Spiga
Showing posts with label economic review. Show all posts
Showing posts with label economic review. Show all posts

สหรัฐทุ่มงบมหาศาลแก้วิกฤติการเงิน

สหรัฐอาจต้องทุ่มเงินมหาศาลถึง 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อแก้วิกฤติการเงินที่กำลังลุกลามในประเทศ

หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า แผนการแก้วิกฤติการเงินที่เสนอโดยรัฐบาลสหรัฐ อาจใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาสูงถึง 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17 ล้านล้านบาท ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนคาดว่างบประมาณที่ใช้อาจสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 34 ล้านล้านบาท โดยแผนการแก้วิกฤติการเงินที่รัฐบาลสหรัฐวางไว้ ประกอบไปด้วยการเข้าซื้อทรัพย์สินจากสถาบันการเงินในสหรัฐ และการจ้างที่ปรึกษามาช่วยงานกระทรวงการคลัง เพื่อควบคุมให้แผนการที่วางไว้บรรลุผล

รายงานข่าวยังระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลัง พร้อมด้วยนายเบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ได้ขึ้นชี้แจงต่อรัฐสภายืนยันว่าระบบการเงินของสหรัฐใกล้จะล้มละลายแล้ว และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายพอลสัน ยืนยันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐว่า ระบบการเงินในสหรัฐจะพังพินาศ ถ้าไม่รีบออกมาตรการช่วยเหลือครั้งใหญ่ ขณะที่นายเบอร์นันกี ก็เตือนสมาชิกรัฐสภาว่า ถ้าไม่รีบหาทางแก้ไข ท้ายสุดแม้แต่กองทุนที่บริหารเงินอย่างระมัดระวังก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

ด้านประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็ออกมายืนยัน จะใช้มาตรการที่ไม่เคยใช้มาก่อน เข้าคลี่คลายวิกฤติการเงินในขณะนี้ เพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา แต่เตือนว่า มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อเงินภาษีของประชาชน เพราะเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปซื้อหนี้เสียของระบบธนาคาร

ประธานาธิบดีบุชยังถือโอกาสนี้ เรียกร้องให้พรรครีพับลิกันและเดโมแครตร่วมมือกัน เพื่อช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากวิกฤติสินเชื่อจนลามไปยังระบบการเงินทั้งหมดของสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน ระบบการจ่ายเบี้ยบำนาญ และการดำเนินการของบริษัท.


โกลด์แมน-มอร์แกนยิ้มร่า เฟดไฟเขียวเปลี่ยนสถานะ

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อนุมัติคำร้องของ 'โกลด์แมน แซคส์' และ 'มอร์แกน สแตนลีย์' สองวาณิชธนกิจรายใหญ่สองแห่งสุดท้ายของประเทศ


ที่ต้องการเปลี่ยนสถานะบริษัทใหม่เป็น 'bank holding company' หรือบริษัทโฮลดิ้งธนาคารแล้วเมื่อวันอาทิตย์ นับเป็นการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในตลาดวอลล์สตรีทตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง (Great Depression) เมื่อราว 80 ปีก่อน

เฟดระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสถานะของโกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ จะเปิดทางให้สถาบันการเงินสองแห่งนี้สามารถจัดตั้งธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินเพื่อส่งเสริมรายได้ของสองบริษัทฃ

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังจะส่งผลให้ทั้งโกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ ต้องเปลี่ยนมาดำเนินงานอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเฟดโดยตรง ส่วนบริษัทลูกของสถาบันการเงินทั้งสองแห่งจะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เคร่งครัดเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป แตกต่างจากเดิมที่โกลด์แมนและมอร์แกนดำเนินการอยู่ภายใต้กฎของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก

ราคาหุ้นของสถาบันการเงินสองแห่งนี้ ทรุดลงอย่างมากนับตั้งแต่เลห์แมน บราเธอร์ส ยื่นล้มละลายเมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะที่เมอร์ริล ลินช์ วาณิชธนกิจอีกแห่ง ประสบปัญหาขาดทุนหนักจนต้องขายกิจการให้แบงก์ออฟอเมริกา ทำให้นักลงทุนหวั่นวิตกกับสถานการณ์ของสถาบันการเงินสหรัฐที่เหลือ

เฟดระบุด้วยว่าจะสนับสนุนเงินกู้ระยะสั้นให้แก่โกลด์แมนและมอร์แกนในช่วงระหว่างการเปลี่ยนสถานะ แต่มาตรการนี้ยังต้องรอการอนุมัติอีก 5 วัน

นับตั้งแต่ธนาคารแบร์สเติร์นส์ล่มสลายและขายกิจการในราคาถูกให้กับเจพีมอร์แกนเชส เมื่อเดือน มี.ค. เฟดก็เริ่มหันมาใช้อำนาจที่ได้รับมาเมื่อช่วง Great Depression ในการเพิ่มวงเงินกู้ฉุกเฉินให้แก่บรรดาวาณิชธนกิจและธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ขณะเดียวกันล่าสุดรัฐบาลสหรัฐก็กำลังผลักดันให้สภาคองเกรสเร่งอนุมัติงบ 7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อจัดการหนี้เสียสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าน่าจะผ่านความเห็นชอบภายในสัปดาห์นี้.


เฟดฉีด 1.8 แสนล้านเหรียญกู้วิกฤติการเงิน

ทุ่ม 1.8 แสนล้านเหรียญกู้วิกฤติ! [20 ก.ย. 51 - 04:06]

หลังวิกฤติ “แฮมเบอร์เกอร์” ที่ลุกลามไปยังตลาดหุ้นตลาดทุนทั่วโลกส่งผลให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ต้องงัดมาตรการฉุกเฉินในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดเงินขนานใหญ่เพื่อปกป้องผลกระทบของความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นล่าสุดตลาดหุ้นทั่วโลกได้ผ่อนคลายความกังวลกับวิกฤติการเงินของสหรัฐฯแล้ว หลังสหรัฐฯเตรียมตั้งกองทุนเพื่อดูแลหนี้เสียในภาคการเงินซึ่งคาดว่าจะช่วยบรรเทาวิกฤติการเงินที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีลงได้

ปัดฝุ่นมาตรการเก่าดับวิกฤติ

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สภาคองเกรส สหรัฐฯเปิดเผยว่านายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐฯกำลังเตรียมมาตรการรับมือกับความผันผวนในระบบการเงินของสหรัฐฯที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วโลกด้วยการยื่นข้อเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อจัดตั้งองค์กรแห่งหนึ่งขึ้นมาเพื่อจัดการกับหนี้เสียหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่ยังคงมีอยู่ในระบบการเงิน

ทั้งนี้ แนวทางการจัดตั้งองค์กรจัดการกับหนี้เสียดังกล่าว เป็นแนวคิดเดียวกับบรรษัท Resolution Trust Corp หรือ RTC ที่สหรัฐฯเคยจัดตั้งขึ้นในช่วงปี 1989 เพื่อจัดการกับหนี้เสียที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจจากการทรุดตัวลงของอุตสาหกรรมเงินออมและเงินกู้ของสหรัฐฯ

นายบารัก โอบามา ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ออกโรงเรียกร้องให้ ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด และกระทรวงการคลังสหรัฐฯดำเนินมาตรการฉุกเฉินเพื่อให้สินเชื่อไหลเข้าสู่ตลาดที่อยู่อาศัยที่ประสบปัญหา โดยระบุว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยหยุดยั้งวิกฤตการณ์ที่ลุกลามในตลาดการเงินได้

เฟดฉีด 1.8 แสนล้านเหรียญ

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ได้อัดฉีดเงินกว่า 2 ล้านล้านเยนเข้าสู่ตลาดเงินในเช้าวันนี้และนับเป็นวันที่ 4 ที่มีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดเงินเพื่อหยุดยั้งผลกระทบที่เกิดขึ้น

ขณะที่ธนาคารกลางออสเตรเลียได้เพิ่มวงเงินอีก 2,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียหรือกว่า 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯในการทำธุรกรรมข้อตกลงซื้อคืนพันธบัตร พร้อมทำการระบายเม็ดเงินอีกกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียผ่านการสวอปอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้ดุลบัญชีของธนาคารพาณิชย์กับธนาคารกลางอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6,970 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย

ด้านธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) ได้อัด ฉีดเงินเงินสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 180,000 ล้านเหรียญฯเพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์ในตลาดหุ้นดังกล่าว ทั้งนี้ นายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐฯ และนายเบน เบอร์นันเก ประธานเฟดได้ร่วมกันเปิดเผยว่าจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการพิจารณาแผนการจัดการสินทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่อง

“สิ่งนี้สร้างความผ่อนคลายในตลาดซึ่งจะทำให้สามารถจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้อย่างเป็นระบบและช่วยเหลือภาคธนาคารในการกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง”


นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯได้ออกโรงเรียกร้องให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ดำเนินการอย่างเป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรับมือกับภาวะผันผวนในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยนางเพโลซีระบุในจดหมายที่มีไปถึงประธานาธิบดีบุชว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสหรัฐฯขณะนี้จำเป็นต้องได้รับความพยายามอย่างยิ่งยวดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากความร่วมมือทั้งพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน และสภาคองเกรสพร้อมจะพิจารณาร่างกฎหมายที่สำคัญหลังกำหนดพักสมัยประชุมในวันที่ 26 ก.ย.นี้

ขณะที่หน่วยงานควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐฯได้มีการหารืออย่างใกล้ชิดกับอังกฤษในการปราบปรามการทำช็อตเซลที่สร้างความเสียหายต่อตลาด โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต.ของสหรัฐฯได้ออกคำสั่งฉุกเฉินระงับการทำช็อตเซลเป็นการชั่วคราวสำหรับหุ้นของสถาบันการเงิน 799 แห่ง เพื่อปกป้องนักลงทุนและตลาดการเงิน เช่นเดียวกับสำนักงานบริการการเงินของอังกฤษ (FAS) ก็ได้ ประกาศห้ามการทำช็อตเซลหุ้นกลุ่มการเงินเป็นการชั่วคราว โดยจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 4 เดือน

หุ้นทั่วโลกขานรับพุ่งกระฉูด

ส่วนรัฐบาลจีนกำลังพยายามสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดโดยเข้าซื้อหุ้นของธนาคารขนาดใหญ่สุด 3 แห่งของรัฐและยกเลิกภาษีการซื้อหุ้นส่งผลให้ดัชนีคัมโพสิตของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นกว่า 9.3% ในวันนี้หลังจากที่ก่อนหน้าปรับลดลงในระดับต่ำสุดในรอบ 22 เดือน

ด้านราคาหุ้นในตลาดเอเชีย และตลาดหุ้นทั่วโลกรวมต่างขานรับมาตรการฉุกเฉินในการแก้ ปัญหาวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ครั้งนี้ โดยดัชนีฮั่งเส็งของตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่งขึ้น 7.1% จากแรงหนุนของหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินที่ฟื้นตัว ขณะนี้หุ้นของธนาคารอินดัสเตรียลแอนด์คอมเมอร์เชียลแบงก์ออฟไชน่า ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของจีน และมีหุ้นจดทะเบียนในฮ่องกงพุ่งขึ้นถึง 15%

ส่วนดัชนีนิเคอิ ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นทะยานขึ้น 2.65% หลังจากดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี วันก่อน โดยหุ้นมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไพแนนเชียลซึ่งเป็นธนาคารอันดับ 1 ของญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 9.2% หลังจากผันผวนมาตลอดห้วงสัปดาห์

หุ้นไทยเด้งตามต่างชาติแห่ซื้อ

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรงจากแรงซื้อที่กลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มหลักๆของตลาดนำโดยหุ้นแบงก์และพลังงานส่งผลให้ดัชนีพุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 628.64 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ระดับ 624.83 จุด บวก 24.45 จุด หรือเพิ่มขึ้น 4.07% ขณะที่มีมูลค่าการซื้อขาย 18,183 ล้านบาท ต่างชาติพลิกกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิ 1,406 ล้านบาท

ทั้งนี้ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า เหตุที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นการตอบรับข่าวดีในการร่วมมือกันของธนาคารกลางทั่วโลกในการอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดเงิน รวมทั้งการที่สหรัฐฯมีการจัดตั้งองค์กรเพื่อดูแลหนี้เสียของสถาบันการเงินจึงเป็นปัจจัยบวกให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ ตลาดหุ้นไทยขณะนี้มีความอ่อนไหวเหวี่ยงตัวตามตลาดหุ้นต่างประเทศโดยหากมีข่าวดีหุ้นก็จะขึ้นหรือมีข่าวร้ายหุ้นก็จะปรับตัวลง โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงติดตามการแก้ปัญหาซับไพร์มรวมถึงผลกระทบต่อสถาบันการเงินสหรัฐฯ และทั่วโลกอย่างใกล้ชิด

นางภัทรียายังได้ชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ย.51 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ได้มีการหยุดการซื้อขายแต่อย่างไร โดยมีการเปิดการซื้อขายเป็นไปตามปกติ.


ดาวโจนส์พุ่ง 410 จุด หลังรัฐบาลสหรัฐเตรียมตั้งกองทุนดูแลหนี้เสียภาคการเงิน

ดาวโจนส์พุ่ง 410 จุด หลังรัฐบาลสหรัฐเตรียมตั้งกองทุนดูแลหนี้เสียภาคการเงิน นิวยอร์ก 19 ก.ย.-ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งทะยานกว่า 410 จุด หลังนักลงทุนพอใจที่รัฐบาลสหรัฐเตรียมจัดตั้งกองทุนเข้ามาดูแลหนี้เสียของภาคการเงิน

ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงท้ายของการซื้อขาย หลังสหรัฐกำลังพิจารณาจัดตั้งกองทุนเพื่อรองรับและดูแลหนี้เสียจากภาคการเงิน เหมือนช่วงทศวรรษหลังปี 2523 และ 2533 ซึ่งคาดว่าจะช่วยบรรเทาวิกฤติการเงินที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีลงได้ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ก็ประกาศอัดฉีดเงินเข้าสู่ภาคการเงินในประเทศเพิ่มอีก 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ปรับขึ้น 72 เซนต์ ไปปิดที่ 97.88 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 11,019.69 จุด ปรับขึ้น 410.03 จุด หรือ 3.86% ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 2,199.10 จุด ปรับขึ้น 100.25 จุด หรือ 4.78% และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 1,206.60 จุด ปรับขึ้น 50.01 จุด หรือ 4.32%

ด้านตลาดหุ้นสำคัญของยุโรปยังปรับลดลงต่อเนื่องเป็นส่วนใหญ่ แม้ธนาคารกลางชั้นนำในยุโรปจะผนึกกำลังอัดฉีดเงินดอลลาร์เข้าสู่ภาคการเงินแล้วก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 4,880 จุด ลดลง 32.40 จุด หรือ 0.66% ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 5,863.42 จุด ปรับขึ้น 2.44 จุด หรือ 0.04% และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,957.86 จุด ลดลง 42.25 จุด หรือ 1.06% ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 95.19 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปรับขึ้น 35 เซนต์

ขณะที่ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 892.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 46.10 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตลาดลอนดอน ปิดที่ 898.20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 59.30 ดอลลาร์สหรัฐ นักวิเคราะห์ในสหรัฐมองว่า การพุ่งขึ้นของราคาทองคำในช่วงนี้ เกิดจากนักลงทุนที่ผิดหวังกับตลาดหุ้นหันมาลงทุนตลาดทองคำแทน พร้อมคาดราคาทองคำตลาดนิวยอร์กจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 950 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ อีกครั้ง.-สำนักข่าวไทย


ลำดับมาตรการปลดชนวนวิกฤตของธนาคารกลางสหรัฐ

นับจากวิกฤตซับไพรมก่อตัวขึ้นในสหรัฐปี 2550 และส่งผลกระทบไปทั่ว กลายเป็นบททดสอบฝีมือของ เบน เบอร์นันคี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ต่อไปนี้คือ เครื่องมือต่างๆ ที่ถูกทยอยนำออกมาใช้ เพื่อป้องกันเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะไม่ให้เดินเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือ recession

เครื่องมือดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น

เฟดใช้เครื่องมือดอกเบี้ยเงินกู้ ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั่วข้ามคืน (federal fund rate) และอัตราส่วนลด (discount rate) เป็นหนึ่งกลไกสำคัญในการบรรเทาปัญหาระบบการเงิน โดยนับจากการประชุมเมื่อวันที่ 18 ก.ย.2550 จนถึงการประชุมวันที่ 30 ม.ค. 2551 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดได้ปรับอัตราดอกเบี้ยทั้งสองประเทศลงแล้ว 2.25% และ 2.75% ตามลำดับ โดยช่วงเวลา ดังกล่าวมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมฉุกเฉิน นอกวาระการประชุม 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 21 ม.ค.2551 ซึ่งครั้งนั้นเฟดดึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นครั้งเดียวถึง 0.75%

กลไกการเงินพิเศษ

1.กลไกประมูลชั่วคราว (temporary auction facility : TAF) มีการพัฒนากลไกใหม่ๆ ขึ้นมาช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินในระบบ เสริมกับการอัดฉีดสภาพคล้องผ่านตลาดเปิด (open market) และช่องทาง (discount loan) โดยกลไกใหม่ที่สหรัฐนำมาใช้เรียกว่า กลไกประมูลชั่วคราว (temporary auction facility : TAF) โดยเริ่มใช้เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคมถึงปัจจุบันมีการประมูลไปแล้ว 6 ครั้ง วงเงินประมูลประมาณ 1.60 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วธนาคารกลางสหรัฐ ประกาศเพิ่มวงเงินของกลไกสำหรับเดือนมีนาคมเป็น 1 แสนล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ประกาศไว้ 6 หมื่นล้านดอลลาร์

2.กลไกตลาดเปิด (open market) และช่องทาง (discount loan) เฟดยังได้ร่วมมือกับธนาคารกลางของแคนาดา สหภาพยุโรป อังกฤษ และสวิตเซอร์แลนด์ อัดฉีดสภาพคล่องอีกกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ในยุโรป จากนั้นเมื่อ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา เฟดประกาศอัดฉีดสภาพคล่องผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร อีก 1 แสนล้านดอลลาร์

3.กลไก swap currency คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ประกาศเพิ่มวงเงินในกลไกธุรกรรม สวอปอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำกับธนาคารกลางแห่งยุโรป และธนาคารกลางสวิสเป็น 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 6 พันล้านดอลลาร์ตามลำดับ ขยายระยะเวลาของธุรกรรมประเภทนี้เป็นถึง 30 ก.ย.ปีนี้

4.กลไก term securities lending facility มาตรการก่อนๆ ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ปัญหาเงินตึงตัวลดลง ระบบการเงินมีสภาพคล่องมากขึ้น อย่างไรก็ตามแนวโน้มของวิกฤตสินเชื่อที่ยังไม่จบสิ้นง่ายๆ ส่งผลให้เฟดประกาศกลไกใหม่เมื่อ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา เรียกว่า กลไก term securities lending facility วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยเป็นการปล่อยกู้แก่สถาบันการเงินชั้นดีของประเทศ 20 ราย

สาระสำคัญของกลไกใหม่คือเฟดจะรับซื้อตราสารหนี้ อันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินระดับ AAA โดยตรงจากสถาบันการเงินเป้าหมาย โดยชำระเป็นพันธบัตรรัฐบาลประเภทต่างๆ ปัจจุบันเฟดถือครองอยู่ 7.13 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีกำหนดระยะเวลาซื้อคืน 28 วัน

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ


A Commentary on the "East Asian Miracle"

A Commentary on the "East Asian Miracle"
by Jess

Abstract of article:"Some lessons from the East Asian miracle" by Joseph Stiglitz taken from World Bank Research Observer Volume 11, Number 2 Pp. 151-177. The electronic version of this article can be found online at: http://wbro.oxfordjournals.org/cgi/content/abstract/11/2/151

The rapid economic growth of eight East Asian economies, often called the "East Asian miracle," raises two questions: What policies and other factors contributed to that growth? And can other developing countries replicate those policies to stimulate equally rapid growth? This article, based on case studies, econometric data, and economic theory, offers a list of the ingredients that contributed to that success. But it is the combination of these ingredients, many of which involve government interventions acting together, that accounts for East Asia's success.

This article offered a list of interesting perspectives that contributed to the success of eight economies in eight Asian countries over period 1965-1990. Neither a single fact nor a single policy ensured success. The performance of eight economies, Japan, Hong Kong, Korea, Taiwan, Singapore, Indonesia, Thailand, and Malaysia, was based on a combination of facts of new growth theory presenting the new principle concept to explain economy development. “Some lessons from the East Asian miracle article” is one of the interesting articles containing the new growth theories and various measurements based on case studies, econometric data and supplement economic theories for this empirical work.

Economic development has broadened from a somewhat narrow emphasis on growth to increased concern for the basic needs of poor, recognition of the importance of social capital, and development sustainability. The author, Joseph E. Stiglitz, attempted to delineate what East Asian governments did that resulted in the spectacular rates of economic growth by tracing several contributing factors in the new growth theory: among these, the most important are capital accumulation both physical and human, and technological progress. Another look that the author mentioned was promotion activities in supporting exports and investments, and some microeconomics tools the effects of market failures, externalities and public goods, for example. The last but not least is adaptability of government policies to respond to changes in economy environment in this region.