสั่งให้ถอน ขอบคุณทั้ง 2 เลย ทั้งอธิบดีและบริษัทจริงๆ ให้คนทั้งประเทศได้เข้าใจว่า เขาเล่นสกปรกกันแบบนี้ ต้องขอบคุณรายการนี้ที่ให้ผมได้มีช่องทางได้มีโอกาสมาชี้แจงเรื่องอย่างนี้ เรื่องหนึ่งแล้วนะครับ

ถัดไปเรื่องทีวีที่จะทำช่องไหนดี ผมเรียนแล้วเลยวันนั้น ครั้งแรกที่มาบอกจะเปิดทีวีช่องใหม่ เท่านั้นแหละ ผมก็นึกสนุกขึ้นมา คุณคอยดูแล้วกันว่าเป็นอย่างไร วิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ เลยกลายเป็นว่า เหมือนกับผมโยนหินถามทาง วิพากษ์วิจารณ์กันน่าดู เสร็จแล้วไปมา สุดท้ายผมก็รำคาญเต็มที ผมก็บอกชี้แจงในวันให้สัมภาษณ์ว่าผมจะทำอย่างไร ผมจะปรับปรุง จะใช้ภาษาอังกฤษเดี๋ยวจะโดนว่า ว่าจะอัพเกรดช่อง 11 ให้เป็น modren 11 ใช้สำนวนช่อง 9 เขานะครับ พอเสร็จเรียบร้อยอย่างนี้ ผมจะทำช่องนี้ ตั้งใจว่าจะทำให้ดีเลย หมายความว่า ใช้เวลาตรวจสอบมาทั้งอาทิตย์ ก็คือว่า จะมีโฆษณาเป็นเฉพาะโลโก้ได้ไหม ไม่โฆษณาสินค้า ดูแลต่างๆ หมด อันไหนที่มันเย็นชาจืดชืดก็จะทำให้มีความทันสมัย พูดชัดเจนเลยครับว่า ทำ ทีวี ช่อง 11 ให้ทันสมัย การเสนอข่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ต้องเชียร์รัฐบาล ตรงไปตรงมา ช่องไหนเขาทำอย่างไรทำเหมือนกับเขาเลย แล้วทำไมรัฐบาลโฆษณาชี้แจงตัวเองอย่างไร บอกมี ก็รายการผม อาทิตย์หนึ่งวันหนึ่ง 27 ชั่วโมง เอา 7 คูณได้เท่าไหร่ ผมใช้ชั่วโมงเดียวแล้วผมจะมานั่งด่ารัฐบาลเองมันคงไม่ใช่ ผมก็ต้องมาสนับสนุนมาชี้แจง ไม่น่าเกลียดนะครับ พูดเองชี้แจงเอง รัฐมนตรีเขามาออกรายการก็ต้องพูดเกี่ยวกับกระทรวงเรื่องงานของเขาเอง เท่านี้พอแล้วครับ นอกนั้นที่ไม่ใช่รัฐมนตรี ไม่ใช่นายกฯ ว่าเลยครับให้ความทันสมัย ก็ยังวิพากษ์วิจารณ์อีกว่าควบคุมสื่อ ให้สื่อเป็นอิสระยิ่งขึ้น แล้วสื่อรัฐบาลด้วย จะให้เขาเป็นอิสระยิ่งขึ้นไม่ดี เรื่องนี้ไม่ได้ครับ ใครพูดอย่างนี้ ท่านผู้ชมทั้งหลายก็ดูแล้วกันว่ามันคิดแบบอะไรอย่างไร ก็ชี้แจงเรื่องทีวีนะครับ รับรองทำได้นะครับ และทำแน่ เมื่อวานพอพูดไปมาแล้วนักวิชาการออกมาแล้ว ทำไม่ได้ ช่อง 11 ปรับปรุงไม่ได้ กฎหมายที่ออกมาครอบคลุมถึงช่อง 11 ผมบอกเกิดเหตุแล้ว พูดไปก็อายคนทั้งประเทศ จะมาออกกฎหมายไว้ให้ตัดเป็นช่อง เอาไปทำ ยังไม่ทันจะลงมือกันเท่าไหร่ บอกทางนี้จะทำ อ้าขาผวาปีกมา ไม่ได้ ช่อง 11 ปรับปรุงไม่ได้ ผมบอกไม่เข้าท่า อย่างออกความเห็นดีกว่าอย่างนี้ ก็คอยดูแล้วกัน ว่าจะทำได้ไม่ได้อย่างไร และถูกต้องตามกฎหมายด้วย

ถัดไปก็เรื่องชอบกลในการเสนอข่าว ชอบกลอย่างไร เรื่องแรก พูดจากันดิบดีเรียบร้อย ทีแรกก็บอกว่าผมจะมาออกมติ ครม. ไม่ใช่ อธิบายว่าเป็นเรื่องที่ 6 พรรค มารวมกัน ตอนหาเสียงก็พูดเหมือนกัน 30% ตอนหาเสียงนะครับ เอาไหม ตกลงก็มอบหมายให้กระทรวงการคลัง เขาไปพูด เขาไปจัดการไปเจรจาไปคุยกันกับต่างชาติ เขาเกี่ยวข้อง เขาเกี่ยวตะขอกันอยู่ ทุกอย่างก็ส่งใส่ไม้ใส่มือกันเรียบร้อย ไม่น่าจะเป็นปัญหา เขาบอกเรื่องละเอียดอ่อน ไม่น่าพูด เดี๋ยวเงินบาทแข็ง เดี๋ยวบาทอ่อน แค่หลุดปากไปคำเดียว บอกว่า คงให้เวลาเขา 2 เดือน ดูว่าจะคืบหน้าไปอย่างไร ไม่ได้คิดอะไรอื่นเลย เสนอข่าวเอาตรงนี้เลยทันที สมัครคาดใช้เวลา 2 เดือน มันก็เสร็จสิครับ แสดงว่า หัวหน้ารัฐบาลไปกำหนดเวลา เป็นสัญชาตญานของคนที่จะให้เวลา ให้เวลาก็ประมาณการณ์ไว้หน่อย ไม่ได้เลยครับ เอาไปขึ้น สมัครคาดการณ์ให้เสร็จ 2 เดือน กลายเป็นว่า รัฐบาลยุ่งอีก ความจริงรัฐบาลต้องดูแล และเป็นการภายใน และรัฐมนตรีคลังเป็นตัวเกี่ยวข้อง อธิบายจนอย่างดี ผมตรวจสอบแล้ว ที่ผมพูดอย่างดีไม่ออก เอาไปเขียนข่าวออกเองเลยว่าเป็นทำนองคาดการณ์ นิเป็นเทคนิคของการเสนอข่าวร้ายให้รัฐบาลเขาทำแบบนี้ครับ พูดจาดี อ่านแล้วเขาฟังก็เข้าใจดี เอาคำที่บอกว่า ก็รอดูเขาสัก 2 เดือน จะอธิบายให้รู้นะครับตรงนี้ว่า ไม่ยุ่ง เป็นเรื่องรัฐมนตรีคลังเขาจะไปดูแล สมาคมพ่อค้า อะไรต่ออะไร คุยกันไปครับ รัฐบาลไม่ว่า แต่รัฐมนตรีคลังเขาก็พูดกับธนาคารชาติ ถ้าลองอย่างนี้นะครับ พูดกันเข้าหูตรงไปตรงมา จะดูสิว่าใครจะตะแบงทำข่าว ตะแบงให้มันเสียหายอีก

ข่าวตะแบงที่ 2 คืออะไร ท่านผู้ชมนั่งดูจะเห็นนะครับว่า คุณหมอสุรพงศ์ สืบวงศ์ลี ต้องตอบคำถามเรื่องจะเอา 111 คนมา คุณหมอท่านเป็นสุภาพบุรุษ ท่านก็ไม่รู้ว่าใครในพรรคพลังประชาชนพูดหรือเปล่า ท่านก็ตอบ ผมดูแล้วว่า หมอสุรพงศ์ ไม่เคยเป็นอย่างนี้ ตอบหลบไปเลียงมา รู้ทันทีเลยว่า ไม่ใช่เป็นต้นต่อข่าว แต่ถูกยัดใส่ปาก แต่ความที่เป็นสุภาพบุรุษ กลัวว่าใครในพรรคจะพูด กลัวว่าท่านนายกฯจะพูดไป พอเสร็จเรียบร้อย พอศุกร์ 11 โมงครึ่งผมสัมภาษณ์ มาเลย ถามผม 111 คนจะเอามาเป็นรัฐวิสาหกิจ ผมถามว่าใครบอก เขาบอกคุณหมอสุรพงศ์ ผมบอกคุณอย่ามาพูดอย่างนี้นะ คุณหมอสุรพงศ์พูดอะไร เขาแสดงความเห็นอึกอักๆ เพราะเขาไม่ใช่เจ้าของคุณไปยัดใส่ปากถามเขา เสร็จแล้ว คุณมาถามผมอย่างนี้ ผมบอกได้เลยว่า คุณไปเอาต้นต่อมา ถามว่าใคร บอกมาว่าใคร ฉบับไหน คนไหนที่พูดเรื่องนี้ ตอบไม่ได้ครับ อย่างนี้ภาษาชาวบ้านเขาเรียก เต๊า กันนะครับ เต๊าออกมาแล้วมาเล่นกันอย่างนี้ เสียหายเห็นไหมครับ ผมพูดเฉียดไปหน่อยเดียวว่า เอาสักครึ่งทาง อีกครึ่งทางก็ดูเรื่อง 111 คนที่จะไปออกนิรโทษกรรม เท่านั้นก็โดนว่าแล้วครับ จะว่าผมก็หุบปาก ตามใจ รัฐธรรมนูญ 3 เดือนจะเลิกค่อยว่ากัน ไปสักครึ่งทาง คือ 2 ปี พูดแค่นั้น ว่า 2 ปีจะทำเรื่องนิรโทษกรรม โดนว่า แล้วอยู่ดีๆ พึ่งว่าไปหยกๆ เป็นไปได้อย่างไรครับ จะไปเอา 111 คนมาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ เป็นไปไม่ได้ครับ ผมบอกเลยเป็นไปไม่ได้ และผมก็ไม่เห็นด้วย บอกได้เลยว่า ใครจะมีตัวคิดสุดแล้วแต่ แต่ว่าก็ต้องปิดแหล่งข่าว คุณปิดไว้สิ ผมไม่ว่า แต่ว่านายกฯ พูด รัฐมนตรีคลังก็ต้องยืนยันต่อไปด้วยว่า ไม่มี คิดยังไม่คิดเลยครับ แล้วไปเสนอข่าวอย่างนี้ แสดงว่าไปเสนอข่าวให้พรรคพลังประชาชนเสียหาย เสนอข่าวให้ทางรัฐบาลเสียหาย ใครจะคิดตรงนั้นไม่คิด แต่เสนอข่าวกันแล้ว พวกนี้จะบ้าหรือไง ผมไม่เห็นด้วยที่คุณว่า 111 คนผิด แต่สภาพสังคมเป็นอย่างนี้ ก็ปล่อยเขาไปอย่างนั้นไม่ต้องยุ่ง วันนี้ที่พูด ต้องการย้ำว่า ไม่ครับ ใครเป็นคนเสนอข่าวเป็นคนรับผิดชอบ มันน่าประหลาดตรงพวกเสนอข่าวไม่ต้องรับผิดชอบ คือเต๊าเอาข่าวออกมา เอาข่าวออกมาให้เสียหาย

เสียหายที่ 3 เรื่องไหนครับ ออกข่าวเอิกเกริกเลย อนุกรรมการ กกต. จัดการตัดสินใจแล้วให้ใบแดงยงยุทธ ติยะไพรัช ออกข่าวอันเอิกเกริก คนนั้นพูดคนนี้พูด โยนลูกกันทั้งเมือง แล้วจริงๆ เป็นอย่างไร ตอนนี้คุณสดศรี ต้องตั้งกรรมการสอบ เถียงกันเอง ความจริงคุณสดศรีท่านไม่ต้องตั้งก็ได้ ผมจะบอกให้ฟังก็ได้ว่า เรื่องนี้ คนที่เขาเป็นประธาน อนุกรรมการ เขาสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขายังไม่ได้ให้อะไรใครอย่างไร เขาไม่ได้พูดสักคำ แปลว่าอย่างไรครับ มันมีวิธีการที่จำทำลายล้างกัน ทำลายล้างกับรัฐบาลนี้ กับพรรคพลังประชาชนด้วย ก็เอาเรื่องนี้มาเล่น อนุกรรมการ เสร็จไม่เสร็จไม่รู้ เขาไม่เคยพูดว่าให้ใคร ไปๆ มาๆ ทำเหมือนกับข่าวรั่ว ปล่อยข่าวออกมาให้แล้วใบแดง วิจารณ์กันทั้งบ้านทั้งเมือง เคราะห์ดีที่ท่านประธานสภาฯ ท่านก็เป็นมวยหลัก ตั้งหลักได้ทัน ก็ตอบชี้แจงไปว่า ข่าวออกมาว่า หน้าถอดสี โธ่! ทำไมไม่เอากล้องไปด้วย ถ่ายให้ดูหน่อยสิ ว่าหน้าถอดสีเป็นอย่างไร หน้าเข้มและหน้าซีดเป็นอย่างไร สำนวนเท่านั้นเองครับ ประธานฟังแล้วหน้าถอดสี เค้าไม่ถอดสีหลอกครับ คนที่เขารู้ว่าเขาทำอะไรอย่างไร แค่ไหน เขาโดยอะไรอย่างไง เขาไม่ถอดสีหรอก เรื่องอย่างนี้นะครับ ผมยกตัวอย่างเรื่อง 30% เรื่อง 111 จะมาเป็นกรรมการ นี้แหละครับ จุดสุดท้าย แสดงให้เห็นว่า มีคนเอาข่าวพรรณอย่างนี้มาทำสกปรก ให้มันเสียหาย เสียหายประธานสภาฯ ไหมครับ เสียหายครับ ผู้คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข่าวรั่วจริง รั่วไม่จริง ผมยืนยันว่าไม่รั่ว ใครจะว่าอย่างไร เชื่อผมไหมว่าไม่รั่ว ออกข่าวอย่างนี้เพื่อต้องการอะไร ต้องการให้กระทบกับ กกต. ทั้ง 5 คน อย่างนี้ว่าอย่างนั้น คนเขายังไม่ทำอะไรอย่างไรเลย ปล่อยให้ธรรมดา ผมเวลาอะไรผมป้องกัน กกต. ตอนเลือกตั้ง ผมก็ป้องกัน กกต. เลือกตั้งแล้วก็ยังป้องกันอยู่

ผมบอกเลยว่า มาจนถึงวันนี้ เลือกตั้งกันมาได้ตลอดรอดฝั่ง พอเลือกตั้งเสร็จ ทั่วโลกก็ชมเชยว่าประเทศไทยเลือกตั้งดี ก็เพราะ กกต. เขาทำงาน มีคนไปแทรกแซง กกต. อยู่ข้างหลัง ผมบอกเลย ผมกัน กกต. โดยทันที และผมแสดงให้เห็นเลยว่า มีจริงไหนม และลาออกไปจริงไหม เข้ามาจริงไหม คนเข้ามาแล้วไม่ได้ใช้เงินจริงไหม จริงทั้งนั้นครับ แต่พวกเสนอข่าวไม่ชอบเสนอความจริงตรงนั้น ไม่เสนอครับ เราก็บอกก็ชี้แจง บอกพอแล้ว เขาถอยออกไปแล้วก็พอแล้ว กกต. ก็เป็น กกต. ตอนนี้กำลังทำงาน กำลังจะเลือก ส.ว. ก็ให้ท่านทำให้ตลอดรอดฝั่งนะครับ คือว่า 5 ท่าน ผู้พิพากษา 4 อัยการ 1 จะด้วยอย่างไร เป็นเรื่องในประเด็นของท่านเอง แต่ทั้งหมดแล้วต้องถือว่า คณะกรรมการ กกต.ชุดนี้ได้ ทำคุณให้บ้านเมืองนี้ คือมีการเลือกตั้ง จัดการเลือกตั้ง เสร็จเรียบร้อย ใครจะขอมาแทรกมาแซงต่างๆ ท่านก็ดำเนินการของท่านจนเสร็จ สุดท้ายเขาต้องชมเชยว่าการเลือกตั้งของประเทศไทยเรียบร้อย ไม่มีข่าวอื้อฉาว จะใบเขียว ใบแดง อะไรก็ว่ากันไป ผมบอกจริงๆ ว่าเป็นหน้าที่ของผมจะต้องดูแล ไอ้พวกเล่นไม่จบนะครับ ยังมีนะครับ หัวหน้าหน่วยงานได้ส่งคนออกไป ยังตามไปขู่ไปเข็น ยังทำอยู่ครับ มือที่มองไม่เห็น ยังดำเนินการอยู่ แต่ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของผมเองครับ ไม่เลิกครับ มีรัฐบาลแล้วจนถึงบัดนี้ยังไม่เลิก ไม่เลิกเรื่องไหนครับ เรื่องรังควานเรื่องการเลือกตั้ง ยังดำเนินการอยู่ เอาละ ใครเป็นหัวโจกดำเนินการคุณก็ระมัดระวังตัวคุณให้ดีแล้วกัน ต่อไปนี้ต้องใช้มาตรการถามว่า คุณทำทำไม คุณจะเอาอะไร คุณต้องการจะทำลายล้างพรรคการเมืองนี้ ใครสั่งต้องได้ตัวแน่นอนครับไม่มีปัญหา ต่อไปนี้ ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้ทำอะไรให้ขุ่นมัวนะครับ แต่ถ้าไม่พูดให้รู้อย่างนี้ ไม่เลิกครับ ยังไม่เลิก ยังเอากันอยู่ ยังพยายามกันอยู่ ผมไม่อยากจะพูดแล้วไอ้มือที่มองไม่เห็นเนี่ย

ท่านนายกฯ:ต้องได้ตัวแน่นอนไม่มีปัญหาหรอกตอนนี้ที่พูดจานี่ไม่ได้ทำอะไรให้ขุ่นมัวนะครับแต่ถ้าไม่พูดให้รู้เสียอย่างนี่ไม่เลิกครับ ยังไม่เลิก ยังเอากันอยู่ ยังเอากันอยู่ ยังสั่งกันอยู่ ผมนะไม่อยากจะพูดแล้วไอมือที่มองไม่เห็นแล้วจะต้องพูดให้รู้ซะ เพราะว่า ยังดำเนินการอยู่ คนในต่างจังหวัดยังรายงานเข้ามาอยู่ว่าความสกปรกยังแพรไปข่มขู่อยู่ไม่น่าเชื่อทั้งๆ ที่มีรับบาลแล้วผม เอาละครับผมจะเล่าให้ฟัง ผมตรงไปตรงมาอย่างนี้แหละครับ แต่ผมรับผิดชอบในสิ่งที่ผมพูด อย่าลืมนะครับ ท่าน กกต.ท่านเชิญชวน จะทำงานอะไรต่างๆ ผมก็ต้องมีหน้าที่เสนอรัฐบาล ท่านจะเลือกตั้ง สว.ก็ขอให้ดำเนินการให้เรียบร้อย

จะอย่างไรหน่วยงานราชการทุกหน่วยก็ขอให้ความสนับสนุนไม่มีปัญหาอื่นครับ วันนี้ต้องพูดถึงท่าน ก็เพราะเหตุว่า คณะอนุกรรมการก็โดนคนทำสกปรกทำสกปรกเพื่อให้ กกต. 5 คนเดือดร้อนอีก ว่ารายงานมาอะไรอย่างไร เสียหายครับ ถ้ามันไม่มีอะไรก็ปล่อยไปตามธรรมชาติมันจะออกหัวออกก้อยก็ตามธรรมชาติ ผมไม่ว่าอะไรได้โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ทีนี้ ถัดไปก็พูดถึงเรื่อวว่าวันนี้ก็โดนตำหนิอีก คือผู้สื่อข่าวเขาชอบคอยตำหนิ คือไปไหนที่มีรายการโผ่ขึ้นมาแล้วไม่บอกก็ถูกต่อว่าครับ เชื่อไหมครับที่แล้วมาคือยังไม่มีอะไรที่เป็นสาระสำคัญมากมาย ผมก็ไม่เก็บว่าเด็กทำอะไรแต่ไรมา แต่ถ้าว่าการประชุม ครม.วันอังคาร พอวันพุธ เขาบอกว่างดประชุมสภา งดวันพุธ งดวันพฤหัส ผมก็รู้สึกงง งด อ้าวงั้นทำงานตามหน้าที่ถวายเจ้านาย คือว่า เราเป็นกรรมการที่จะต้องไปดูแลเรื่องงานพระบรมมศพ ก็จัดการไปดู สิบโมงเช้าคิดจะไปดูถูกต่อว่าว่าไม่บอกไปกันเต็มหมดครับ เขาแจ้งแต่แจ้งกระทันหันหน่อย นั่งไปเต็มหมดไปรอผมเลย ผมจะไปเงียบๆ ธรรมดา อ้าวเขาแจ้งเสร็จเรียบร้อยไปรอผม รถไปติดอยู่ยมราช ไปช้าไป 25 นาที เสียหายครับ ผมก็จะไปดูเรื่องการตรวจซ้อมใช้รถอะไรต่างๆ และก็ไปดูบริเวณสนามหลวง จะขยับที่ทางอะไรอย่างไร และบ่ายก็จะไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช ก็ไม่มีอะไรอื่น ที่ว่าที่จะบอกก็คือว่า วันนี้ต้องว่าผมอีก เพราะว่า วันนี้มีงานพระพุทธศาสนา ทำสนามหลวงไม่ได้ก็ต้องไปทำสวนลุม และก็ทางพระท่านก็แจ้งมาท่านนายกฯจะไปผมก็ต้องไป วันนี้บ่าย 2 โมงผมจะไปสวนลุม ไม่มีหรอกครับ สมมุติว่าเช้าวันนี่ ผมจะไปบอกใครก็ไม่ได้ เดี๋ยวเดือดร้อนคนรับฝากเดือดร้อน ก็บอกเสียตรงนี้ผมจะไปสวนลุมบ่าย 2 โมง คุณจะไปทำข่าวหรือไม่ทำก็สุดแท้แต่ แต่ก็อย่ามาว่าอีกแล้วกันว่าไปไหนไม่บอก ทีนี้ก็ตัดไปก็ ถึงเรื่องที่ตั้งใจจะมาคุยวันนี้นะครับ มาคุยวันนี้
วันที่ 21 เป็นวันมาฆบูชา วันมาฆบูชาก็ทุกคนจะต้องเข้าใจจะต้องรู้อะไรอย่างไรนะครับ จาตุรง สันนิบาท อย่างโน้น อย่างนี้ อะไรต่างๆ เรียนหนังสือมาต้องรู้กันหมดแล้ว ที่รู้ก็คือว่า ขอได้อ้างอิงพระพุทธศาสนาหน่อย ผมนี่แหละครับ ใช้ธรรมะ ใช้หลักการทางพระพุทธศาสนา เอามาใช้ในการบริหารบ้านเมือง คือถ้าเราศึกษาเรื่องพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เรื่องมาฆบูชา ไม่ใช่วันวิสาขบูชา วิสาข นั้นคือ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพาน ประถมเทศนานะ วันนั้น ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพานนี่ วันเดียวกันทีนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้นี่สมัยเด็กต้อเรียนนะครับ สมัยนี้ไม่รู้มีหรือเปล่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรพระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัตย์สี่ เรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรค มรรค อธิบายความง่ายๆ ก็คือว่า ท่านได้ตรัสรู้ว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เป็นทุกข์ในหลักพระพุทธศาสนา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าต้องไปหาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ถึงจะรู้ว่า เมื่อมันดับทุกข์แล้ว มันมีความสุขอย่างไร

และสุดท้ายก็สอนหนทางไปสู่การดับทุกข์ ทุกข์ก็เห็นแล้ว สมุทัยก็ทำให้เกิดทุกข์ นิโรคก็การดับทุกข์นี่ ทำสงบอย่างไรและก็ มรรคก็คือหนทางดับทุกข์ ผมได้คุยเสมอ เรื่องจราจรติดขัดก็เป็นทุกข์ครับ เงินเดือนน้อยก็เป็นทุกข์ ไม่มีเงินใช้ก็เป็นทุกข์ มีเงินมากก็เป็นทุกข์ และทำอย่างไร ความทุกข์ต่างๆ เหล่านี่ วันนี่ราคาสินค้าแพงโดยไม่มีเหตุผลย่อมเป็นทุกข์แน่นอน เอาลองฟังดูครับ

ผมได้รับความทุกข์ของพ่อค้าแม่ค้ามาฟัง ลองฟัง ลองปล่อยให้ดูซิว่าพ่อค้าแม่ค้าแสดงความเป็นทุกข์อย่างไรครับ ลองเอาออกมาให้ดูซิว่า ออกแล้วหรือครับ ไม่มีภาพให้ผมดูด้วยหรอผมดูด้วยก็ได้นิวันนั้นพ่อค้าแม่ค้าต่อว่านะ ออกไปแล้วหรอ ไม่ได้หรอกครับ ผมก็เหมือนกำกับอยู่ตรงนี้เพราะไปดับหมด 3 ช่อง ไม่รู้ช่องไหนถ่ายภาพผมอยู่ เอาละฟังแม่ค้า

แม่ค้า: สิ้นค้าช่วงนี่ ท่านนายกฯมีนโยบายหรือวมีข้อคิดเห็นอย่างไรในการขึ้นราคา เพราะไม่ว่าจะเป็นข่าวหรือว่าเป็นไข่ หรือว่าสินค้าที่เป็นสินค้าอุปโภค บริโภค ตอนนี้ทุกอย่างก็ถูกปรับตัวขึ้นราคาสูงหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน หรือว่าราคาน้ำตาลทราย ราคาน้ำปลา สินค้าที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวันอย่างนี่ค่ะ ก็อยากให้ท่านนายกฯมีคำตอบให้กับประชาชนทุกคนด้วยค่ะขอบคุณค่ะ

แม่ค้า: ค่ะก็อยากให้ท่านนายกฯ เพราะว่าตอนนี้มีแม่ค่าหลายคนที่ค้าขายข้าวแกง หรือว่าอาหารตามสั่ง เขาจะบอกว่าของพวกนี่แพงมากกๆ เลยนะค่ะก็อยากให้ท่านนายกฯ ฝากตรงนี้ด้วยนะค่ะเพราะว่าของทะเลอะไรตอนนี้ก็แพงมากๆ เพราะว่า อย่างค่าน้ำมัน ตอนนี้ก็เดือดร้อนกันไปหมดนะค่ะตรงนี้ก็ขอฝากท่านนายกฯด้วยนะค่ะ

แม่ค้า: ก็อยากบอกช่อง 11 ก็อยากฝากบอกท่านสมัครนะค่ะ ตอนนี้ท่านก็เป็นนายกฯแล้วค้าขายตอนนี้ก็ตกต่ำซบเทรามากเลยค่ะ อยากให้ฟื้นฟูแบบเมื่อก่อนนี่ค่ะ ฝากด้วยนะค่ะเร่งมือนิดหนึ่งค่ะขอบคุณมากค่ะ
พ่อค้า:ช่วยบอกนายกฯด้วยครับ และก็กระทรวงพาณิชย์บอกด้วย บอกว่าประชาชนซื้อหมูตอนนี่ค้าบ่นกันแพง ค้าขายก็ขายกันไม่ได้ กับข้าว กับปลานี่ คนจ่ายกับข้าวมาก็บอกว่าหมูทำไมแพงนักไม่มีการแก้ไขหรือย่างไร และอีกอย่างบอกนายกฯด้วยว่ารับๆ หน่อย ประชาชนสำคัญที่สุดเลย

พ่อค้า: ขอฝากนายกฯ หน่อยครับ เรื่องราคาหมูนะครับ ตอนนี้ราคาแพงมากเลยครับ ประมาณโลละ 120 ขอฝากนายกฯ เรื่องราคาหมูตรงนี้ด้วยครับ เพื่อประชาชนเป็นกำลังใจให้นายกฯทำงานครับ

นายกฯ: ขอบพระคุณทั้ง 4 ท่าน ท่านผู้ชมคงเคยเห็นนะครับว่า เคราะห์ดีนะครับผมพูดไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่าวันนี้สาระคดี ประจำสัปดาห์ของผมคือ แก้เศรษฐกิจด้วยเศษสตางค์ ตั้งใจจะมาพูดนะ และก็แสดงความเห็นมาหลายทีหลายทางมาแล้วันนี้จะพูดกับประชาชนทั้งประเทศครับ ก็ทางกระมประชาสัมพันธ์เขาก็เก่งนะครับ ก็ไปหา แค่เขาฟังตรงนั้นเท่านั้นครับ จะถามพ่อค้าแม่ค้าที่ไม่ได้มีการเมคอัพนะครับไปถามแล้วก็เอามาสัก 4 รายการ นี่แหละครับความทุกข์เรื่องสินค้าราคาแพงผมจะบอกให้ฟังครับ สินค้าจะราคาแพงได้ครับแต่ต้องแพงโดยมีเหตุผล โดยมีสัดส่วนของความแพง เวลาน้ำมันพืชมันขึ้นราคาไปทีขวดละ 4 บาทนี่ครับ หมูนี่ 100 หนึ่ง ขึ้นไป 120 ขึ้น 20% นะครับนี่คือทุกข์

ต่อไปนี้ผมจะคุยเรื่องสมุทัย ท่านผู้ชมต้องทนฟังหน่อยครับ ต้องทนฟังผมคุยเรื่องนี้ก่อนแล้วเดี๋ยวมรรคสุดท้ายนี่รัฐมนตรีพาณิชย์ได้กำหนดอะไรไว้อย่างไรจะคุยเรื่องสมุทัยคือเหตุ ที่ทำให้เกิดทุกข์ อยากจะเรียนอธิบายอย่างนี่ครับ เราคนไทยชอบเทียบ อะไรก็เทียบต่างชาติ ๆ เทียบไป เทียบมา เสมอเลยคราวนี้ก็สมควรอ้างครับ ต้องอ้างประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะเรื่องนี้ผมได้ไปเรียนหนังสือที่นั้นเมื่อ 40 ปีแล้ว ก่อนหน้าผมคนไปเรียนแรกๆ สงครามโลกเลิกก็ไปยัง 50-60 ปีที่แล้ว และก่อนหน้านี้สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่อเมริกาเขามีเงินใช้ เขามีอยู่ 6 เหรียญครับ แพงที่สุดของเขาคือ 1 ดอลล่าร์ และก็เหรียญ 50 เซ็น เหรียญ 25 เซ็น คนไทยไปอยู่เรียกเหรียญสลึง เหรียญ 10 เซ็นที่เขาเรียกว่าดายนี่ครับ และก็เหรียญ 5 เซ็น เรียกว่า นิเกิล และก็เหรียญทองแดงเขาเรียกว่า เพนนี เพนนีนี่เล็กที่สุดเป็นสีทองแดง และนิเกิลนี่ใหญ่กว่านะครับ มีใส้ข้างในด้วย 5 เซ็น ดายนี่เนื้อเนียนและบางเล็กเลย 10 เซ็น และเหรียญสลึงนี่เหมือนเหรียญ 5 บาทของเราเวลานี้แต่กลมนะครับ เสร็จแล้วก็เขามีเหรียญ 50 และก็เหรียญ 100 เหรียญหนึ่งเหรียญ เหรียญนะเขาเลิกแล้วเดี๋ยวนี้ไปอยู่ในบ่อนคาซีโนหมด ไปใช้เวลาแจ็คพอตมันไหลลงมา 50 เซ็นก็อยู่ในคาซีโน 25 เซ็นนี่ใช้หยอดเวลาทำสล็อตแม็กชีนอะไรต่างๆ

ผมจะพูดถึงเหรียญ 4 เหรียญ ผมศึกษาเรื่องนี้นี่คือไม่ได้ตั้งใจนักหนาแต่อ่านไปเจอ ๆ แล้วก็สะสมเอาไว้แล้วก็เอามาเล่าให้ท่านผู้ชมได้ฟังอย่างนี้ครับว่าอเมริกา 100 ปีก่อนเมื่อเขาออกเหรียญทองแดงมานี่ครับ เหรียญออกมา เหรียญ 6 เหรียญนี่มันอยู่กับประเทศเหรียญ 2 เหรียญหลัง 50 กับ 100 มันออกทีหลัง แต่ 4 เหรียญแรก 100 ปีก่อนใช้กันอย่างไรนี่ 60 ปีก่อนใช้อย่างไร มาถึงตอนผมไปเรียนหนังสือ 40 ปีก่อนใช้อย่างไร จนถึงวันนี้ใช้อย่างไร เอาตอนผมไปเรียนหนังสือตอน 40 ปีก่อน ซื้อ 98 ทอน 2 ซื้อ 97 ทอน 3 นี่แน่นอนเลยครับ ทำไม่คุยเรื่องอเมริกาก่อนก็เพราะวันนี้จะพูดเรื่องวิธีแก้เศรษฐกิจด้วยเศษสตางค์ นี่คือเศษสตางค์อเมริกัน คนอเมริกันมหาเศรษฐีของโลกเศรษฐกิจใหญ่โตมโหฬาร มีแบงก์ 100 แบงก์ 50 มีแบงก์ 20มีแบงก์ 10 มีแบงก์ 5 มีแบงก์ 1 เหรียญ แต่ก่อนมี 2 แต่เลิกไปแล้ว เชื่อไหมครับ 1 เหรียญที่เป็นธนบัตรนี่ ใช้กันทั่วไปหมดธนบัตรก็ใช้นะครับ เสร็จเรียบร้อยแล้วต้องมีที่เก็บเศษสตางค์ เสร็จเรียบร้อยแล้วธนบัตรใบละ 5 ใช้ ใบละ 10 ใช้ ใบละ 20 ใช้ คนอเมริกันจะพกธนบัตรเกินใบละ 20 ใบละ 50 ก็ไม่พก ใบละ 10 ก็ไม่พกแล้ว ธุรกิจอะไรต่างๆ พวกมาเฟียอะไรใช้ธนบัตรใบใหญ่กันชาวบ้านธรรดาจะใช้ธนบัตรไม่เกินใบละ 20 เขาทำของเขาอย่างนี้นะครับ 40 ปีก่อนเป็นอย่างไรเดี๋ยวนี้ไปอเมริกาเดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น 40 ปีก่อนซื้อ 97 ทอน 3 ซื้อ 98 ทอน 2 และเราเห็นอะไรในอเมริกามาแต่ก่อนนี้ แต่ก่อนนี้เวลาซื้อไก่หนึ่งแพ็คราคา 1 เหรียญ 1 เหรียญคือ 100 เซ็น นะครับ จะเป็นน่องเป็นขาเป็นอะไรหนึ่งแพ็ค 1 เหรียญ วันหนึ่งไก่แพงเขาขายอย่างไรครับ 101 ขึ้น 1 เซ็น ครับ แปลว่าขึ้น 1% 100 เซ็นเป็นหนึ่งเหรียญนี่ ไก่หนึ่งแพ็คขึ้น 101 เขาไม่ใช้10.00เขาใช้ 101 เซ็น ขึ้น 1% ยังแพงอีก 102 103 104 เมื่อไหร่ไก่ขึ้น 105 ชาวบ้านจะรู้สึกแล้วว่าสินค้าแพงแล้วรัฐบาลอเมริกาทำไง เปิดดูรัฐบาลไทยทำก่อน

รัฐบาลไทยจะขึ้นเงินเดือนให้ใครต่อใคร ต้องประกาศเลยรัฐบาลลงมติแล้ว มิติ ครม.ออกมาวันนี้ ออกมติ ครม.แล้วตกลงตัดสินใจว่าให้ขึ้นเงินเดือนข่าวนี้ออกมาวันอังคาร วันพุธ ก็สินค้าขึ้นแล้วขึ้นกันตามใจชอบ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปอีกสัก2-3 เดือนใกล้จะเดือนตุลาตกลงได้ตัวเลขแล้วออกมาแล้วว่าสถิติออกมาคนนั้นได้เท่านี้ ๆ สถิติออกมาขั้นต่ำได้เท่านี้ ขั้นกลางได้เท่านี้ ขั้นสูงได้เท่านี้ แสดงตัวเลขออกมาพอเห็นตัวเลขราคาว่าใครได้เท่าไหร่จะขึ้น 5% 8% 4% รุ่งขึ้นสินค้าออกฉับฉับฉับขึ้นอีกแล้วสื่อก็บอกว่าจำเป็นต้องเสนอข่าว บอกจะขึ้นก็ต้องเสนอข่าว ขึ้นเท่าไหร่ก็เสนอข่าว พอวันที่ 31 ตุลาคม เอาอีกแล้วครับ รับเงินเดือนเดือนแรกวันนี้ข้าราชการรับเงินเดือนเดือนแรก เงินเดือนเดือนใหม่ราคาเท่านี้ ขึ้นอีกแล้วครับสินค้า บอกข่าวเงินเดือนจะขึ้น ราคาสินค้าขึ้น ขึ้นเท่าไหร่สินค้าขึ้น วันนี้ขึ้นแล้วสินค้าขึ้น 3 หนทำไมครับ โทษใครอย่างนี้ ที่อเมริกาเป็นอย่างไรครับ ไก่ขึ้นไป 105 แปลว่าสินค้าอาหารขึ้น 5% แล้ว

ขึ้น 5% แล้วเป็นไง ขึ้น 5% เขาเรียกว่าแพเช็ค เงินเดือนนะครับ ธรรมเนียมของอเมริกามีมาจนบัดนี้และยังไม่เลิกด้วยและคนอเมริกาก็ถือธรรมเนียมว่าเงินเดือนไม่ให้ใครรู้ เงินเดือนได้เท่าไหร่ไม่ให้ใครรู้ ถือเป็นความลับส่วนบุคคล ใครไปถามถือว่าเสียมารยาทอย่างยิ่งจนถึงวันนี้เงินเดือนใครก็เงินเดือนมันพอเขาปรับเงินเดือนเรารับแพร์เช็คเออได้เงินเดือนขึ้นเงินเดือนขึ้น 5% 8% เขาขึ้นทันทีเขาปรับทันทีครับ เขาทำกันเงียบๆ อย่างไรไม่รู้ ไม่มีข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าเงินเดือนขึ้น สินค้าขึ้นราคาถ้าเล็กน้อยเขาก็ไม่บ่นถึงนี้คือระบบของเขานะครับ เงินเดือนขึ้นแปลว่าจะมีเงินมากพอที่จะไปซื้อของพวกนั้นได้อะไรอย่างอื่นจะปรับเล็กปรับน้อยสุดแท้แต่ 1% 2% 3% 5% เขาเป็นของเขาอย่างนี้ครับ เขาเป็นของเขาอย่างนี้ตลอดๆ มาเลย
เขาเป็นของเขาอย่างนี้ครับ เขาเป็นของเขาอย่างนี้ตลอดๆ มาเลย และมีส่วนสนับสนุนอีกอย่าง ถ้าดูตามตำราอเมริกาเมื่อก่อน ย้อนหลังไปซัก 50 ปีก่อน 60 ปีก่อน 50 เลี้ยง 50 เป็นเกษตรกร 50 เป็นคนบริโภค 50 ต่อมาเขาเปลี่ยนเรื่อยครับ เกษตรกร 40 บริโภค 60 เกษตร 20 บริโภค 80 ต่อมาเกษตร 5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งประเทศมีเกษตรกร 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าคนบริโภค 95 เปอร์เซ็นต์ สุดท้ายคนอเมริกันเป็นไงครับ คนบริโภค 2 เปอร์เซ็นต์ คนบริโภค 98 แต่ว่าเขาใช้เครื่องจักรกลทุกอย่าง เขาเรียกว่าทำเป็นมาสโปรดักส์ ได้ประโยชน์ตรงนี้ครับ วันนี้คนไทยรายได้ประจำวันต่ำสุดผมให้ 200 บาท เงินเดือนได้ต่ำสุดวันละ 200 คนอเมริกันรายได้ต่ำสุดเท่าไหร่ 1600 บาท 8 เท่าครับ คนที่ได้เงินเดือนต่ำสุดในอเมริกา คือค่าแรงกรรมกรถูกสุด คนไทยได้ 200

วันนี้เข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต เข้าไปในตลาด เรียกซุปเปอร์มาร์เก็ต เพราะไข่ใส่เป็นโหล เป็นแพ็ค ไข่ไก่ 1 โหลในประเทศไทย ราคาโหลละ 30 บาท ลูกละ 10 สตางค์ เข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ชิคาโกวันนี้ โทรศัพท์ถามเท่าไหร่ 31 บาท คิดเป็นเงินไทยแล้ว 31 บาท เงินเดือนวันละ 1600 ไข่ไก่โหลละ 31 เงินเดือนวันละ 200 ไข่ไก่โหลละ 30 ทำได้ยังไง เขาทำได้แล้ว เพราะเขามีระบบ มีวิธีการ เพราะเขาเก็บเศษสตางค์ของเขาไว้ เพราะต้องทอนเสมอ โปรดย้อนมาดูเมืองไทยนะครับ เอาละย้อนไป 30 – 40 ปี ที่คุยเนี้ยนะเพราะท่านที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ยังพอนึกออก

ประเทศไทยข้าวแกงจานละ 3 บาท ใส่จานใส่อะไรก็แล้วแต่ ราคาชาวบ้านล่ะครับ 3 บาท ข้าวราดแกง 3 บาท วันดีคืนดีค่าครองชีพสูง ข้าวราดแกงราคาเท่าไหร่ครับ 3 บาท 10 สตางค์ 3 บาท สลึง 3 บาท 50 ..3 บาท 75 ไม่มีหรอกครับข้าวแกงขึ้น ขึ้นมาราคาจานละ 4 บาท 3 บาทขึ้นเป็น 4 บาท คนร้องโวยวายไหม ไม่โวยวายครับ ทำไมครับ

เศษสตางค์ตอนนั้นครับ เศษสลึงยังมี 50 ยังมี แต่ว่าเขาขึ้น 1 บาท ไม่มีใครทักท้วง แต่ว่าเขาขึ้นเป็น 4 เฉย ๆ ทราบไหมครับขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ 33 เปอร์เซ็นต์ อาหารขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นอเมริกาเกิดจลาจลแล้ว ของเราเฉยๆครับ 3 บาทขึ้นเป็น 4 บาท ดูนะฮะรำคาญเรื่องสตางค์จะเอา 5 บาทให้ได้ยังไงไม่ทราบ ข้าวมากหน่อย แกงมากหน่อยขึ้นเป็น 5 บาท ไม่มีใครว่า ข้าวแกงจาก 4 ขึ้นเป็น 5 ขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ ครั้งแรกขึ้น 33เปอร์เซ็นต์ เผลอประเดี๋ยวเดียวขึ้นอีก 5 เปอร์เซ็นต์ เป็น 5 บาท ข้าวแกง 5 บาท เป็น 6 บาท ขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ข้าวแกง 6 ไป 8 ขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์ ข้าวแกง 8 ไป 10 ขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว เผลอประเดี๋ยวเดียว 10 ไป 12 ขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ เผลอประเดี๋ยวเดียว 12 ไป 15 เปอร์เซ็นต์ 25 เปอร์เซ็นต์ 15 ไม่มีครับ 16 17 18 19 ไม่มีครับ 15 ไป 20 ขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์ อีกแล้ว ข้าวแกงมาตราฐานอยู่ในตลาด 25 บาท จะขึ้นเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นเป็น 30 บาท ขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์อีกแล้ว ตรงนี้ท่านดูเถอะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับราคาข้าวแกง

ระยะเวลาที่ผ่านมา 30 ปีที่ว่าเนี้ย ข้าวแกงขึ้นจาก 3 บาท มาเป็น 30 มัน 10 เท่านะครับ ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าท่านโปรดดูพ่อค้าแม่ค้าข้าวแกงอย่าว่าผมแล้วกัน ต่อไปนี้เป็นความจริงที่ปรากฏขึ้น ย้อนลงไปหน่อยเอาตอนที่ว่าข้าวแกงจานละ 20 แล้วข้าวแกงบอกว่าอันโน้นแพง น้ำมันแพง แก๊สแพง ขึ้นมาเป็นจานละ 25 ถามว่ายุติธรรมกับผู้บริโภคไหมขึ้นมาทีเดียว 25 เปอร์เซ็นต์ โปรดดูนะครับ สินค้าเวลานั้นถ้าดูกันจริงๆ เครื่องปรุงอะไรทั้งหลายทั้งปวง วันหนึ่งเครื่องปรุงอาจจะจ่ายแพงจนเหลือ 50 บาท แม่ค้าขายข้าวแกงเฉลี่ยขายวันหนึ่งได้ 100 จาน แม่ค้าลงทุน แม่ค้ามีกำไรพอสมควร วันหนึ่งข้าวของแพงขึ้นแทนที่จะได้กำไรซัก 50 บาท มันหดไปเพราะของแพง 50 บาท ถ้าหากเป็นความเป็นธรรมเนี้ยนะครับ ถ้าแม่ค้าขึ้นข้าวแกงจานละ 1 บาท คือ ขาย 21 แม่ค้าก็จะขายได้ข้าวแกง ขายได้ 100 จาน วันหนึ่งแม่ค้าก็ขายได้กำไรกว่าธรรมดา 100 บาท แล้วก็ไปจ่ายค่าแพง ค่าแก๊ส ค่าแพงอะไรอีก 50 บาท เอาไว้ไปซื้อของอะไรที่แพงขึ้นด้วย นี่คือความเป็นธรรมถามว่าอย่างเนี้ย

ความเป็นธรรมอย่างเนี้ยมันเกิดได้ไหมครับ มันต้องเกิดได้ถ้าหากเรามีเศษสตางค์สำหรับถอน ถามว่าเหรียญบาทเป็นเศษสตางค์ไหมครับ เป็นเหรียญตั้งบาทแต่นับเป็นเศษสตางค์ก็ได้ เมื่อตอนที่มันมีเหรียญสลึง เหรียญ 50 เนี้ย เดี๋ยวนี้สตางค์หนึ่งก็ยังไม่เลิกใช้นะครับ เขาเอาไว้ใช้แสดงว่าเงินกงหนึ่งมันเท่าไหร่ ๆ แต่สลึงกับ 50 สตางค์ยังพอคิดกันอยู่ได้อยู่ในตลาดซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาใช้เครื่องออกมาเป็ทศนิยม .25 .50 .75 ไม่เป็นปัญหา นั่นแหละความเป็นธรรมพอมี แต่ว่าเหรียญ 1 บาท คนไทยมาคิดวันนี้นะครับ แล้วเทียบกับอเมริกา เมื่อ 100 ปีก่อน เมื่อ 50 ปี ก่อน เมื่อ 40 ปีก่อนที่ผมไปเรียนหนังสือ

ถ้าคิดวันนี้ ถ้าไอ้เหรียญ 1 เซ็นของอเมริกัน คิดกันว่ากำลังเนี้ยของเหรียญไทยเล็กที่สุด มองเห็นได้ไหมครับเหรียญ 1 บาท ถ้าเราจะเก็บเหรียญ 1 บาทไว้ 5 บาทไว้ เก็บ 1 บาทไว้ เก็บ 5 บาทไว้ เก็บ 10 บาทไว้ เอา 3 เหรียญนี่แหละครับ และธนบัตรใบละ 20 บาทยังใช้อยู่ ใบละ 50 บาทยังใช้อยู่ ใบละ 100 บาทยังใช้อยู่ ธนบัตร 3 ใบ 20 , 50 , 100 เหรียญ 3 อัน 1 บาท 5 บาท 10 บาท ถ้าเราเก็บ 3 อันนี้ไว้ได้ ลองดูตอนแม่ค้าขึ้นราคา แม่ค้าขึ้นราคา แม่ค้าขายข้าวแกง 20 ก็ซื้อ 21 ถ้า 21 เท่าไหร่ ถ้าให้ไป 30 ก็ทอน 9 เหรียญ 5 1 อัน เหรียญบาท 1 อัน

บรรยากาศนี้เกิดได้ไหมครับ ผมบอกถ้าใครอยู่กรุงเทพฯ แวะไปดูที่ร้านนิตยา ร้านนิตยาที่ขายน้ำพริก เขาขายกับข้าวด้วยเขาทำเสร็จรวดครับ ที่ปากซอยรางบุตรี ถนนจักรพงษ์ ไปดูซิครับเหรียญบาทเต็มจานเลย คือเขายินดีทอนสินค้าก็แสดงว่าเขามีราคาสินค้าเขาถึงต้องทอนด้วยเศษสตางค์ เหรียญบาทกลายเป็นเศษสตางค์ที่เล็กที่สุดในประเทศไทย ถ้าเก็บไว้ได้นะครับ ซื้อ 21 ก็ทอน 9 ซื้อ 26 ก็ทอน 4 เขาจับ เขาทอนอยู่ตลอดเวลา ผมเห็นแล้วผมบอกแหมผมจะเอาไปคุยให้ฟัง ที่ผมเห็นเหรียญบาทกองไว้อย่างนั้นมันน่าชื่นใจ แปลว่าเขาเต็มใจทอนครับ แปลว่าแม่ค้าถ้าขึ้นราคา ข้าวแกงขาย 20 ขึ้นเป็น 21 แม่ค้าขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ นะครับ ราคาอาหารขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ พอสมควรแก่เหตุ วันหนึ่งขาย 100 จาน ก็เพิ่มได้อีก 100 บาท ของทั้งหลายแพงขึ้นอีก 50 แม่ค้าไปซื้อของแพงอื่นอีก 50 นี่คือความเป็นธรรมในสังคม เรื่องอย่างนี้เราคิดกันบ้างไหมครับว่าเพราะเราเอาเศษสตางค์โยนทิ้งไป เพราะเราไม่เข้าเศษสตางค์ เพราะไม่มีความร่วมมือทุกฝ่าย และเพราะทางราชการเอง

ขอเล่าถึงเรื่องเศรษฐกิจ เป็นเศษสตางค์ให้ฟังอีกนิดหนึ่ง ท่านทั้งหลายที่อายุใกล้เคียงผม อ่อนแก่กว่านั้นท่านต้องนึกออก ไม้ขีดไฟบ้านเรานี่แหละครับ ไอ้นี่แหละครับเป็นตัวให้เห็นถึงเศษสตางค์หายไปแล้วเดือดร้อนยังไง ไม้ขีดไฟตอนผมหนุ่มๆเนี้ย ไม้ขีดไฟกลักละสลึงไปดูอัตราส่วนขายส่งกลักละ 18 สตางค์ คนขายได้ 7 สตางค์ มันจะเศษสตางค์ตอนนั้นไม่ใช้กันแล้ว ไม่หยิบกันแล้วก็ตาม แต่ว่าไม้ขีดไฟกลักละสลึงคนขายส่งขายกันมานานเลย ตราอีแปะ หรือตราพยานาค สลึงหนึ่งต้นทุน 18 ส่ง 18 ขายปลีก 25 กำไร 7 สตางค์ อยู่มาพักหนึ่งบอกหลายปีไม่ไหวต้องขึ้นราคาแล้ว เขาขอขึ้นราคายังไง เขาขอขึ้นราคา 4 สตางค์ คือ ขึ้นราคาจากขายส่ง 28 เป็น 22 ให้ขายปลีก 30 คนขายปลีกเคยได้ 7 ก็ได้เป็น 8 สตางค์ คนนั้นได้ 4 ทางนี้ ได้ 8 แล้วเป็นไงครับไม้ขีดไฟต่างกัน 30 ได้ไหมครับ ไม่ได้ครับ เพราะว่าสตางค์ที่จะทอนกันตรงนั้น ไม่มีจะถอนกันตรงนั้นแล้วครับ เขาขาย 3 กลัก 1 บาท ยุติธรรมครับ พออาศัยครับ 3 กลักบาท 33 สตางค์ขาย 30 เอากำไรไว้ 3 กลักบาท ไปไปมามาใครจะซื้อไม้ขีดไฟจริง 3 กลัก พวกสูบบุหรี่เยอะๆ เขาซื้อไม้ขีดไฟ ก็ต้องจุดกันอย่างนี้ ใครไม่ซื้อก็ต้องซื้อกลักเดียว กลักเดียวเอาเท่าไหร่ เอา 50 โดนเข้าไปอีกแล้วนะฮะ อยากซื้อกลักเดียวโดนไป 50 สตางค์ 33 ไม่มีสตางค์มาทอน ต้องเสีย 50 สตางค์

บัดนี้นะครับไม้ขีดไฟกากบาท ขึ้นราคาเท่าไหร่ ก่อนขึ้นจาก 50 ไม่ 75 ด้วยนะครับ ขาย 1 บาท ขึ้นราคา 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะมันคิดไม่มีเศษสตางค์จะทอนกัน ก็เลยขึ้นกันแบบนี้ ถามว่าถ้าวันนี้เรายังเก็บเหรียญบาทของเราไว้ได้ แล้วผลิตเหรียญบาทออกมา ขอนินทาไอ้ความไม่เข้าท่า ไม่รู้ใครเป็นคนต้นคิด เหรียญบาท ทำเหรียญ 2 บาทออกมา เคราะห์ดีนะ ออกมาแล้วมันกระจายพอสมควร สับสนพอสมควร คนนับผิดนับถูก เสียหายกันไป ทำเหรียญ 2 บาท ทำทำไมเหรียญ 2 บาท ผมลงไปหาสาเหตุทำไม คือเขาบอกว่าตัวเปล่า คือไปซื้อจากเขาต่างประเทศ เราไม่ได้ผลิตเองมีแต่เกาหลีผลิตที่โน้น มันหลายประเทศในยุโรป ในเอเซีย เกาหลีเนี้ยผลิต ขายเหรียญตัวเปล่า เหรียญที่เราเลือกไว้แล้วเนี้ยเซ็นกว่าๆ 1 มิลลิเมตรซื้อตัวเปล่ามาถ้าสมมติ ซื้อมา 50 สตางค์เป็นตัวบาทก็กำไร ถ้าทำอย่างนี้ 75 สตางค์ก็กำไร บัดนี้ไอ้เหรียญตัวเปล่ามันขึ้นมาสมมติขึ้นมาซักมูลค่าบาทกับ 2 สตางค์

เขาคิดยังไง เอาเหรียญให้โตกว่าเหรียญบาทนิดหนึ่ง แล้วก็พิมพ์เหรียญเป็น 2 บาท แปลว่าคิดอย่างเดียว คือลงทุนในการทำสตางค์ คือหมายความว่าให้มีกำไรในการทำสตางค์ขึ้นมาอย่างนั้น คิดตรงนั้นเลยออกเหรียญ 2 บาท แปลว่าวัสดุโตขึ้นมานิดหนึ่ง แต่มูลค่าได้เป็น 2 บาท คิดแบบนี้นะครับ ขอประทานโทษนะครับ คือคิดแบบไม่คิดถึงอะไรในบ้านเมืองเลย ต้องที่อเมริกาครับ อเมริกาคิดยังไงรู้ไหมครับ ผมบังเอิญได้อ่านสารคดีเรื่อง 1 เพนนีของอเมริกา สมัยก่อนที่คอปเปอร์เนื้อทองแดงจริงๆ มูลค่าเท่านั้น ต่อมาทองแดงแพงขึ้นไหมครับ ทองแดงแพงขึ้นครับ แพงขึ้น แพงขึ้น แพงขึ้น คนอเมริกันทำอย่างไรครับ เขารักษาเหรียญอเมริกันอันนี้ไว้ โดยวิธีการใส่วัสดุอย่างอื่นที่มันที่มันถูกกว่าทองแดงลงไป ใส่ลงไปราคาก็ยังไม่เกินมูลค่า ก็แก้ไข สีก็ยังเป็นคอปเปอร์อย่างนั้นอยู่ แต่ว่าราคาไม่เกินมูลค่า เห็นไหมครับวันหลังเขาบอกราคาเกิน 1 เพนนีมาแล้ว แต่เขาก็ต้องผลิตเหรียญ 1 เพนนี เพื่อรักษาการที่ว่าซื้อ 98 ทอน 2 ซื้อ 97 ทอน 3

เห็นไหมครับคนอเมริกันมีความคิดไหมครับ เขาคิดรักษาราคาสินค้าด้วยการเก็บเศษสตางค์เอาไว้ แม้จะต้องแพงกว่าตัวนี้ แต่ตรงที่จ่ายแพงไป รัฐบาลจ่ายแพงไปเท่าไหร่ แต่ราคาสินค้าที่ไม่ขึ้นพรวดพราด มันคุ้มค่ากว่ากัน นี่คือวิธีความคิดของคนที่เขาคิด แล้วคิดของเราเลิกเศษสตางค์ แหมตอนคิด 1 บาทเป็น 2 บาท เพื่อจะรักษาว่า คือจะได้มีความสบายใจว่า ตัวราคามูลค่ามันไม่เกินกว่าราคาหน้าเหลือง เห็นไหมครับแม้ถ้ามันเกินมาหน่อยแล้วยังทำอยู่เนี้ย บาทสองสตางค์มูลค่า 1 บาท เราก็รักษาเสีย 2 สตางค์ 2 สตางค์ แต่มันจะทำให้เหรียญเนี้ยได้ใช้ คิดอย่างนี้ให้ฟังเพื่อจะบอกว่ามันยังไม่สายเกินไปนะครับ แต่นี้มาถึงตรงที่ว่าบอกถึงสมุทัยแล้ว สินค้าราคาถูกต้องดีแน่นอน นั่นแหละคือนิโรธ ทุกคนสบายใจ ไม่ใช่เรียกว่าถูกนะครับ เรียกว่ายุติธรรม เรียกว่าเป็นธรรม

เพราะฉะนั้นบัดนี้รัฐมนตรีของผมชื่อมิ่งขวัญ อยู่กระทรวงพาณิชย์ เป็นรองนายกด้วยนะครับ ดำเนินการ คุณมิ่งขวัญไม่ได้หารือผมเลยนะครับ ดำเนินการทำเหมือนที่ผมคิด แล้วเพียงกระซิบบอกว่า ผมได้ดำเนินการแล้ว 33 รายการ ทำอย่างไรครับ ขอสนทนา ขอตรวจสอบ เพื่อที่ว่าน้ำมันพืชขึ้นทีละ 4 กระโดด 2 หน จาก 29 บาท กลายเป็น 40 บาท จะเป็น 50 บาท มันได้อย่างไรครับ มันอั้นมานานขนาดไหน อย่างไร ถ้ามันจำเป็นไม่ว่า แต่ว่าถ้ามันไม่จำเป็นล่ะ เพราะฉะนั้นดูซิครับ เพราะเขาคำนวณเวลาแก๊ส ขึ้นราคา แม่ค้าทำกับข้าวแก๊สขึ้นราคา เขาคำนวณเสร็จเลย ซึ่งก็ต้องน่าฟังครับ ข้าวจานหนึ่ง แก๊สขึ้นราคาตามที่ขึ้นมาใหม่เนี้ย เฉลี่ยแล้วข้าว 1 จานเนี้ย 4 สตางค์ ความแพงของแก๊สที่ขึ้นมันอยู่ในข้าวในจานที่ 4 สตางค์ แล้วอะไร อะไร กับข้าวกับปลาแพงขึ้น ถ้าหากมันแพงขึ้นซัก 1 บาท สมมติว่า 1 บาท แล้วเวลาขายก็ปรับราคาก็ขึ้นมา 2 บาท อย่างนี้ยังเรียกว่าพอเป็นธรรมครับ มันขึ้นมา 1 เราก็ทำเป็น 2 บาท เพราะคนค้าขายจะได้มีกำไรด้วย แต่นี้มันขึ้นมาอีกเป็นอีก 5 บาท อีก 3 บาทล่ะครับไปอยู่ในกระเป๋าของคนพวกนั้น 21 ไปเป็น 25 แม่ค้า ขายของซื้อของแพงไปวันหนึ่ง ขายของ 100 จาน ซื้อแพงไป 50 บาท ได้กำไรจานละบาท คือ 5 เปอร์เซ็นต์ จานละบาท 100 จานก็ได้ 100 บาท และของแพงไปวันนึงขายของร้อยจานซื้อแพงไป 50 บาทได้กำไรจานละบาทคือ 5 เปอร์เซ็นต์จานละบาทร้อยจานก็ได้ร้อยบาท ชดเชยความแพงก็ซื้อกับข้าว 50เอาไว้อีก 50 ไปซื้อของอื่นแพง นี่เป็นธรรมนะครับแต่แม่ค้าขาย 25 ขึ้นมา 25 เลยครับ แม่ค้าเสียแพง50แต่ว่าได้เงินวันละ100 บาทเพิ่มจานละบาทร้อยจานก็ได้ 500 บาทอย่างนี้เป็นธรรมกับสังคมหรือไม่ อันนี้แหละครับ คุณมิ่งขวัญได้เริ่มต้นไปดูการไปตรวจสอบการเจรจาความแค่เอามาดูกันเลยว่าได้เงินเท่าไหร่แล้วต้องให้ขึ้นเงิน ขึ้นก็ต้องให้ขึ้นนะครับ ต้องขึ้นครับแต่ว่าถ้าเผื่อนั้นต้องให้ความเป็นธรรม ในขณะเดียวกันเมื่อดูตรงนี้เสร็จแล้วก็ต้องดูรายได้ขึ้นและเราจะตกลงกันได้ไหมครับว่าสื่อสารมวลชน

ต่อไปนี้รัฐบาลจะปรับขึ้นราคาเงินเดือนไม่เป็นข่าวนี่ จะมีใครตายไหมครับที่โรงพิมพ์นี่ ที่ไม่เสนอข่าวว่าจะขึ้นเงินเดือนนี่คือมันช่วยสังคมไทย รัฐบาลจะปรับก็เรื่องของรัฐบาลว่าจะอยู่ในกระเป๋าทุกคน ถ้าไม่ได้พลาดหัวขึ้นเงินเดือนแล้วจะเป็นอย่างไรไหมครับนี่ผมขอประธานโทษครับเมื่อตระกี้เนี่ย วันนี้ตั้งครบบุคคลได้ ประเภทถามว่าถ้าไม่ได้พลาดหัวเงินเดือนขึ้นจะมีใครโรงพิมพ์ตายไหม ขอถอนเมื่อตระกี้เนี่ยเดี๋ยวว่าอีกนี่ก็เป็นแบบของผมนะครับคือว่าอดไม่ได้หรอกครับต้องพูดกระแทกแดกดันกันแบบนี้เขาคิดว่า ผมว่าหลายคนก็คิดใครเป็นผมก็ต้องอาจพูดแบบนั้นก็ถามขึ้นมาว่าประเทศอเมริกาล่มสลายเพราะว่าไม่เสนอข่าวเงินเดือนขึ้นมันไม่ล่มสลายเพราะไม่ขึ้นเงินเดือน ไม่เสนอข่าวเงินเดือนขึ้น 3 หน ทำไมประเทศอเมริกามันไม่ล่มสลายที่ว่าเงินเดือนเป็นความรับของแต่ละคน

ประเทศอเมริกานั่นนะครับสิทธิเสรีภาพอยู่เหนือสิ่งอื่นใดเลยใครได้เท่าไหร่ใครไม่ได้เท่าไหร่คุณไม่ต้องทำอย่างอื่นแต่คุณเอาแพเช็คมาเปิดไม่ได้เลยว่าใครเขาได้เท่าไหร่ใครอ้างเท่าไหร่เราจะมีธรรมเนียมนี้ไหมละครับว่าต่อไปนี้เงินเดือนนั้นเป็นความลับ เงินเดือนเป็นความลับไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนปรับปรุงเงินเดือนนั้นก็มีความเป็นธรรมข่าวขึ้นเงินเดือนไม่ต้องขึ้นละครับ 3 หนไม่ออกข่าวเลยอยู่ได้แน่นอนทุกคนครอบครัวอยู่ได้เลย เพราะราคาสินค้าจะขึ้นไปตามสภาพของมันไม่ต้องขึ้นและรายได้ก็จะปรับขึ้นมาตามสภาพที่ควรจะต้องปรับเห็นไหมละครับเราเก็บเศษสตางค์ของเราไว้และถ้าเรามีความเป็นธรรมมักหนทางที่จะปรับปรุงพื้นที่รัฐมนตรีมิ่งขวัญกำลังดำเนินการ 33 รายการผมจะตามดูอย่างใกล้ชิดนี่แหละครับคือวีธีแก้ปัญหา
อย่างเวลานี้เราอยากจะดูหมูขึ้นราคา ราคาจากกิโลละ 100 เป็น 120 ก็หมู เป็นข้างนั้นขึ้น 3 บาท หน้าฟาร์มมาถึงเราหมูซากหมูมันขึ้น 3 บาท แล้วทำไมมันถึงกลายเป็น 120 ตอนนี้ต้องดูนะครับคนขายตั้ง 120 ทุนมาเท่าไหร่ทำไมคุณเอาเท่าไหร่อันนี้แหละครับคือจะตามไปดูดูได้แน่นอนผมจะเล่าให้ฟังบางเรื่องบางอย่างต่างเป็นสารคดีประกอบครับอย่างหมูนี่ย ก่อนเนี่ยมีคนทะเลาะกันครับ เขาขายซากหมู ขายซากหมูหมูที่ทำมาแล้วและผ่ามาเสร็จแล้วกิโลละ 21 บาท 50 รัฐบาลกำหนดต้องขาย 21 บาท 50 ปรากฏว่าวิวัฒนาการของการ ค่ารายการเลี้ยงหมูเจริญก้าวหน้าในหมูหลังแอ่นเนี่ยละครับมันมันเยอะมันมีเนื้อแดงอยู่ 3 กิโลต่อมาวิวัฒนาการหมูหลังตรง มันมันน้อยมันถูก แต่เนื้อแดงมันแพง 43 เนื้อแดงเพิ่มขึ้น 10 กิโล บริษัทที่ผลิตขึ้นมาก็บอกจะขาย 23 รัฐบาลบอกว่าไม่ได้ และท่านผู้ฟังลองฟังดูนะครับ ซื้อหมูโลละ 21 บาท 50 เอา 1 ตัวไปขายได้กำไร 150 บาทแต่ว่าถ้าซื้อหมูโลละ 23 เอาโลละ 23 เอาไปขาย จะได้กำไร 450 บาท มันได้กำไรมากกว่ากัน 3 เท่า อย่างนี้เนี่ยถ้าสมมุติว่าให้เขาขายซากหมู 21 บาท 50 เป็น 23 ก็จะได้กำไร 450 เขาได้กำไรสักประมาณ 300 บาท

แต่ว่าผู้บริโภคก็จะได้ซื้อของแพงขึ้นนิดนึงแต่คนขายก็กำไรแพงขึ้นนิดหน่อยฟาร์มก็จะขายได้ เพราะว่าคนเลี้ยงก็จะเลี้ยงอยู่ได้ครับเพราะเขาขายได้ 23 คนมาขายก็ได้กำไรมากขึ้น แต่ว่าแทนที่ที่จะขายได้กำไร 450 ได้กำไรแค่ 300 คนบริโภคแทนที่จะต้องจ่ายแพงเขาก็จะจ่ายน้อยลงไปหน่อย อันนี้แหละครับคือความเป็นธรรมในสังคมที่จะทำให้เกิดขึ้นเรื่องที่เล่าให้ฟังนี่นะครับ บริษัทขายหมูเลิกเลยครับไม่ให้ขาย ขายโดนจับ เลยเลิกเลี้ยงเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาก็จะฆ่าหมูทำหมูตั้งแต่ต้นชนปลายไม่ทำครับทำแค่ลูกหมู ขายลูกหมูตัวละ 500 บาท เลี้ยงต่อไปตามใจชอบ จับซากเซิกไปขายกัน และต้องบังคับให้ 21 บาท 50 เห็นไหมละครับ 21 บาท 50 บังคับให้เขาขายแบบนั้นเลี้ยงมาเสร็จสับเรียบร้อย ต้องขาดทุนอยู่ตรงนี้ เสร็จแล้วมาหากำไรอยู่ตรงนี้มันไม่ถูกต้องครับ ยังไงก็ไม่ถูกต้องทำให้มันเข้าที่เข้าทางตามระบบคำนวณให้ดูหมดเลยมีชาร์จให้ดูเลยว่ามีทุนเท่าไหร่ขึ้นราคาเท่าไหร่ขึ้นราคาต้องขึ้นได้อย่างมีเหตุผล

เมื่อตระกี้ทั้งหมดที่รับให้ฟังมาเนี่ยเรื่องไข่ไก่แม่ค้าขายไข่ไก่ต่าง ๆ เนี่ย อันนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องการอุปสงค์ อุปทาน เรื่องสับพลาย ดีมาล อย่างหนึ่งอย่างนี้ก็ต้องพูดกันให้ชัดเจนเลยตกลงจะให้เก็บอย่างไรแต่ก่อนตอนเด็ก ๆ กินไข่ทุกวันไม่ต้องไปหาหมอบอกกินไข่คนโตโตแล้วให้กินอาทิตย์ละ 2 ฟอง โอบางคนกินไข่วันละ 6 ฟอง 6 7 สี่สิบสอง กิน 42 ตัวใหญ่บระเริ่มเทิ่มยังไม่ตายแต่ว่าหมอบอกให้กินอาทิตย์ละ 2 ฟอง แต่ก่อนนี้กินไข่ทุกวัน วันละฟองไม่ต้องไปหาหมอ อันนี้ตกลงให้แน่นอนซิครับ ราคาไข่จะได้คงที่ผมเรียนแม่ค้าทั้ง 4 ผมรับเรื่องราวร้องทุกข์ที่บอกไว้รับจะต้องมาดูเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องดูแลเรื่องนี้และจะต้องพยายามจัดการแก้ไขให้ได้และขอให้เชื่อเถอะครับว่าแก้เรื่องเศรษฐกิจ เศษสตางค์มากจริง ๆ เหรียญบาทขอให้เก็บไว้เถอะครับเพราะถ้าหากว่าข้าวแกง 20 เป็น 21 ให้มา 30 บาท ก็ทอน 9 ให้มา 25 ก็ทอน 4 ได้แน่นอนครับ
เรื่องอย่างนี้เนี่ยนะครับให้มันขึ้นได้แต่มันค่อย ๆ ขยับขึ้น ขึ้นเป็นคั่นและรายได้นั้นก็ควรจะดักหน้าอยู่กว่าและรายได้นั้นก็ควรจะเป็นความลับของแต่ละบุคคลที่ทำมาหาได้และแน่นอนครับคนเป็นรัฐบาลก็ต้องมีใจเป็นธรรมที่จะต้องปรับปรุงรายได้ให้ใครเท่าไหร่อะไร ๆ อย่างไร เรื่องอย่างนี้ก็ขอเรียนให้ทราบไว้นะครับว่างานในทางการเมืองเนี่ยก็ต่างคนก็ต่างเข้ามายกคณะยกทีมเข้ามาบางคนก็มาทีมเดี่ยว ๆ รัฐบาลก่อนมาทีมเดี่ยว ๆ รัฐบาลนี้มา 6 พรรคด้วยกัน นั่งกันเวลาปรึกษาหารือกันก็ต้อง 6 ความคิดเล็กบ้างใหญ่บ้างก็พยาบาลมีความคิดเท่าเทียมกันช่วยกันคิด ช่วยกันอ่าน ช่วยกันทำและในฝ่ายสื่อสารมวลชนทั้งหลายท่านก็คอยช่วยกันตรวจสอบไม่มีใครเก่งสุดยอดมาละครับแต่มันก็ไม่ได้โง่เง่าถึงขนาดต้องหัวเราะเยาะเย้ยถากถางกันผมเรียนให้ทราบนะครับว่าเมื่อเวลามาคุย อธิบายความ

เรื่องนี้นะครับ รถไฟจะทำอย่างนี้ เรื่องนี่จะทำอย่างนี้ มีคนการรถไฟให้สัมภาษณ์เยาะเย้ยถากถางโง่เง่าพอพูดเป็นไปไม่ได้รถไฟราง 1 เมตร แต่สัญญากันแล้ว 6 ประเทศ เซ็นต์สัญญากันแล้วจะไม่ขยายจะมาขยาย นี่ไงผมบอกคิดแบบรถไฟก็คิดไปซิ ผมไม่ว่าผมยังไม่แตะต้องรางเก่าแต่ผมมีสิทธิที่จะทำรางใหม่ จะไม่เชื่อมกับประเทศไหนก็ตามแต่ไม่เชื่อมเวลานี้รถไฟมาเลเซียถึงกรุงเทพไหมมันก็วิ่งมาแค่บาดังเบซามาจ่อแค่นั้นกรุงเทพ สุไหงโก-ลก ก็มาจ่อตรงนั้นใช่ไหมครับรางไม่เท่ากันก็เปลี่ยนผู้โดยสารมาขึ้นรถของเราแล้วถามหน่อย จากพนมเปญเข้านักเหรอมายัน สงครามยังไม่เลิกชายแดนรถไฟไม่เชื่อมกันแต่รถไฟบอกไปเซ็นสัญญาบอกว่าจะผูกพันกัน 6 ประเทศใช้ราง 1 เมตรไปเซ็นไว้แล้วแล้วเราจะเจริญไม่ได้ถ้าเราจะพัฒนาของเราให้มันวิ่งเร็วขึ้นรถไฟบอกว่าทำไม่ได้เพราะเหตุไปเซ็นสัญญากับเข้าไว้ว่าต่อไปนี้ต้อง 1 เมตร แล้วคุณก็เอา 1 เมตรเก่าผูกไว้ผมจะทำใหม่ขึ้นมา เนี่ยนาทีสุดต่อไปถ้าหากว่ามันเร็วจริงเป็นประโยชน์จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เชื่อมกับใครเลยแต่บอกเซ็นต์สัญญากับเขาไว้ เนี่ยแหละครับเหตุ เหตุแห่งความไม่เจริญแสดงความคิดเห็นหนังสือพิมพ์ลงข่าวเยาะเย้ยถากถาง นายกฯ สมัครโง่ จะแสดงใครเข้ามาจะต้องรถไฟ 1.435 ต้องคิดครับ ก็มันช้าแหงก ๆ ทำให้เร็วก็ต้องลานกว้างขึ้น บอกว่าไม่ได้เสียแล้ว ต้องได้ครับผมยืนยันว่าอย่างไรต้องได้คุยเรื่องอุโมงค์ผันน้ำทั้งท่าต่าง ๆ ผมบอกผมรู้จักแม่โขงแอนเนก ผมอธิบายความได้ชัดเจนผมไปกระทรวงต่างประเทศผมยังคุยเรื่องนี้แถมให้ฟัง ก็ๆไปคุยกับต่างประเทศเขาฟังความแล้วเหตุผลต้องจำนนด้วยเหตุผลยังจะมาอ้างอิงต่าง ๆ คือฟังความข้างเดียวแล้วจะมาพูดแปรบ ๆ

ผมไม่มีวันยอมหรอกครับ ผมต้องทำ แต่ที่มันน่าเสียดาย ไหนครับ ที่น่าเสียดาย ยังนับวันท่วน ยังเป็นรัฐบาลได้ไม่ถังเดือนเลยครับ ประชุม ครม. เพิ่งประชุมได้ 2 หน แค่นั่นเอง งานก็กำลังทำ กำลังว่าจะบอกทำอะไรอย่างไรบ้าง สื่อสารมวลชนประเภทหนังสือพิมพ์ฉบับนึงไม่ออกชื่อนะครับ ชื่อครึ่งไทยครึ่งฝรั่ง เขียนบทความด่าผม หยาบคาย ต่ำช้า พูดจาน่าเกลียด น่าชัง ผมเสนอโครงการพูดเป็น 3 โครงการเท่านั้นแหละครับ ใช้ชื่อบทความ 9 หมื่นพัน 9 พัน 999 โครงการ ของนายสมัคร ทำไมเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร คิดให้ฟัง 3 โครงการ ใช้ 9 หมื่น 9 พัน 999 โครงการ พอเริ่มคิดให้ฟังเท่านั้นแหละครับบอกกำหนดเลยครับวันนี้เสร็จ ๆ มีรัฐบาลไหนทำบ้างครับ แสดงความคิดให้ประกาศเลยว่าวันนี้เสร็จ ๆ ถึงจะเก่งจริงผมไม่เก่งหรอกครับแต่ด่าผมหยาบคายเสียหายที่ด่ามานั่นแหละครับมันน่าอายสำหรับวงการสื่อสารมวลชนทั้งหมด ว่านี่เหรอครับสื่อสารมวลชน สติปัญญาเพียงเท่านี้เหรอครับด่าเขาโดยยังไม่มีเหตุผล ด่าตั้งแต่ยังไม่ทำงาน พูดจาว่ากล่าวแบบชนิด มีหลายฉบับนะครับ ผมยังไม่อยากเอ่ยชื่อ ไม่อยากประกาศศัตรูกับใคร

ผมต้องการจะทำดีให้บ้านเมืองนี้ ผมต้องการจะคิดดีบ้างวันนี้ แต่ไม่บ่นไม่ได้หรอกครับ ผมต้องขอใช้สิทธิของผม ผมไม่ออกชื่อใคร แต่มีละครับ ผมอ่านทุกวัน มีเลยละครับเขียนบทความว่ากล่าวกันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือตั้งใจจะด่าก็ด่า ตั้งใจจะว่าก็ว่า ตั้งใจจะเขียนก็เขียน แต่สมัยนี้ สมัยนี้ต้องมีอย่างที่ว่ารายการอย่างวันนี้แหละครับ ผมก็ทีละนิดละหน่อยจะบอกให้ฟังคนที่ทำอะไรไม่ดีจะได้รู้สึกเสียบ้างจะได้ไม่ทำอะไรตามใจชอบ ผู้อ่านก็ซื้ออ่านนะครับ แต่อายคนอ่านเขาบ้างนะครับ ด่าเขาโดยไม่มีเหตุผล หยิบยกอะไรมาไม่เข้าท่า ขนาดปีกเรือทั้งโคลนก็นึกถึงสุภาษิตคนโบราณเขาบ้าง ยังไม่ทันเสนอความคิดเท่านั้นแหละครับ ฉับ ๆ ดูหมิ่นดูแคลนกันแล้ว เยาะเย้ยถากถางกันแล้ว ทำไมละครับ ทำไมบ้านเมืองเราถึงเป็นแบบนี้ ผมต้องมาปรารบเอาไว้ แล้วจะต้องพูดในสิ่งที่ผมควรจะต้องพูด ใครบอกพูดทำไมพูดเสียหาอายัดไปเลยไม่อย่างนั้นหละครับผมยืนยันได้เลยว่าผมก็มีไมตรีดีกับสื่อสารมวลชนผมก็พูดจาให้ดี

ผมก็เรียนฝากไว้ได้เลยครับใครที่ตั้งอาสากันมานี่นะครับบอกว่าจะฟาดฟันทำให้สมัครตะบะแตก ไม่มีวันได้หรอกครับ คุณไม่มีวันได้ตามที่ตกลงกับเขาไว้หรอกครับไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่มีวันทำให้สมประโยชน์อย่างนั้น ผมระมัดระวัง และผมก็รับอาสามาทำงานให้บ้านเมืองนี้ ผมเข้าตามตรอกออกตามประตูมาอย่างถูกต้องตามวิถีทางผมจะรักษาวิถีทางตรงนี้ไว้แล้วดูก็แล้วกันครับว่ามันจะไปได้ไกลสักแค่ไหน ยกไห้เวลาหมดละครับ ยังไม่จบนะครับ อาทิตย์หน้าก็มีเรื่องมาคุยอีก ผมจะหาเรื่องที่มาคุยแล้วเป็นประโยชน์ทั้งผู้ฟังที่อยู่ที่บ้านทั้งทางฝ่ายผมที่เป็นผู้ดำเนินการ

ลาก่อนละครับอาทิตย์หน้า 8 โมงครึ่งเช้าพบกันใหม่

สวัสดีครับ

ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์


เปิดตัวรายการสนทนาประสาสมัคร/PM Samak to launch weekly TV programme



He will talk live on "Samak's Talk" programme from 8:30 to 9:30 am every week

PM to launch weekly TV programme - Prime Minister Samak Sundaravej is set to hold a weekly television programme to communicate with the public starting Sunday. The programme, called Poodja Prasa Samak (or Talking in Samak's Style), will be launched on Feb 10 through tv Channel 11 for the first time.

If unavailable to attend the programme, Mr Samak said he will call in to the state television station to talk to the people. The new prime minister is scheduled to meet with leaders of the armed forces on Monday when he is to begin his first day as defence minister.

Thailand's newly elected Prime Minister Samak Sundaravej said Sunday in his first weekly talk show through state TV and radio that he believed he can govern the state to a good future.

The talk show, named "Samak Talk", was the first of its kind since his six-party coalition government took office Thursday. Samak disclosed in the program that the Cabinet at its weekly meeting next Tuesday will discuss two important issues, namely the foreign capital reserve requirement policy and the draft government policy.

After the 2006 coup, the Bank of Thailand issued a 30 percent foreign capital reserve requirement policy, which has caused a lot of controversies, especially among foreign investors who thought it an obstacle while investing in Thailand. Samak said the Cabinet will discuss it to decide if it should be retained, altered or scrapped.

Meanwhile, the Cabinet will also review the newly completed the government policy draft, scheduled to be submitted to members of the House of Representatives later this month. The talk show, which lasted for an hour, followed the tradition by coup-ousted premier Thaksin Shinawatra.

Samak said

"it (Samak Talk) will serve as a channel for me to tell you the news and to
clarify any misunderstanding".

During the talk show, Samak also replied some questions of the callers. As a long-time minister who is experienced with transportation, Samak spent more than half of his time defending his plans to expand Bangkok's mass transit system and to improve rail service around the country. He said he is confident that Thailand will be more efficient after the mass transit and railway systems were completed.

Source: Xinhua and BangkokPost.com

รายการ"สนทนาประสาสมัคร" วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551
ถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

สวัสดีครับท่านผู้ชม ผม สมัคร สุนทรเวช ครับ

ตอนนี้มาเป็นนายกรัฐมนตรี เริ่มต้นรายการเมื่อสักครู่นี้ ไม่ทราบใครเป็นคนจัดเข้าเพลง ความหมุนเวียนที่เปลี่ยนที่ในโลกเรา ดีครับ เข้ากับบรรยากาศดี ตอนก่อนเป็นอย่างนี้ ตอนนี้เป็นอย่างนี้ วันหน้าเป็นอย่างไรยังไม่ทราบครับ แต่ที่อยากเรียนคือว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าอยู่ซีกของผมข้างเดียว แล้วไม่ได้มีทางจะเจรจาบอกข่าวให้ท่านโดยตรง ท่านนั่งชมที่บ้าน ใครฟังวิทยุก็จะได้ยินเสียงผม วิธีการอย่างนี้ละครับเป็นวิธีการแก้ปัญหาของความเข้าใจผิด หรือเรื่องที่ยังไม่รู้ ท่านผู้ชมท่านผู้ฟังควรจะได้รู้ ท่านเป็นเจ้าของประเทศ

รายการอย่างนี้ นายกฯ แต่ก่อนทำเอาไว้ ความจริงนายกฯ คนก่อนเขาไม่ทำเฉย ๆ หรอกครับ ที่สหรัฐอเมริกาเขาก็ทำ ทุกวันนี้ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ก็ยังสนทนากับประชาชนของเขาทุกอาทิตย์ เขาพูดวิทยุ ทางผมเห็นว่าช่อง 11 ก็บริการใครต่อใครมากมาย นายกรัฐมนตรีมาขอใช้บริการคงไม่เป็นปัญหา

วันนี้เริ่มต้นอยากจะเรียนอย่างนี้ครับ

ที่ผมมาคุยกับท่านทั้งหลายตรงนี้ ทำง่าย ๆ ธรรมดา เหมือนกับคนที่เคยรู้จักคุ้นเคยกันมานั่งเล่าอะไรต่ออะไรให้ฟัง เพราะมารับหน้าที่ดูแลบริหารบ้านเมืองนี้ รายการจะประกอบด้วยอย่างนี้ครับว่า เบื้องต้นจะเล่าให้ฟังว่าไปทำอะไรมา 2 – 3 วันที่แล้วทำอะไรอย่างไรมา

ถัดมาก็จะบอกให้ฟังว่า ทางรัฐมนตรีหลายคนจะฝากมาว่ามีงานอะไรที่อยากจะให้ประชาชนได้สนใจกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ ส่งมาคนละใบสองใบเท่านั้น ผมจะบอกให้ว่ากระทรวงนี้เขามีเรื่องนั้น ๆ ถัดไปจะเป็นเรื่องชี้แจงข้อที่ทำให้คนเข้าใจผิด เพราะบางทีคนฟังข่าวแล้วดูแคลนคนเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เดี๋ยวจะยกตัวอย่างให้ฟัง และถัดไปจะคุยเรื่อง 1 – 2 – 3 ที่ตั้งใจจะมาคุย สุดท้ายจะเป็นเรื่องที่จะเป็นไฮไลท์ คือว่าเรื่องที่ตั้งใจจริง ๆ จะคุยกับประชาชน รายการเป็นอย่างนี้ครับ

เริ่มต้นผมจะบอกว่า เป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่กี่วัน กระทรวงการต่างประเทศเขาบอกว่านายกรัฐมนตรีบาห์เรนมา เหมือนกับเป็น Working Visit ท่านมาภายในเงียบ ๆ ของท่าน ท่านมา 2 อาทิตย์ ทำงานแล้วจวนจะกลับ ท่านเป็นพระราชวงศ์ด้วย ท่านเป็นพระปิตุลาของพระมหากษัตริย์บาห์เรน ท่านเป็นผู้แทนพระองค์ของพระมหากษัตริย์บาห์เรน ตอนที่มางานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ครบ 60 ปี มีความสำคัญตรงนี้ว่าประเทศนี้อยู่ที่อ่าว มี Area ออกจากซาอุดิอาระเบีย เป็นประเทศที่ให้ความร่วมมือกับประเทศไทยดีมาก สำคัญที่สุดคือว่าเป็นเหมือนกับประตูเข้าทางตะวันออกกลาง ทางอ่าว ก็อยากให้ได้รู้จักกันไว้ด้วย ผมก็บอกไม่มีปัญหา ท่านอยู่ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล เป็นการภายใน ผมก็ไปภายใน นักข่าวไม่รู้ โรงแรมโอเรียนเต็ลยังไม่รู้เลย ผมนั่งรถคันเล็กไปกัน 3 คน ขบวนผมไม่มี ผมมาอย่างนี้เพราะว่าเป็นการภายใน ภาษากระทรวงการต่างประเทศเรียกว่าให้เฝ้าฯ ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีก็สถานะเท่ากัน แต่ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ ต้องแสดงความเคารพ พูดจาต้องมีราชาศัพท์ ราชาศัพท์ภาษาอังกฤษ

กระทรวงการต่างประเทศต้องบอกมาคำสองคำแล้วใช้กัน ก็พยายามครับ เสร็จเรียบร้อย กระทรวงการต่างประเทศกระซิบมาบอกว่า ถ้าหากว่ามีเวลา 2 – 3 วันก่อนจะเสด็จฯ กลับ ทูลเชิญเสวยพระกระยาหารกลางวันได้ไหม ผมบอกว่าผมจะประชุมคณะรัฐมนตรีพิเศษวันศุกร์ ก็ได้ถ้าเป็นบ่าย ก็ทรงรับเชิญ นายกรัฐมนตรีบาห์เรนก็มาเป็นแขกคนแรกของทำเนียบรัฐบาล ได้ถวายพระกระยาหารกลางวันถ้าจะเรียกตามราชาศัพท์ นายกรัฐมนตรีไทยเลี้ยงข้าวนายกรัฐมนตรีบาห์เรน ทางโน้นมา 6 คน ทางผม 6 คน คุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ เต็มร้อยเลย ต้องได้ประโยชน์แน่นอน เพราะมีการฝากฝังกัน ทางโน้นอยากจะมาลงทุนในไทย อยากจะเอาความเก่งเรื่องการทำโรงพยาบาลของไทยที่มีชื่อเสียงมาก ท่านอยากจะเอาไปทางโน้น แล้วท่านก็ดูลู่ทางการลงทุนทางนี้ สำคัญที่สุดคือว่านายกรัฐมนตรีท่านนี้ท่านอยู่ในแวดวง OIC (Organization of The Islamic Conference) คือ อิสลามอินเตอร์ที่เขาประชุม มีอะไรอย่างไรท่านก็ช่วยเจรจาความแทนประเทศไทยให้ ท่านช่วยพูดจาให้

เพราะฉะนั้นมีความหมายในการที่จะต้องดำเนินการอย่างกระทรวงการต่างประเทศแนะนำว่า งานแรกเป็นอย่างนี้ ถัดไปอยากเรียนว่า ระหว่างนี้วันนี้วันหยุดมีการประชุมซักซ้อมนโยบายกัน กำลังรีบพิมพ์ครับ วันจันทร์ให้คณะรัฐมนตรีอ่าน วันอังคารเอาไปอนุมัติกันเป็นทางการ วันพุธก็พิมพ์ เขาต้องการเวลา 6 ชั่วโมง พิมพ์แล้วแจก ต้องให้สภาฯ ก่อน 3 วัน เราประมาณการไว้วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551 ไปวันที่ 19 ก็ได้ เพราะเราไม่เอาวันพุธ จะมีงานพระราชพิธีก็หลีกเลี่ยง ทุกอย่างเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เรียนให้ทราบไว้ ทำไมต้องเลือกวันจันทร์จะได้ไม่ต้องไปถามใครเขา ถ้าคาบเกี่ยวอีกวันก็สุดแท้แต่ทางฝ่ายค้านจะพูดจาอภิปรายกัน ก็เอาหน้าที่ตรงนี้เล่าให้ฟัง

ที่บอกเมื่อสักครู่นี้ว่าคนที่ทำข่าวแล้วทำให้คนในบ้านเมืองนี้เข้าใจผิด เข้าใจผิดคนธรรมดาก็แล้วไป เข้าใจนายกรัฐมนตรีผิด นายกรัฐมนตรีก็มีช่องตรงนี้ละครับที่จะออกมาสนทนาความ ผมเล่าให้ฟังนะครับ เวลาที่สนทนากับนักข่าว แล้วเผลอไม่ได้พูดกับนักข่าวไทย พูดกับนักข่าวญี่ปุ่นวันก่อน ก็เหลือเกิน คนโบราณนี่ครับก็นึกว่าข่าวญี่ปุ่นก็ไปออกข่าวญี่ปุ่น เขาบอกไม่ใช่เลย พูดกับญี่ปุ่นเสร็จญี่ปุ่นแถลงในประเทศไทยเลย นักข่าวก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย บอกอะไรกันนี่พวกญี่ปุ่น คุยกับเขาได้ นักข่าวไทยไม่ยอมคุย บอกว่ายังไม่ได้นัดวันจะคุยไว้ เลยต้องจัดการเลี้ยงข้าวนักข่าวเขาหน่อย บอกว่าต้องเข้าใจกันแล้ว ต่อไปนี้จะจัด พอเชิญนักข่าวคุยจริง ๆ เกิดบอกว่ามีคนเขียนจดหมายมาขอคุย 3 ฉบับ ต้องเป็น honor ให้ทั้ง 3 คนนั้นเขาคุย เขาก็คุยครับ

ถามเรื่องหมา เรื่องแมว เรื่องกับข้าวกับปลา ผมเลยต้องลงมาข้างล่างขอพบผู้สื่อข่าว นายกรัฐมนตรีต่อว่านักข่าวว่า ทีอยากให้เชิญขึ้นไปสัมภาษณ์ ไม่ไป ก็เลยต้องให้สัมภาษณ์ข้างนอกอย่างนั้น ก็พอสมควรแก่เหตุ คนนั้นถามคนนี้ถาม เลยขอตั้งธรรมเนียมใหม่ บอกว่าคุณบอกหน่อย ชื่ออะไร สำนักไหน บอกชื่อกับสำนัก จะได้รู้และจำหน้ากันได้คนไหนเป็นอย่างไร เขาก็ดี บอกปั๊บเขาก็ทำปุ๊บเลย พอคุยกันเสร็จเรียบร้อย ถึงวันคุยกันนักข่าวก็มา วันนั้นเป็นวันชุลมุน ตอนเช้าประชุมคณะรัฐมนตรี ถวายพระกระยาหารนายกรัฐมนตรีบาห์เรน พอไปถึงท่านผู้สื่อข่าวไปนั่ง ก็คุยกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ มา 12 สำนัก 20 คนนั่งล้อมวงเลย ถามโน่นถามนี่ผมตอบได้ไม่มีปัญหา จะยกตัวอย่างให้ฟังว่าเขาถามว่าตกลงมาตรการกันสำรองเงินลงทุน 30 เปอร์เซ็นต์จะยกเลิกไหม คำตอบของผมคือว่าการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทุกพรรคการเมืองประชาชนที่ไปหาเสียงว่าจะยกเลิก 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ทว่าเมื่อมาเป็นพรรคการเมืองร่วมกันแล้ว ฝ่ายค้านจะคิดอย่างไรไม่ทราบ แต่ว่าที่รวมกัน 6 พรรคเขามีความเห็นตรงกัน

แต่ถึงกระนั้น วันอังคารเราจะเจอกัน 6 พรรค จะให้รัฐมนตรีคลังสอบถามว่ายังเห็นตรงกันไหม ถ้าตรงกันแล้วเป็นหน้าที่รัฐมนตรีคลังจะต้องไปเจรจากับธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยเขาเป็นองค์กรอิสระ กระทรวงการคลังเกี่ยวตะขอกันอยู่ นักข่าวถามเป็นทำนองว่า ตกลงจะปลดนั้น รัฐมนตรีคลัง ผมบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ถามว่าเข้าใจไหมว่าเราจะมีความเห็นตรงกัน แล้วฝากรัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีคลังจะไปเจรจาความ พูดชัดเจนเลย คนเก่งช่อง 9 เขาพูดตอนเย็นหน้ากระทรวง บอกว่าสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อสักครู่นี้ นายกรัฐมนตรีสมัครตอบคำถามฝรั่ง บอกว่าต้องยกเลิก 30 เปอร์เซ็นต์ วันอังคารนี้จะออกมติคณะรัฐมนตรีสั่งยกเลิก อย่างนี้นายกฯ เชยไหมครับ เรื่องนี้ยกเลิกในมติคณะรัฐมนตรีได้อย่างไรครับ เรื่องนี้เป็นการละเอียดอ่อน เป็นการส่งสัญญาณกัน ผมรู้ผมเข้าใจทุกอย่าง พูดกับฝรั่งเขาก็เข้าใจ แต่ไทยปรากฏว่าฟังภาษาฝรั่งออก เข้าใจว่าฟังออก แต่วิธีเอามาเสนอในรายการไม่ค่อยญาติดีกับผม พูดจากระทบกระแทกแดกดัน ผมไม่ได้ว่าอะไร กล่าวหาเลยว่านายกรัฐมนตรีพูดเมื่อสักครู่นี้ พูดภาษาฝรั่งแปลออกมาเลย แปลว่าตกลงนายกสมัครบอกต้องเลิก 30 เปอร์เซ็นต์ วันอังคารจะประชุม มีมติคณะรัฐมนตรียกเลิก นี่ตกลงคนเป็นนายกฯ เชย หรือผู้สื่อข่าวเชย

ความจริงไม่ใช่ผู้สื่อข่าว เขาเป็นประเภทเหมือนกับพวก Commentator ครับ เก่งเรื่องหุ้น เรื่องอะไร พูดจาคล่อง แต่ปรากฏว่าคล่องแบบนี้เสียหายครับ ผมต้องเก็บเอามา มีอีกหลายอันครับ ใครมาพลาดพลั้งอย่างนี้ผมต้องเอามา ไม่ได้ว่าต่อว่าอะไรรุนแรง เพียงแต่บอกว่าคุณต้องไปตรองดู คุณสุ่มสี่สุ่มห้าเอามากล่าวหาอย่างนี้ เสียหาย เหมือนนายกรัฐมนตรีไม่รู้จักธรรมเนียมเลย เขาจะส่งสัญญาณกันอย่างไร แล้วใครเป็นอย่างไร เขาเกี่ยวตะขอกันอย่างไร

ผมจะบอกผู้สื่อข่าวคนนี้ไว้ว่า ผมรู้เรื่องอย่างนี้ เดี๋ยวถ้ายังไม่ไปไหนผู้สื่อข่าวคนนี้ นั่งฟังตอนท้ายผมจะคุยเรื่องที่ว่าพวกคุณไม่รู้จักคุย แต่ผมจะคุยให้ฟังว่าปัญหาที่ราษฎรเขาบ่น แล้วผมจะเสนอแนวทางอย่างไร ถัดไปผมจะเล่าให้ฟังเรื่องที่ยังไม่ลงรายละเอียด ผมเลี้ยงข้าวนักข่าวที่บ้าน บอกคุยได้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องคณะรัฐมนตรี เขาก็ถาม ผมก็คุยเรื่องที่อยากจะได้คุย คือต่อไปนี้ไม่ได้คุยแบบที่หาเสียงไว้ ไม่ต้องคุยแล้ว เพราะตอนหาเสียงผมคุยเรื่องอื่น ไม่ใช่นโยบายไม่ใช่วิธีการ ถึงคราวนี้ผมมีหน้าที่แล้ว ผมต้องคุยเรื่องที่จะคิดจะทำ คุยให้เขาฟังเรื่องระบบขนส่งมวลชน ผมจะทำรายละเอียดเรื่องนี้ รายการพิเศษเลย เฉพาะ เปิดมาก็คุยเรื่องนี้เลย ผมจัดรายการเรื่องนี้ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค ซอยสุขุมวิท 24 สถานที่นี้ดี คนไปฟังพอสมควร แต่เชื่อไหมครับ พูดเสร็จ อธิบายความเสร็จ ไม่มีสิ่งที่ผมพูดในหนังสือพิมพ์ ในรายงานทุกชนิด กลัวจะได้ประโยชน์ทางการเมือง กลัวว่าการรายงานความคิดเห็นของผมจะเป็นประโยชน์ในทางการเมือง ก็ท้าบอกให้ไปคุยด้วย พอผมคุยซีกเดียวของผม ไม่รายงาน ผมจะทำเรื่องนี้อีกทีหนึ่ง

ตรงนี้จะเล่าให้ฟังว่า ระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทยควรจะทำตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว บ้านเมืองไหนเขามี 20,000 คนเขาทำแล้ว ของเรา 6 ล้านคนเพิ่งจะลงมือ ลงมือก็ไม่ถูกต้อง ไปลงมือยกระดับ คนที่ลงมือออกไปแล้ว พรรคพวกเขาบอกว่าเมืองไทยทำรถใต้ดินไม่ได้ อยู่เมืองนอกมานานเขารู้ รู้ดีอยู่เมืองนอกมานาน ผมอยากกระเซ้าตอนนั้นเลยว่าอยู่เมืองนอกมานานอยู่แต่ในค่ายทหาร ไม่ได้โผล่มาดูชาวบ้านเขา ผมบอกทำได้ ผมกับคุณเฉลิมจำได้เลยตอนนั้น คัดค้านเท่าไรก็สร้าง ตกลงสร้าง แล้วบอกทำแล้วให้ยาวเหยียดออกไป เพราะว่าคนจนอยู่ไกลชานเมือง เมืองจะได้ขยายไปอยู่ข้างนอก ต้องเหยียดออกไปให้ยาวที่สุด เพราะจะเป็นการทำหนเดียว ราคาก่อสร้างอันเดียว ในเมืองช้าหน่อย ชานเมืองเสร็จก่อนได้ใช้ก่อน ไม่ฟังครับ ทำเลย 23 กิโลเมตร ในเมือง ยกระดับ เสร็จแล้วราคาตายเลย บอกว่าจะมีวันละ 600,000 คน วันแรกก็เกือบจะใกล้ 600,000 คน แต่วันต่อมา 1 ปีเฉลี่ยวันละ 120,000 คน ปีที่สอง 180,000 คน ปีที่สาม 300,000 คน และอยู่ที่แถวนี้ 300,000 - 300,000 กว่าคน จริง ๆ คาดกันว่าต้องวันละ 600,000 คน จะได้อย่างไรครับ วิ่งอยู่ขนาด 23 กิโลเมตร 300,000 คน

เล่าให้ฟังตรงนี้คือว่าจะต้องเหยียดยาวออกไป อยู่ที่หมอชิตต้องยาวไปลำลูกกา ไป 30 กิโลเมตร อยู่ทางนี้เดี๋ยวนี้มีรถไฟใต้ดินไปโผล่ที่บางซื่อ ต้องเหยียดออกไปทางบางใหญ่ เกือบ 25 กิโลเมตร ไปจ่ออยู่ที่ทางสะพานตากสิน ผมทำข้ามเลย ทำเองเลย ข้ามสะพานตากสิน ทำไป 4.3 กิโลเมตร เดี๋ยวนี้ต้องต่อไป 6.8 กิโลเมตรถึงบางหว้า ใจจริงทีแรกถ้าผมไป 4.3 กิโลเมตร ผมอยากจะไปอย่างเร็ว คือข้ามทางรถไฟไปมหาชัย แต่มาคิดถึงว่าข้างทางมหาชัยบ้านคนอยู่น้อย แต่ถ้ามาบางหว้า แล้วลากไปตามเพชรเกษม อย่างนี้ไปก็ 30 กิโลเมตร ไปอยู่ชานเมืองก็ได้ แต่ก่อนทำไม่ได้ เป็น กทม. ทำไม่ได้เพราะออกนอกเขต กทม. ไม่ได้ เดี๋ยวนี้ผมเป็นรัฐบาล ผมทำได้ทุกจังหวัด ก็บอกความคิดให้ดูว่าไม่ใช่ไปหยุดอยู่แค่หมอชิต ต้องยาวไปอนุสรณ์สถานและไปลำลูกกา ทางโน้นตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องไปบางใหญ่ ส่วนพระรามเก้าก็ลงไปที่อ้อมน้อยตะวันตกเฉียงใต้ และทางสายอ่อนนุช ก็ไม่ได้ไปแค่สำโรง ต้องยาวออกไปเลย ออกไปในเมืองเสร็จ ออกไปถึงโน่น บางปู ท่านต้องหลับตามองเห็นว่านี่ 4 แฉกแล้ว ใช้ของเก่าที่มีอยู่ ต้องขึ้นไปดูข้างบน ไปดูบนหลังคาตึกแล้วมองลงมา

ในความไม่ดีก็มีความดีอยู่ คือสถานียืดไปสถานีหนึ่งเขาสร้างดี เขาสร้างเก่ง สถานีมาตรฐานดูข้างบน จอดได้ 6 ตู้ทั้ง ๆ ที่ใช้อยู่ 3 ตู้ เพราะคนโดยสารมีขนาดนี้ ถ้าเพิ่มไป 6 ตู้ก็เท่าตัว นี่หมายความว่าเมื่อเราเหยียดออกไปข้างละ 30 กิโลเมตร อย่างนั้นแล้วข้างในเมืองไม่ต้องใช้ คือระบบเขาดีเขาใช้ได้ เราเป็น 6 ตู้ก็จะได้เท่าตัว เวลานี้ใช้ 5 นาที/ขบวน ถ้าเป็น 2 นาทีครึ่ง/ขบวน ก็เป็นอีกเท่าตัว ท่านผู้ชมท่านผู้ฟังท่านเห็นเขาสร้างแท่นยกระดับไหม จากพญาไทเขาสร้างจากมักกะสัน มักกะสันไปที่สุวรรณภูมิ 1 ปีครึ่ง 28 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นเส้นนี้ 28 กิโลเมตร เราบอกได้เลยว่าเอารถมาวิ่งได้ 3 ปี 3 ปีเท่านั้น บอกได้เลยว่าถ้าลงมือจากอ่อนนุชยาวออกไปตลอดถึงอนุสรณ์สถาน เลี้ยวเข้าไปคลอง 16 ไปถึงลำลูกกาคลอง 7 ประมาณ 30 กิโลเมตร อย่างนี้ใน 1 ปีครึ่งยกระดับไปเสร็จ อีก 1 ปีครึ่งใส่รางใส่อะไรเข้าไปอีก เสร็จครับไม่มีปัญหา คือทั้ง 4 ทิศจะได้ภายใน 3 ปีเลย ยกระดับ ได้ใช้งานแน่ โดยตัวตรงกลางไม่ต้องไปทำอะไรใหม่ สถานี 21 สถานีในเมืองพ่วงเป็น 6 ตู้ คือมาจากทาง 4 ทิศต้อง 6 ตู้ และธรรมดา 3 ตู้ 5 นาที ต่อไปเป็น 6 ตู้แล้ว 2 นาทีครึ่ง นี่เห็นได้ชัดครับ วิธีการกระทรวงการคลังบอกงวดหน้าค่อยคุยรายละเอียด เอาเท่านี้ก่อน เท่านั้นยังไม่พอครับ

นี่เท่ากับเป็นตัว S บางใหญ่ ลำลูกกา อ้อมน้อย ตรงนี้ บางปู ตัว S ตรงนี้ ต่อไปก็กากบาท ต้องวิ่งจากรังสิตมาเข้ารางเดียวกัน เข้าตรงดอนเมืองแล้วลากมาถึงปทุมวัน ตรงสนามกีฬาแห่งชาติ ตรงนั้น ออกจากสนามกีฬาแห่งชาติถ้าเลี้ยวตรงเจริญผล เลี้ยวไปเข้าคลองแสนแสบ Elevated ยกระดับไปตามคลองแสนแสบ ข้ามถนนวิ่งคลองมหานาคไปถึงผ่านฟ้า แล้วเลาะตามกำแพงเมืองโบราณ ไปถึงปากคลองโอ่งอ่าง ข้ามสะพานพระปกเกล้า เขาทำสะพานรอไว้แล้ว ตรงนั้นรอข้ามฟากไปโน้น แล้วไปวิ่งตรงกลางพระปกเกล้าวิ่งไปกลางสุขสวัสดิ์ ไปป้อมพระจุล จากรังสิตไปป้อมพระจุล บวกลงมา สายใหม่ที่จะทำคือจากพุทธมณฑล นครชัยศรียังได้ แต่พุทธมณฑลก่อน ลากเข้ามาเลยครับ เข้ามาแล้วก็มุดลอดใต้ถุนกรุงเทพฯ แล้วก็ไปโผล่ แถวลาดพร้าวออกไป ไปมีนบุรีไปลาดกระบัง พูดให้ฟังง่าย ๆ ว่าเป็นตัว X 4 สายแล้ว เป็นกากบาทอีก 4 ก็เท่ากับเป็น 8 แฉก อีกสายเดียวก็เป็น 8 แฉก และสายที่เขาทำไว้คือพญาไท- สุวรรณภูมิ จะเป็น 9 แฉก อย่างนี้เวลาเขียนให้ดูง่าย ๆ วันหลังผมจะเขียนให้ดู วันนี้ยังไม่ต้องรายละเอียดนัก บอกให้ฟังว่างานนี้จะต้องสะดวกกับประชาชน คือวงแหวนรอบใน 40 กิโลเมตร ถนนรัชดาภิเษก ตั้งแต่คลองเตยวิ่งเข้ามา มาถึงอโศกมนตรี ไป อสมท. วิ่งยาวไปโค้งไปเลย จนกระทั่งถึงรัชโยธิน ข้ามวิภาวดีออกไป ยาวออกไป แล้วไปข้ามสะพานพระราม 7 ข้ามไปถึงโรงไฟฟ้าที่ยันฮี พระนครเหนือ แล้ววิ่งจรัลสนิทวงศ์ตลอดเลย จนกระทั่งไปถึงมไหศวรรย์ ข้ามสะพานกรุงเทพ วิ่งไปตามถนนพระราม 3 ไปออกคลองเตย รูปร่างเหมือนมะม่วงอกร่องตรงนี้ 40 กิโลเมตร มีรถใต้ดินอยู่ใต้ดิน เวลา 6 ปี รถใต้ดินวิ่งสวนกัน แล้ว loop ออกไปข้างนอก 100 กิโลเมตร เป็นยกระดับ ยกตัวอย่างตรงบางหว้า บางหว้ามีถนนใหม่ ถนนนี้เวลาจะเอ่ยชื่อต้องนึกไม่ออกเลย ถนนสร้างใหม่

กรมโยธาธิการและผังเมืองเขาสร้าง ยกระดับไป จะยาวไปถึงสะพานพระราม 5 พอข้ามไปจะไปถึง ลงไปถนนที่ตัดตรงท่าน้ำนนท์ขึ้นมาที่จะเป็นสี่แยก เลยไปหน่อยก็จะเจอถนนติวานนท์ ไปถึงถนนงามวงศ์วาน เลี้ยวขวายกระดับกลางงามวงศ์วาน เขาทำเตรียมไว้เลย ตั้งแต่เกษตร ความจริงเขาจะทำทางยกระดับ แต่ถ้าหากว่าเป็นขนส่งมวลชนก็จะมีประโยชน์มากกว่า ต่อเดียวกันยาวไปเลย ไปออกศรีนครินทร์ ศรีนครินทร์ก็วิ่งไปถึงเทพารักษ์ เสร็จแล้วเลี้ยวขวาออกไปปู่เจ้าสมิงพราย จะข้ามจะมุดก็สุดแท้แต่ ไปออกสุขสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ก็เลี้ยวออกมาบางปะกอก แล้วมาบางหว้า ถ้าเขียนแผนที่จะเห็นว่าวงนอก 100 กิโลเมตร วงใน 40 กิโลเมตร ทั้งหมดที่พูดกันคร่าว ๆ นี่คือระบบขนส่งมวลชน

ยังมีความคิดอ่านซึ่งเรากำลังตรวจสอบอยู่ด้วย นี่เป็นความคิดของนายตำรวจเก่าท่านหนึ่ง นายตำรวจท่านนี้ท่านทุ่มเททั้งชีวิตเลย ดูเรื่องนี้ ท่านส่งเอกสารให้ผม ผมดูแล้ว ท่านบอกทางรถไฟที่มานี้เรากำลังจะดูเลยว่าตรงไหนถ้าทำได้เร็วกว่า นอกจากที่ว่านี้ เอาคนเข้ามาโดยต่าง ๆ ระบบขนส่งมวลชนโดยใช้รางรถไฟที่มีอยู่นี้จะแก้อย่างไร ท่านอธิบายส่งเอกสารให้ผมหมด จะเอามาผสมด้วย แต่ด้วยหลักการอย่างนี้เราจะตกลง เรื่องการเงินจะพูดคราวหน้า กระทรวงการคลังขอคุยก่อน ซึ่งเขาบอกว่าหลักการใช้ได้แต่อย่าเพิ่งออกรายละเอียด ถัดไปเรื่องที่ 2 ที่ผมคุยคือเรื่องต่างจังหวัด คุยกรุงเทพฯ อย่างเดียวไม่ได้

ผมคุยเรื่องรถไฟ รถไฟต่างจังหวัดมีมาร้อยกว่าปี ท่านผู้ชมอยู่ที่บ้านอาจจะไม่ทราบว่า รถไฟ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เวลาที่ท่านเสด็จฯ ยุโรป หลักการของพระองค์ท่านคือเราต้องยอมรับความเจริญของโลก เอามาพัฒนาบ้านเรา เอาดาบไปสู้กับปืนไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระองค์ท่านจึงรับความเจริญจากยุโรป เสร็จเรียบร้อยแล้ว ยุโรปมีตู้เย็น 3 ปี เราก็มีตู้เย็น เขามีโรงไฟฟ้า 3 ปี เรามีโรงไฟฟ้าตามหลังยุโรป 3 ปีเท่านั้น เราก็สามารถมีสิ่งต่าง ๆ อย่างรถไฟ เชื่อไหมครับรถไฟที่ทำครั้งแรก 72 กิโลเมตร สายพระเนตรของพระองค์ท่าน คือทำแบบที่เขาเรียกว่า Standard gate คือระยะทาง Meter gate คือกว้าง 1 เมตร Standard gate คือ 1.435 เมตร กว้างขึ้นก็แปลว่าปลอดภัยขึ้น วิ่งได้เร็วขึ้น ร้อยละ 65 ในโลกนี้ใช้ Standard ร้อยละ 35 หรือเล็กลงไปกว่านั้น ก็ใช้แบบ Meter gate เราสร้างมาตรฐาน เชื่อไหมครับร้อยกว่าปีก่อน มหาอำนาจที่เป็นเจ้าของประเทศทางใต้บอกจะต่อรถไฟจากกัวลาลัมเปอร์มากรุงเทพฯ ของเขาเป็น Meter grade 1 เมตร

มหาอำนาจทางฝรั่งเศสบอกจะต่อรถไฟจากพนมเปญเข้ามากรุงเทพฯ ทั้งซ้ายทั้งขวาแต่ติดฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราต้องทรงเปลี่ยน เอารถไฟ Standard ของโลก กลับมาเป็นแคบ เราเลยทำ 1 เมตรมาตลอด เขาพูดกันในโลกนี้ว่า รถไฟ 1 เมตรเป็นรถไฟเมืองขึ้น รถไฟที่ไม่ใช่เมืองขึ้นต้อง Standard ร้อยละ 65 ใช้ ยกเว้นประเทศอินเดียซึ่งเป็น 1.50 เมตร เป็นเมืองขึ้น แต่เขาใช้รถไฟมาก เขาใช้ 1.50 เมตร ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องรถไฟขนาดนั้น แต่ผมบอกได้ว่าร้อยปี รถไฟวิ่ง แต่ก่อนรางนับเป็นปอนด์ 50 ปอนด์ ต่อมา 70 ปอนด์ แต่นี่ 100 ปอนด์ แปลว่าแข็งแรงขึ้น รางแต่ก่อนเป็นไม้ เดี๋ยวนี้เป็นรางคอนกรีต หมอนคอนกรีตที่จะทำ ต้องการหมอนคอนกรีตแต่ไปเรียกไม้ จะแข็งแรงจะอยู่ได้และวิ่งนุ่มด้วย ต้องการ 7 ล้านท่อน คิดแบบไทย ประมูลแบบไทย เอาราคาต่ำสุด เสนอ 7 ล้านท่อน ราคาต่ำสุด ได้ไปแล้วทำไปได้แค่ลพบุรี อยุธยา หมดปัญหาพังเลย ตอนนั้นถ้าเผื่อคิดแบบคนต่างชาติเขาคิด คือให้มีสัก 7 บริษัท คนละ 1 ล้านท่อน 7 อย่างนี้ไม่มีปัญหา ทำมาจาก 7 ทิศ อย่างนี้จะใช้ได้ไปทำหมดแล้ว ราคาแพงนิดหนึ่ง แต่เสร็จหมด คิดแบบไทย ตกลงได้แค่ลพบุรี เพราะฉะนั้น หมอนคอนกรีตจะทำให้รถไฟวิ่งได้นุ่มนวลขึ้น ไม้พุหมด ที่พูดกันอย่างนี้คือว่า คันรถไฟ ถ้าท่านดูรถไฟ เป็นดิน ข้างล่างกว้าง 10 ข้างบนกว้าง 5 รางวิ่ง 1 ราง รถไฟไทยใช้วิธีรอหลีก อย่างนี้รถไฟรอหลีก ก็ต้องกำหนดเวลา แต่ถ้ารถไฟวิ่งสวนกันได้โดยไม่ต้องรอหลีกจะเป็นอย่างไร จะดีขึ้นกว่าไหม

ผมคิดถึงเรื่องนี้คือคันดินใต้ราง ข้างบน 5 เมตร ข้างล่าง 10 เมตร แต่ถ้าเราต่อข้างบนอีก 5 เมตร ข้างล่างก็ไปอีกแค่ 5 เมตร เติมเป็นข้าวหลามตัด เราก็จะสามารถมีคันดินที่จะวาง ถ้าเราวางรางใหม่ รถไฟของเรามี 3,700 กิโลเมตร ยาวขึ้นไปข้างบนตรงไปเลย 750 กิโลเมตร ไปเชียงใหม่ ขึ้นไปแค่อยุธยาเลยไปบ้านภาชีเลี้ยวขวา ก็ไปสระบุรี นครราชสีมา ถึงนครราชสีมาก็ตรงขึ้นไป สุดท้ายถึงหนองคาย ตรงนี้ 620 กิโลเมตร ถ้าเผื่อนครราชสีมาออกไปชุมทางถนนจีระยาวออกไปก็ไปอุบลราชธานี ลากออกไป 2 สาย ไปแยกที่นครราชสีมา อันนี้ทางเหนือกับอีสาน พอลงไปข้างล่างก็ตรงไปก่อนไปนครปฐม ลงไปราชบุรี เพชรบุรี เสร็จแล้วก็ยาวลงไป สมัยก่อนจะมีแยกตรงหนองปลาดุก ไปเมืองกาญจน์ เดี๋ยวนี้เก็บไว้เป็นสายประวัติศาสตร์ รถไฟเคยไปถึงสุพรรณบุรี แต่สู้ถนนของสุพรรณบุรีไม่ไหว รถไฟถอนต้องเลิกเลย เสร็จแล้วพอลงไปข้างล่าง รถไฟยาวลงไปก็จะไปถึงชุมทางทุ่งสงก่อน และไปชุมทางเขาชุมทอง เลี้ยวไป 53 กิโลเมตรก็ไปนครศรีธรรมราช ถ้าแยกยาวลงไปคราวนี้ไปกันตัง จังหวัดตรัง เป็นท่าเรือ และถ้าตรงลงไปเลยเป็นชุมทางหาดใหญ่ ลงไปสงขลา 60 กิโลเมตรก็ไปปาดังเบซาร์ ไป 200 กิโลเมตรก็ไปสุไหงโก-ลก ทั้งหมด 3,700 กิโลเมตร ถ้าเราขึ้นคันดินทั้งหมด และขึ้นรางใหม่ ต้องชวนคนต่างชาติ เรากำลังมีโรงถลุงเหล็กใหม่ 2 โรง ผลิตออกมาเหล็กหยาบที่สุดคือ ทำรางรถไฟ ทำสะพานรถไฟใหม่ ฉะนั้นถ้าเทคโนโลยีการทำรางถ่ายทอดมาเพิ่ม 3,700 กิโลเมตร ไม่ใช่ครับ เมื่อเราทำอันนี้เสร็จ ต้องเอาอันเก่าเปลี่ยนด้วย ต้องทำทีละข้าง รถไฟต้องให้เขาเห็นเลยว่าของเขาเก่ายังอยู่ 1 เมตรวิ่ง ให้เขาอยู่อย่างนั้นไป เราขึ้นใหม่ก็เป็นของรถไฟ ไม่ใช่ของใคร สร้างขึ้นมาใหม่หมด แต่ว่าจะเร็วกว่า ผมบอกว่าเราไม่ได้ต้องการว่าเอารถจรวดมา เดี๋ยววิ่งเลย

ประเทศ เราต้องการอะไรครับ ต้องการรถไฟที่เร็วประมาณ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก่อนของเราวิ่ง 75 เฉลี่ย 53 เดี๋ยวนี้ของเราวิ่งประมาณ 90 แต่เฉลี่ยประมาณ 60 กว่า เพราะฉะนั้น เวลาไปเชียงใหม่ต้องใช้ 13 ชั่วโมง ลงไปหาดใหญ่ต้องใช้ 16 ชั่วโมง แต่ถ้าเราใช้รถไฟที่เป็นราง Standard และใช้รถไฟสมัยใหม่ทั้งดึงทั้งดัน ฝรั่งเศสเขาสร้างใหม่ ถอดไม่ได้ แต่อังกฤษเขาเอาแบบทั้งดึงทั้งดัน ฝรั่งเศสจากสถานีการ์ เดอ ลียอง ไปเมืองลียอง 400 กิโลเมตร แต่ก่อนนี้ไป 4 ชั่วโมง เดี๋ยวนี้ 2 ชั่วโมง อังกฤษ ทำเขาเรียกว่า 125 คือ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากลอนดอนไปเดอร์บี้ แต่ก่อน 3 ชั่วโมง เดี๋ยวนี้ 2 ชั่วโมง อังกฤษบอกว่าฝรั่งเศสลงทุนแพงกว่า 8 เท่า เราไม่ได้ความเร็วขนาดนี้ เดี๋ยวเลยประเทศ ผมว่าอย่างนั้น เราสามารถจะทำรางมาตรฐาน เขาเอาออกในฝรั่งเศสในสวิตเซอร์แลนด์ เดี๋ยวนี้ TGV (Train Grande Vitesse รถไฟความเร็วสูงในแบบของฝรั่งเศส) กินหมด ตัวที่เขาเรียกว่า Roling stock คือตัวรถโดยสารต่าง ๆ เชื่อไหมครับรถโดยสารตู้นอนเมื่อไม่นานมานี้อายุ 50 ปี แต่ในยุโรปอายุ 5 ปี 10 ปี 15 ปี เราเอามาใช้ได้อีกเท่าตัว รถพวกนี้สะอาดกว่า กว้างกว่า แข็งแรง ใส่เรือมา 1 เดือน มาตบแต่งใช้งานได้เลย

งานอย่างนี้ถ้าเราทำรางคู่ไปทั้งหมด เปลี่ยนสะพานรถไฟเปลี่ยนรางหมด รถไฟมาตรฐานยุโรปก็จะมาวิ่งในประเทศไทย ทางซ้ายยังวิ่งเฉลี่ยได้ 70 กิโลเมตร 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ทางนี้จะวิ่งได้เฉลี่ย 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็ว 200 ต้องวิ่งได้ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฉะนั้น ไปเชียงใหม่จะเหลือ 6 ชั่วโมงกว่า ไปหาดใหญ่ 8 ชั่วโมงกว่า อย่างนี้พอทำหมดแล้ว 3,700 คูณ 2 ได้ 7,400 กิโลเมตร ประโยชน์ต้องได้หมดครับ รางรถไฟขวางลงไป แม้แต่รถยนต์จะดีอย่างไร แต่สะพานใหม่จะออกมาต้อง หนึ่ง สอง สาม สะพานหยุดตรงแม่น้ำโขง รถไฟตรงไหนควรไป ราษฎรจะได้ใช้ประโยชน์ เพราะรถไฟไม่ต้องหวานเย็นอย่างแต่ก่อน วิ่งสวนกันควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ จะขนผู้โดยสาร จะขนน้ำมัน ขนพืชผัก ขนหิน ดิน ทราย ไม่ต้องใช้รถ 10 ล้อให้เกิดปัญหา รถไฟก็แก้ปัญหา คุยท่อนแรกเรื่องขนส่งมวลชน

จากนี้ก็จะคุยเรื่องน้ำ ก็อยากทำความเข้าใจ ผมอ่านเอกสารที่ทางราชการส่งให้ผมแล้ว ผมไม่ได้เข้าใจอะไรผิดเลย มีแต่คนที่ประเภทว่าเจ็บร้อนแทนคนอื่น เดือดร้อนแทนเวียดนาม ออกมาต่อต้าน ผมทำเรื่องนี้มากี่ปีครับ ทำไมผมจะไม่รู้จัก Mekong Annek ผมรู้ว่าแม่น้ำเขาคำนวณมาให้ดูว่าปีหนึ่งไหลเท่าไร เรามีสิทธิ์ใช้เท่าไร เราติดแม่น้ำ 700 กิโลเมตร เราใช้ได้ 3,500 ล้านคิว ลาว 7,400 กิโลเมตร ใช้ได้ 7,000 คิว ทุกประเทศใช้ประโยชน์จากน้ำ อย่างประเทศจีน จีนกั้นเขื่อนก็ไม่มีใครไปว่าจีนเลย ไทยคิดจะเอาน้ำเข้ามาใช้หน่อย ก็วิ่งกัน ถ้านั่งกันเฉย ๆ เวลาน้ำไม่มีแล้วทำอย่างไร ก็ไม่ได้คิดอะไรผิดปกติเลย ผมจะเรียนให้ฟังเขาเรียกภาษาอังกฤษว่า Elevation คือระดับความสูงตรงไหน

ผมเล่าตัวอย่างให้ฟัง ท่านไปดูเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เมื่อเวลาฝนออกจากเชียงดาว ถ้าลงทางด้านนี้ก็ลงมาเข้าแม่ปิง ลงไปด้านโน้นก็ลงแม่กก ทางโน้นเวลาน้ำลงมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเอาน้ำกักเก็บไว้ตอนหนึ่งเรียกว่า แม่งัดสมบูรณ์ชล ตรงแม่งัด 310 แปลว่าบวก 310 แม่งัดกับเชียงใหม่ห่างกัน 40 กว่ากิโลเมตร ลงมาถึงเชียงใหม่บวก 300 แล้ว ฉะนั้น เชียงใหม่ ลำพูน มาตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ ไปดู Elevation นครสวรรค์ ห่างจากกรุงเทพฯ 239 กิโลเมตรทางถนน ทางแม่น้ำราว 300 กิโลเมตร อยู่เชียงใหม่ 300 กิโลเมตร แต่ระดับสูงกว่าน้ำทะเลอยู่นครสวรรค์ 23 กิโลเมตร โดยมีเขื่อนอยู่ที่ชัยนาท นี่คือเรื่องการไหลของน้ำ ไม่ต้องตั้งสูบที่ไหนเลย ทำเขื่อนภูมิพลมหึมาขึ้นมาก็เก็บไว้ เวลาน้ำท่วมก็เก็บไว้ เวลาน้ำแล้งก็ปล่อย ได้ทำไฟฟ้า และเพื่อการเกษตร ถ้าไม่มีเขื่อนภูมิพล

ผมจะบอกให้ฟังหมดหน้าฝนแล้งแล้ว จังหวัดตากเดินข้ามได้เลย แต่มีเขื่อนมหึมา มีน้ำอยู่ข้างหลัง 11,300 ล้าน ถ้าเต็ม ทุกวันเขาต้องปล่อยน้ำ หกโมงเย็นเขาต้องปล่อยน้ำลงมาแล้ว 8 ท่อ ทำไฟฟ้า 32 จังหวัด เขาปล่อยน้ำทุกวัน เพราะฉะนั้น ตลอดทั้งปีน้ำ น้ำที่แม่น้ำผ่านจังหวัดตาก กำแพงเพชร มีน้ำตลอด เลยลุยไม่ได้หรอกครับ มีเขื่อนทำให้มีน้ำ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าเรื่องอย่างนี้เมื่อเราเสนอความคิดเห็น เราจะวัดความสูง อยากจะรู้ว่าตรงหลังแถวจังหวัดเลย ตรงแก่งขุดคู้ สูงเท่าไร หรือจะมาก่อนที่จะเข้ามาถึงเวียงจันทน์ ท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ ระดับความสูงเท่าไร ดึงลงมายาวจากมะม่วง 7 ต้นลงมาถึงท่าลี่ลงมาถึงเลย และโค้งลงมา และลงไปข้างล่าง หนองคาย มีแต่ละจังหวัดลงไปจนกระทั่งถึงโขงเจียม

ฉะนั้น เราต้องดูว่าที่โขงเจียม Elevation อย่างหนึ่ง ระดับน้ำอย่างหนึ่ง ลงไปมุกดาหารก็ระดับหนึ่ง ไปหนองคายระดับหนึ่ง ฉะนั้น ที่อยู่ที่จังหวัดเลย หรืออยู่เหนือจังหวัดอุดรธานี เราอยากดู ผมพูดอย่างนี้ว่าเป็นอะไรพูดก็ไม่มีใครวัด แต่ถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างพรุ่งนี้ไปเยี่ยมกระทรวงกลาโหมต้องบอกกรมแผนที่ทหารว่าขอแผนที่ระดับความสูงนายกรัฐมนตรีสักชุดหนึ่ง อยากจะดู แต่จะเอาเครื่องวัดไปวัดด้วยว่าเวลาผ่านจังหวัดเลยมา ตรงนั้นสูงเท่าไร และใต้จังหวัดเลยลงมาถึงอุดรธานีสูงเท่าไร ผมยกตัวอย่างให้ฟังว่า ถ้าตรงนั้น 230 และลงมาถึงตรงที่จะทำเป็นอ่างได้ 200 ก็แตกต่าง 30 เชียงใหม่ 310 มา 300 น้ำยังไหลแตกต่างกัน 10 ถ้าเรารู้ตรงนี้ มีคนบอกไม่ต้องไปปรึกษาหารือ นี่เป็นการแสดงความคิดเห็นเบื้องต้น ไม่มีเขาไม่มีหลืบเลย จะไปเก็บอย่างไร เราก็ถามว่าคุณไปป่าสักชลสิทธิ์หรือยัง ป่าสักชลสิทธิ์คือคำตอบ ไม่มีเขา ไม่มีหลืบเลย มีแต่แม่น้ำไหลมาสายเดียวกลางทุ่ง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคิดได้อย่างไร ว่าทำเขื่อนยาว 5 กิโลเมตร ขวางกลางทุ่ง ลองคิดดูว่าไม่มีหลืบอะไร ทำเขื่อนขวาง กรมชลประทานบอกว่าพระองค์ท่านจะเอา 38 เมตร 38 เมตรก็ได้น้ำ 800 ล้าน โปรดเกล้าฯ จะเอา 1,500 เขาบอกว่าชาวบ้านเดือดร้อนมาก นาทีสุดท้ายก่อนจะรับสั่งว่า ขอเพิ่มอีก 4 เมตร เป็น 42 เมตร จะได้ 960 ล้าน ตกลงก็เรียบร้อย บัดนี้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ก็เกิดแล้ว น้ำก็มาแล้ว และช่วยกรุงเทพฯ อยู่ทุกวันนี้ 960 ล้าน เรามีสิทธิ์จะใช้น้ำได้ 3,500 มีอย่างนั้นแถวใกล้ ๆ ตรงนั้นสัก 3 เขื่อน เขื่อนละ 1,000 ไม่ได้ยากเย็น คิดให้ฟังเท่านั้นว่า ถ้ามีที่เก็บไว้และต่อไปก็ส่ง จะส่งใส่แม่น้ำก็ได้ ใส่น้ำมูล น้ำชี ก็ได้หรือว่าจะวางทำท่อ ท่อทำในไทย อิฐ หิน ปูน ทราย เมืองไทย เหล็กเส้นก็เมืองไทย หล่อก็ใกล้ ๆ ถนน และวางก็วางในที่หลวง ตรงไหนจะผ่านชุมชน เขาเรียกว่า cut and cover คือขุดลงไปเมื่อวางแล้วกลบ แต่ตรงอื่นไม่กลบ ข้างนอกถนน ก็ดูมาแล้วว่าเขาทำกันอย่างไร ท่อ กทม. 1 เมตร แต่ท่อผันน้ำที่ต่างประเทศ 5 เมตร ยาว 10 เมตร เขาบอกว่าเขาขุด เขาไม่ตอกเข็ม ตัวที่เขาเรียกว่า belly นอนอยู่แล้วไม่ต้องตอกน้ำหนักมันกด มันอยู่ในดิน 3 ส่วน 4 อยู่ข้างบน 1 ส่วน 4

ผมอธิบายคร่าว ๆ ให้ฟังว่า ริมถนน ถนนมิตรภาพความสูงเท่าไร ที่โขงเจียมความต่ำเท่าไร สันฐานถนนจากเหนือมาใต้ เราต้องรู้ว่าทางโน้นสูงเท่าไร ทางนี้สูงเท่าไร ออกไปซ้าย 80 กิโลเมตร พอหมดชัยภูมิก็ลงไปเพชรบูรณ์ ก็เป็นลุ่มน้ำใหม่แล้ว แต่ทางนี้เป็นกระทะคว่ำ อยู่ถนนมิตรภาพสูง ไปอยู่ที่มุกดาหารต่ำ รู้ได้อย่างไร ก็แม่น้ำชีไหลลงไปทางไหน ก็ไหลลงแม่น้ำโขง แม่น้ำมูลก็ไหลลงแม่น้ำโขง แม่น้ำชีเจอแม่น้ำมูลไปเอิบอาบกันอยู่ที่ยโสธร เสร็จเรียบร้อยแล้ว นี่มองเห็นอยู่ ฉะนั้น หนองทั้งหลาย ก็ผันเอาน้ำมาเติม คำอธิบายง่ายที่สุด น้ำมาตรฐานเท่าไร เลยอีก 3 เมตร จึงจะเข้าอุโมงค์ที่เราจะขอ เลยอีก 3 เมตรเวียดนามจะเดือดร้อนอะไร แห้ง ๆ ก็อยู่อย่างนี้ ถ้าขึ้นมาอีก 3 เมตร เราถึงจะให้เข้าท่อ และน้ำเข้าแตกต่างเท่าไร จากระดับแห้งสุดถึงริมแม่น้ำข้างบน 12 เมตร ขึ้นมาอีก 3 เมตร เราก็ขอเอาเข้า ปีหนึ่งเราต้องการได้ 5 เดือนเท่านั้น และคำที่คิดได้ที่เรียกว่า tunnel ขุด ที่เรียกว่า ไฮโดรชิลด์

พวกทำข่าวบอกว่าผันน้ำระบบไฮโดรชิลด์ ไม่ใช่ ไฮโดรชิลด์เป็นเครื่องขุด ขุดน้ำใต้กรุงเทพฯ 3.4 เมตร ตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ต่อไปนี้รถไฟหนึ่งท่อนที่วิ่งอยู่ทุกวันนี้ 5.6 เมตร ถ้าจะเอา 2 ขบวนวิ่งสวนกันก็ 8.6 เมตร นี่เป็นจรวดที่วิ่งใต้ดินที่ขุดได้วันละ 18 เมตร ขุดลงไปให้ต่ำ จะเอาเท่าไร เอาจรวดไปสร้างไว้ เมื่อสร้างจรวดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็วิ่ง มันขุดลงไปเลย ถ้า Elevation ตรงริมแม่น้ำโขง 230 ขุดตะแคงลงมาให้ถึง 200 และมีอ่างใหญ่ที่ลึกถึงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถ้าทำอย่างนั้นเสร็จแล้ว ก็มีน้ำมาเก็บ อีสานต้องการน้ำ 4-6 เดือน หน้าฝนไม่ต้องไปยุ่ง พอหน้าแล้งก็เอาน้ำใส่ท่อ ตอนนี้แค่คิดครับ จะได้ไม่ได้ ช่างเทคนิคต้องมาให้คำปรึกษา เราคอยกำกับว่าไม่ให้คุณไปคิดนอกลู่นอกทาง อย่างนี้ได้ไหม เพราะฉะนั้น เรื่องแบ่งน้ำ จาก 3 เมตรที่ผมว่า ยังเหลืออีก 9 เมตรข้างบน ที่น้ำยังเต็มอยู่ น้ำถึงหนองคาย 12 เมตร น้ำ 13 เมตรท่วมหนองคาย ผมต้องบอกเวลาคนมาต่อว่าผม บอกว่าเวลาน้ำท่วมหนองคาย 1 เมตร ต้องไปแจ้งหรือเปล่า ไปบอกประเทศไหนบ้างหรือเปล่าว่าน้ำไหลมาเข้าประเทศเรา น้ำไหลเข้ามาเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อตกลงกันได้ เขายอมให้เราผันน้ำผ่าน ถึงเวลาตรงนั้นไม่มีใครเดือดร้อนเรื่องน้ำแล้ว ก็ไหลเข้าบ้านแล้วที่เหลือ เท่านั้นแหละคิดง่ายๆ คืออยากให้คิดเสียบ้างลงมือทำเสียบ้าง ผมพูดเรื่องนี้มาถ้าไม่บอกให้เครดิตคนอยู่ข้างหลังผม ยังไม่ได้เจอตัวจริงท่าน 2 วันก็ส่งเอกสารมาท่านชื่อพลตรีถวิล อยู่เย็น ท่านเป็นคนที่รักบ้านเมืองนี้เป็นคนที่เป็นทหาร ศึกษาประวัติศาสตร์ ศึกษาภูมิศาสตร์ และท่านถ่ายทั้งหมดใส่มาในตัวผม ผมไม่ตรัสรู้หรอก ท่านให้ผมมา 15 ปีแล้ว 15 ปีแล้วที่รับเอกสารจากท่านมา วันหนึ่งผมเป็นรองนายกรัฐมนตรี ผมก็ใช้ความสามารถของผม รองนายกฯ ไทยไปช่วยประเทศลาว 3 โครงการ ช่วยออกแบบถนนนี้ ช่วยลาว 3 วัน วันสุดท้ายผมบอกท่านท้าว ท่านท้าวเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมลาว บอกว่าขอให้ลาวช่วยไทย 1 วัน ท่านถามเอาอะไร ผมบอกขอยืมเฮลิคอปเตอร์หน่อย ท่านบอกว่าวันนี้ท่านมีธุระมาก ให้ท่านคำลวดมาพาไปหน่อย ผมเอาเฮลิคอปเตอร์ไปตำบลปากลาย อยู่ริมแม่น้ำโขง ห่างจากมะม่วง 7 ต้น 29 กิโลเมตร แต่ก่อนเป็นของไทย แต่ขีดไปขีดมาเข้ามาในไทย 29 กิโลเมตร ตรงนั้นคนไทยเคยอยู่พูดไทยได้สบาย ความจริงไทยกับลาวแตกต่างกัน 5 เปอร์เซ็นต์ ผมต้องการเอาเฮลิคอปเตอร์ไปแล้วเลี้ยงน้ำมะพร้าวผม ผมตอบคำถามว่าที่เห็นอยู่เวลานี้ แล้วเวลาที่น้ำมาเต็ม ๆ เต็มฝั่งขนาดไหน ถามที่อื่น 12 ที่หนองคาย 12 แต่ที่ปากลายแตกต่าง 20 เพราะฉะนั้น เมื่อแตกต่าง 20 เราก็สามารถที่จะทำอุโมงค์อย่างเดียวกัน ผมเสนอท่านท้าวเลย เราจะทำถนนให้ลาวจากปากลายมามะม่วง 7 ต้น 29 กิโลเมตร ปีหนึ่งมาได้ 3 เดือน ถ้าไม่มาทางนี้ต้องขับรถยาวไปท่าลี่ 150 กิโลเมตร ถ้าไปทางนี้ 29 กิโลเมตร ของเราถนนดีไปจ่อชายแดนหมดเราจะทำถนนให้ดีใช้ได้ทั้งปี และจะขอเช่าริมถนนวางท่อ 29 กิโลเมตร จากที่ปากลาย พอถึงไทยถึงน้ำปาดไปลงน้ำปาด น้ำปาดก็มาลงแม่น้ำน่าน แม่น้ำน่านก็อยู่เหนือเขื่อนสิริกิติ์

นั่นก็เป็นวิธีที่จะเอาน้ำมาลงเขื่อนสิริกิติ์เห็นไหมว่าของอย่างนี้ผมดูผมคิดของผม โครงการจะเอาน้ำสาละวินมาเข้าเขื่อนภูมิพล ก็ไม่ได้มีใครห้าม ไม่มีหรอกเพราะไม่ใช่แม่น้ำนานาชาติ และข้างใครข้างมัน ติดกับพม่า ติดกับจีน พม่ากับไทยติดเรา 127 กิโลเมตร เพราะฉะนั้น ไปดูที่ snowy mountain ตอนเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ดูเมื่อปี 2520 31 ปีเข้าปีนี้ แต่ไม่สายหรอกครับ ยังจะเอาน้ำสาละวินเข้าเขื่อนภูมิพล โดยวิธี snowy mountain ผมต้องเล่าให้ฟังไว้เพื่อจะได้บอกว่า ผมรับอาสามาดูแลมาบริหารบ้านนี้เมืองนี้ ผมต้องมีความคิดอ่าน วันนี้ ตั้งใจจะคุยเรื่องอาหารการกิน เรื่องความแพงของอาหาร จะคุยเรื่องข้าวแกงตั้งแต่จานละ 3 บาทมาเป็นจานละ 35 บาท ต้องการจะให้เห็นเลย ตั้งใจไว้เลยจะคุยการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ เขาใส่ไว้ 10 นาที ผมจะเอาเรื่องนี้ไว้คุยคราวหน้าว่าเศรษฐกิจเรื่องเศษสตางค์

ในอเมริกาเอาเก็บเศษสตางค์ตัวเหรียญทองแดง เหรียญ nickel เหรียญสลึง 25 สตางค์ เขาใช้มาร้อยปีไม่เปลี่ยน แต่ไทยเราไม่ได้เหมือนอเมริกา ทำไมวันนี้เมืองไทยค่าแรงวันละ 200 อเมริกาค่าแรงวันละ 1,600 แต่ไปชิคาโก ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ซื้อไข่ไก่โหลละ 31 บาท ประเทศไทยได้วันละ 200 ซื้อไข่ไก่โหลละ 30 บาท เห็นไหมครับวันนี้จะมีเวลาอยู่ 8-9 นาที เสียแรงท่านโทร.มาแล้วผมจะตอบคำถามหน่อย

คราวหน้าผมจะคุยเรื่องปัญหาปากท้องโดยเฉพาะเลย ทำไมถึงแพง ทำไมข้าวแกงขึ้นทีละ 1 บาท ไม่ต้องขึ้นทีละ 5 บาท ใครได้เปรียบใครเสียเปรียบใครอย่างไร คุย 1 ชั่วโมงเลย อธิบายให้ฟัง นั่นคือสิ่งที่ชาวบ้านอยากรู้และผมก็อยากอธิบาย เมื่อฟังแล้วนั่นคือเหตุที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ถ้าท่านต้องการจะระงับผล ต้องไปดับที่เหตุ ผมจะอธิบายเหตุให้ฟัง แล้วเราจะดับกันอย่างไร ไม่ต้องให้ใครช่วยคิด อธิบายให้ฟังแล้วจะคิดให้ฟัง ด้วยว่าจะต้องทำอย่างไร

วันนี้ขออนุญาตตอบปัญหาหน่อย

ให้กำลังใจนายกฯ อย่าโกรธใครง่าย ๆ ขอบคุณครับ ชาวเชียงราย ให้กำลังใจ ขอบคุณครับ

ยินดีกับตำแหน่งอยากให้จัดรายการเป็นรายการสด วันนี้ไม่ใช่รายการแห้ง เป็นรายการสด ไม่ต้องมีสคริปมาอ่าน คุยให้ฟังเลยอยู่ในหัว นานๆ จะได้มีโอกาสได้คุยตรงไปตรงมาอย่างนี้

คนอย่างผมไม่ใช้ สคริป เจ้าหน้าที่เขามีสคริป ถึงตรงไหน ๆ เขาจะใช้สคริป ผมไม่ใช้หรอกครับ วันนี้ตั้งใจจะมาพูดเรื่องข้าว แต่ไปคุยเรื่องรถไฟกับน้ำยาวหน่อย แต่รถไฟกับน้ำจะมีรายละเอียด

ชอบรายการนี้อยากให้นายกฯ พบประชาชนอย่างนี้ ครับ จะมาอาทิตย์ละหน

ผมลืมบอกไว้ตั้งแต่ต้น ผมจะมาวันอาทิตย์หลังพระเทศน์จบ แล้วจะคุยกับท่านอย่างนี้ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าสะดวก มีสถานีอย่างนี้อยู่ทั่วประเทศเลยเพราะฉะนั้น ถ้าผมไปต่างจังหวัด ท่านจะได้ดูเหมือนกัน อยู่เชียงรายก็ช่อง 8 เชียงใหม่ก็มี อุบลราชธานีก็มี ขอนแก่นก็มี ลงไปทางใต้มีหมด

เพราะฉะนั้น ไปอยู่ต่างจังหวัดก็เข้าสถานีเวลา 08.30 น. ก็ออกอากาศได้อย่างนี้เหมือนกัน ผมเลือกวันอาทิตย์ เพราะอยากให้ท่านที่ไม่ไปไหน จะได้ฟัง ผมมีเรื่องมาคุยทุกอาทิตย์ และรับประกันได้ว่าเป็นประโยชน์และไม่ใช่เรื่องส่วนตัวผม เป็นเรื่องที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างไร

ขอแสดงความยินดีกับนายกฯ ต้องการเรื่องบัตรเครดิต

อันนี้ผมจะคุยกับนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เรื่องบัตรเครดิต ผมไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ขอบพระคุณที่ให้กำลังใจทุกท่าน

เอาเรื่องที่มีปัญหาก่อน มีเรื่องปัญหาภาคใต้ ผมจะคุยกับผู้ที่รับผิดชอบ แต่ผมรับผิดชอบมากกว่าเขา พรุ่งนี้จะคุยกันเวลา 09.00 น. สร้างทาง จักรยานทั่วกทม. จะบอกให้ฟังว่าต้องพูดกันแบบตรงไปตรงมา กทม. มีรถเป็นล้านๆ คัน ขี่จักรยานไปเดี๋ยวก็หายใจไม่ออก มีช่องทางให้ขี่ดี ถนนประดิษฐ์มนูธรรมสองข้างซ้ายขวามีต้นไม้ เอาจักรยาน 4-5 คันไปจอดให้คนขี่ สนิมขึ้นเลยครับ เมืองจีนเองตอนนี้ก็ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว รถมากขึ้น ทางจักรยานก็แคบลง เขาใช้กันมาเดนมาร์กก็ยังใช้ คือถ้าใช้ได้ก็เอาเถอะครับ แต่ผมคิดว่าไม่คุ้ม พ่อแม่คนไหนจะปล่อยให้ลูกขี่จักรยานไป โรงเรียน สามีใครขี่จักรยานไปทำงาน มันพร้อมใจกันขนาดนั้นไม่ได้หรอก เดินหน้ามาอย่างนี้ ก็จะพยายาม ถ้าทำได้ กทม. เป็นคนดูแล และเขาก็ชอบทำอยู่แล้ว

ความจริงเขาก็พยายามสนับสนุนเรื่องนี้ เรื่องการระบายน้ำสู่น้ำโขง อันนี้คุยไปแล้ว หวยบนดินออกไหม มันไม่ได้มีอะไรผิดกฎหมาย แต่เขาตีความว่าผิด อัยการบอกไม่ฟ้อง คนสอบก็ต้องฟ้องเอง แต่ผมจะบอกว่าบนดิน ถ้าทำมานั่งเขียน เดี๋ยวคนเขียนมีปัญหาอีก เครื่องมารออยู่แล้ว ต่อไปนี้ใครจะแทงก็กด เขาเรียกว่า ล็อตโต้ งานนี้เพื่อการศึกษาของเยาวชนไทย ทั่วโลกใช้อย่างเดียวกัน เพราะอย่างนั้น ต่อไปใครจะแทง ก็กดไป 5 บาท 10 บาท เป็นสิ่งซึ่งเขาเรียกว่าภาษีที่คนเต็มใจเสีย เรื่องพรรณนี้ไม่มีปัญหา เอาให้จบก่อน ดูสิว่าเขาฟ้องอย่างไร ศาลรับฟ้องอย่างไรไหม มันประหลาดไหมออก 6 ตัว ไม่เป็นปัญหา ไม่ผิดกฎหมาย ออก 2 ตัว 3 ตัว ผิดกฎหมาย นี่คิดกันตื้น ๆ แบบผม

เรื่องแก้ปัญหาปากท้อง งวดหน้าจะคุยให้ฟังเลยว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และจะแก้ได้ไหม ต้องร่วมมือกันทั้งผู้บริโภคและคนขาย ผมยกตัวอย่างให้ดูก็ได้ แม่ค้าที่ขึ้นราคาควรจะขึ้นจานละ 1 บาท 20 บาท ขึ้น 1 บาท เท่ากับ 5 เปอร์เซ็นต์ แม่ค้าขายวันละ 100 จาน แม่ค้าได้ 100 บาท ซื้อของมาแพง 50 บาท ได้กำไร 50 บาท แต่แม่ค้าไม่ขึ้น ขึ้น 20 บาทเป็น 25 บาท แม่ค้าซื้อของแพง 50 บาท แต่ได้กำไรวันละ 500 บาท ผมจะคุยอาทิตย์หน้าคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย แม่ค้าอย่าโกรธกันก็แล้วกันเรื่องนี้ ขุดคลองลึก 10 เมตร กว้าง 50 เมตร แทนระบบส่งน้ำ เพราะเกิดน้ำท่วมภาคอีสาน ผมจะบอกให้ฟัง จะมีคลองมีคูพูดกันทีหลัง หาน้ำที่มันเทลงทะเลไปเก็บเอาไว้สำหรับจะใช้เวลาที่ขาดแคลน เอาหลักการตรงนี้ก่อน ส่วนจะแจกจ่ายอย่างไรไม่น่าจะเป็นปัญหา นโยบายการศึกษาด้วย มีรัฐมนตรี 35 คน 20 กระทรวง แต่ละกระทรวงเขาคงมีโอกาสได้ออก ช่องนี้ผมขอรวบรวมทั้งหมดมาตรงนี้ แต่ละกระทรวงก็ต้องไปคุยกับท่าน ให้ท่านรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการแสดงฝีมือบ้าง ฝากเรื่องท่าเรือน้ำลึกปากนารา ต่อจากท่านทักษิณ

ผมต้องดูก่อนว่าคาราคาซังอย่างไร เสนอนายกฯว่าสถานีไหนที่โจมตีรัฐบาล ทั้งวิทยุโทรทัศน์ไม่เป็นกลางให้ดูแลเป็นพิเศษเพราะจะทำให้ประเทศชาติเกิดความขัดแย้ง เรื่องนี้คุณจักรภพ (นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) เขาพูดเลยเขาบอกว่าต่อไปนี้ต้องมีความเป็นธรรม ผมบอกว่าท่านรอดูหน่อย เราจะให้มีสถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นกลางโดยไม่ต้องไปสั่งสอนเขาเลย เขาเป็นกลางโดยสัญชาติ โดยวิญญาณของเขา สถานีเป็นกลางนี่ถูกทำลายล้างลงไป ผมย้ำเลยสถานีที่เป็นกลางและดีที่สุด หารายได้ของตัวเองมาดูแลได้เองหมด ถูกยุบ เอาใครมายึดไปทำอะไร นั่นแหละครับความเป็นธรรมไม่เป็นธรรมในโลกนี้ ไม่มี คนดีมีฝีมือไม่มีการจ้าง แต่ผมไม่ได้ท้าทายอะไร 2-3 วันจะทำให้ดูว่าคนดีมีฝีมือต้องมีช่องทำงาน เราให้เขาทำงานโดยอิสระ และดูสิว่าสาธารณะกับที่มีฝีมือโดยไม่ต้องใช้เงินหลวงปีละ 2,000 ล้าน ใครจะเก่งกว่ากัน คอยดูนะอันนี้ไม่ใช่ท้าทายทำได้ด้วย เพราะเราเคยเห็นฝีมือเขามาแล้ว ขอให้มีช่องได้ออกเถอะ หนทางแก้ไขมี ผมจะเก็บคำถามของท่านไว้คราวหน้า

ขอประทานโทษมีคนบอกว่าชั่วโมงจะพูดอะไรกัน เห็นไหมครับ ชั่วโมงหนึ่งพูด 50 นาที ตอบคำถาม 10 นาทียังเหลือคำถามตั้งปึก งวดหน้าก็กรุณา ท่านดูแล้วกัน ผมบอกไว้เลยว่าผมมีเรื่องอื่น ๆ ที่เล่าให้ฟังก่อน แล้วสุดท้ายจะคุยเรื่องปัญหาปากท้อง เรื่องของแพง ขายแพง เพราะอะไรอย่างไร เอาเหตุมาแจงเสียก่อน และต้องร่วมกันทั้งผู้บริโภคและผู้จำหน่ายและทางราชการด้วย ผมจะลงไปช่วยดูด้วย อาสามาทำงานการเมือง ถ้าไม่ช่วยคิดช่วยอ่าน ไม่มีทีวีอย่างช่องที่เขาช่วยผมวันนี้ ขอปั๊ปได้ปุ๊บ ก็เอาแค่นี้ก่อนครับ

วันนี้เวลาเกินแล้ววันอาทิตย์หน้า 08.30 น. เช้าฟังพระเทศน์จบแล้ว พบกันใหม่นะครับ

สวัสดีครับ

ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์