Spiga
Showing posts with label terrorism. Show all posts
Showing posts with label terrorism. Show all posts

การก่อการร้ายกับการมองโลกของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง

ใคร จะไปเชื่อว่า คำว่า การก่อการร้าย เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วเป็นคำที่คนไทยไม่เคยคิดว่าจะได้ตั้งใจเรียนรู้ความหมายของมันนั้น ณ ตอนนี้ได้กลายมาเป็นคำที่คนไทยไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดงหรือไม่แดงต่างก็อยาก ทราบว่ามันคืออะไรหลังจากที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้กะทำ การอันอุกอาจบุกเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ ไล่ยิงชาวบ้านอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย เรียกว่าหากกลุ่มพันธมิตรฯเคลื่อนขบวนไปยึดสถานที่ ณ แห่งหนใดใน กทม. แล้วพื้นที่ตรงนั้นจะกลายเป็นเขตปลอดกฎหมายซ่องสุมอาวุธร้ายทันทีเพราะ กฎหมายไม่สามารถทำอะไรกลุ่มพันธมิตรฯหรือ “ม็อบมีเส้น” กลุ่มนี้ได้

นี่ ถ้าหากเป็นเมือ 3-4 ปีที่แล้วที่สงครามอิรัคกำลังระเบิดคนไทยก็คงจะยังมีความเชื่อว่าคำว่า “การก่อการร้าย” เป็นเพียงคำที่มหาอำนาจสร้างขึ้นเพื่อสร้างความหวาดกลัวต่อประชาคมโลกอยู่ เรียกว่า “พฤติกรรมของกลุ่มพันธมิตรฯ” ในช่วงวิกฤติการเมืองไทยเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมาได้ทำให้คนไทยที่มีจิตใจเปิดรับข้อมูลข่าวสารเกิดอาการตา สว่างขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง

แต่ ในวันนี้ผู้เขียนจะยังไม่เขียนถึงความหมายของการก่อการร้ายแต่จะขอยกยอดไป เขียนในครั้งหน้าแล้วกันค่ะ แต่หากเราได้ศึกษายุทธวิธีที่ใช้ในการก่อการร้าย การสร้างแนวความคิดแห่งความเกลียดชัง(Ideology of hatred) ขึ้นมาเพื่อปลุกระดมมวลชนให้ก่อภาวะ “อนาธิปไตย” และก่อการร้ายขึ้นในสังคมแล้วทั้งกลุ่มพันธมิตรฯและกลุ่มก่อการร้ายสากลไม่ ได้มีอะไรที่ต่างกันมากนักในแง่ของยุทธศาสตร์และการสร้างอุดมคติ รวมไปถึงจุดมุ่งหมายที่ต้องการทำลายระบบเศรษฐกิจและล้มล้างรัฐบาลที่ครอง อำนาจอยู่


และเมื่อมองในโลกที่กว้างขึ้นมาจนถึงปัจจุบันนี้เราจะ เห็นว่าว่าปัญหาการก่อการร้ายไม่ใช่ปัญหาเฉพาะประเทศหรือบุคคลแต่เป็นปัญหา ที่โยงใยไปทั่วโลก การก่อการร้ายยังมิได้หายไปไหน ล่าสุดก็การก่อวินาศกรรมที่เมืองมุมไป ประเทศอินเดียยังผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คนบาดเจ็บหลายร้อยรายโดยมุ่งเป้าไปที่นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจชาวอังกฤษ และอเมริกัน คนอินเดียถือว่าเหตุการณ์โจมตีที่ย่านธุรกิจและท่องเที่ยวที่เมืองมุมไบนี้ เปรียบได้กับเหตุการณ์ 9-11 ของพวกเขาเพียงแต่ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีบุชกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัว รุนแรงยังไม่สามารถโจมตีอเมริกาในบ้านได้เท่านั้นรวมไปถึงผลประโยชน์ ของอเมริกันในกลุ่มปะเทศตะวันตกได้ง่ายดายเหมือนแต่ก่อน ดังนั้นประเทศใดที่หย่อนเรื่องการรักษาความปลอดภัยก็จะกลายเป็น Soft Target หรือ จุดเปราะบางที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีได้ง่ายดังเช่นเหตุการก่อการร้ายล่าสุดที่เกิดในอินเดีย เป็นต้น


จริงๆแล้วเรื่องการก่อการร้ายมันส่งสัญญาณเตือนตั้งแต่เหตุการณ์ 9-11 แล้วฝรั่งนั้นเขาตื่นตัวและเข้าใจเรื่องก่อการร้ายมากกว่าคนไทยมานานแล้วและ ผู้นำอย่างประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชก็รู้เท่าทันเกมของพวกผู้ก่อการร้ายมานานแล้วเช่นกันเพราะท่านเชื่อว่า "Freedom is for everyone. freedom is not America's gift to the world, it's God's gift to humanity" “เสรีภาพ เป็นของทุกคน เสรีภาพหาใช่ของขวัญอันล้ำค่าที่อเมริกาหยิบยื่นให้กับชาวโลก แต่ของขวัญจากพระเจ้าที่มอบให้กับมวลมนุษยชาติต่างหากเล่า” แต่กลุ่มคนที่ต่อต้านประธานาธิบดีบุชแบบหัวชนฝาทั้งในส่วนของนักวิชาการฝ่าย ซ้ายและนักบวชมุสลิมหัวรุนแรงต่างก็พยายามกล่าวหาประธานาธิบดีบุชว่าต้องการ ทำสงครามครูเสดกับอิสลามซึ่งการกล่าวหาเช่นนี้มีจุดมุ่งหมายในการชิงมวลชน ให้มาเป็นพวกตนมากที่สุดเพราะพวกนักบวชหัวรุนแรงตระหนักดีว่าการนำเอาความ ศรัทธาของมุสลิมที่มีต่อศาสนาอิสลามมาใช้ในการปลุกระดมนั้นมันได้ผลอย่าง ยิ่งเพราะสำหรับอิสลามแล้วไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสนาเท่านั้นแต่ยังเป็น "ขบวนการทางการเมือง" อีกด้วยเปรียบไปก็เหมือนกับการที่แกนนำของกลุ่มพันธมิตรฯนำเอาสถาบันหลักของ ชาติที่คนไทยให้ความเคารพนับถือมาชูเป็นธงนำในการขับไล่ท่านอดีตนายกฯทักษิณ และยัดเยียดข้อหากลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับตนว่าเป็นพวกไม่จงรักภักดีเพราะ ทราบดีว่าคนไทยส่วนใหญ่นั้นยังรักและศรัทธาในสถาบันกษัตริย์เหมือนที่นายบิน ลาเดนกล่าวโจมตีมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับตนว่าเป็นพวก “ผู้ปฎิเสธศรัทธา(กาเฟ ร)” ยังไงยังงั้น

เหตุการณ์ การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่องในอดีตจนถึงช่วงกว่าทศวรรษ ที่ผ่านมานี้หาได้มีรากเหง้ามาจากสงครามอิรัคหรือสงครามต่อต้านการก่อการ ร้ายในอาฟกานิสถานอย่างที่นักวิชาการต่อต้านประธานาธิบดีบุชเสกสรรปั้นแต่ง ไม่เพราะเหตุการณ์ 9-11 มันก็เกิดขึ้นก่อนสงครามอิรัคและอาฟก่นิสถานเสียอีกแต่รากเหง้าอันแท้จริง มันเกิดจากมุสลิมที่มีแนวทางรุนแรงกลุ่มหนึ่ง(มิได้หมายรวมถึงมุสลิมทั้งหมด ) ต้องการสร้าง"มหารัฐอิสลามบริสุทธิ์ "(Pure Islamic state) ขึ้นมาเหมือนอย่างที่รัฐบาลตาลีบันของอาฟกานิสถานได้พยายามนำมาใช้นั่นเอง และมุสลิมที่มีแนวทางรุนแรงเหล่านี้พยายามส่งเสริมระบอบการปกครองในประเทศ ต่างๆให้อยู่ภายใต้กฎหมายอิสลาม(The Global Caliphate)โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องชี้นำในทางการเมืองเพราะสำหรับมุสลิมที่มีแนวทางรุนแรงเหล่านี้มีแนวความคิดที่ปฎิเสธระบอบการปกครองแบบฆราวาส(Secular state)โดยสิ้นเชิงการนำกฎหมายอิสลามเข้ามาปกครองเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นหนทางที่ถูกต้องและได้ชื่อว่าเป็นมุสลิมที่แท้จริง(True Muslim)เป็น ผู้ปฎิบัติตามครรลองที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้แก่มวล มนุษยชาติสำหรับดำเนินชีวิตในโลกนี้ดังนั้นหนทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายของ มุสลิมที่มีแนวทางรุนแรงเหล่านี้ก็คือการทำ"จีฮัด"นั่นเอง...

กลุ่ม ก่อการร้ายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากบาง ประเทศในทวีปอาฟริกาเหนือและโลกอาหรับโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชนชั้นนำในซาอุ ดิ อาระเบีย(มิได้หมายถึงรัฐบาล) ซีเรียและรัฐบาลอิหร่านซึ่งนิยมใช้ยุทธวิธีการก่อการร้ายในรูปแบบสงครามตัว แทนเป็นเครื่องมือเพื่อส่งออกการปฏิวัติอิสลามโดยมุ่งโค่นล้มระบอบการปกครอง และรัฐบาลของประเทศอื่นและสถาปนาระบอบการปกครองรัฐอิสลามเช่นเดียวกันกับ อิหร่านขึ้นแทนโดยทำการสร้างกระแสปลุกระดมเรียกร้องให้มีการ "ต่อต้านตะวันตกและระบบทุนนิยม" โดยฉกฉวยประโยชน์จากความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ถูกระบุว่า เป็นรัฐบาลที่สนับสนุนตะวันตกโดยเฉพาะ "สหรัฐ อังกฤษและอิสราเอล" จุดประสงค์ก็คือเพื่อแสวงหาศัตรูร่วมนั่นเอง โดยมุสลิมที่มีแนวทางรุนแรงเหล่านี้พยายาม ส่งออกความหวาดกลัวไปทั่วโลกมุ่งทำลายเสถียรภาพของทุกประเทศและทุกภูมิภาค คอยเสาะแสวงหาอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพและอาวุธนิวเคลียร์และถ้าสามารถครอบครองอาวุธเหล่านั้นได้กลุ่ม ก่อการร้ายเหล่านี้ก็จะเป็นภัยคุกคามต่อทุกประเทศและต่ออารยธรรมในท้ายที่ สุด

เรา ได้เห็นธาตุแท้ของผู้ก่อการร้ายเหล่านี้จากลักษณะการก่อวินาศกรรมโดยทำการ เข่นฆ่าสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์นับพันรายแล้วแสดงความ ปีติยินดีอิ่มเอิบใจกับผลงานของตนกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ไม่คำนึงถึงชีวิต คนบริสุทธิ์แม้แต่นิดชีวิตของคนบริสุทธิ์หลายคนต้องจบชีวิตลงด้วยลัทธิ อุดมการณ์ของพวกหัวรุนแรงเหล่านี้ไม่เว้นแม้แต่พี่น้องมุสลิมด้วยกันเองซึ่ง เปรียบประดุจเรือนร่างเดียวกันหากส่วนหนึ่งส่วนใดเจ็บทุกส่วนย่อมเจ็บไปด้วย กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้มองข้ามความผิดบาปของการเข่นฆ่าสังหารโดยอ้างว่าทำ ไปในนามของศาสนาที่รักสันติ เราไม่สามารถปฏิเสธได้หรอกว่าสำหรับศาสนาอิสลามแล้วการเมืองและศาสนาเป็น เรื่องเดียวกันดังนั้นเมื่อผู้นำทางด้านศาสนาของชุมชนมุสลิมเสี้ยมสอนผู้คน ไปในทางที่ิผิดความขัดแย้งใดๆในโลกนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างมุสลิมและคนนอก ศาสนาจึงเป็นเรื่องที่ยากจะแก้ไขได้ในเร็ววัน...

ดัง นั้นสำหรับแนว ความคิดของกลุ่มมุสลิมที่เชื่อในแบบ"จารีตนิยม"แล้วกระแสโลกาภิวัตน์และิเส รีภาพแห่งปวงชนจึงไม่ต่างอะไรกับตัวแทนของความชั่วร้ายที่ถูกนำพาเข้ามา เพื่อการครอบงำทางวัฒนธรรม ตลอดจนรวมไปถึงการมีความเชื่อว่ากระแสเช่นนี้คืออิทธิพลของปัจจัยภายนอกที่ เข้ามาเพื่อทำลายรากฐานทางศาสนาและจิตวิญญาณแบบดั้งเดิมของสังคมมุสลิม สภาพเช่นนี้ทำให้ความเชื่อว่าการใช้ความรุนแรงเพื่อหยุดยั้งกระแสโลกา ภิวัตน์และการมีเสรีภาพเป็นความชอบธรรมในตัวเองเพราะเป็นการกระทำหน้าที่ทาง ด้านจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงได้เห็นสงครามการก่อการร้ายโดยมีระเบิดพลีชีพที่เป็น ตัวแทนของพวกบ้าคลั่งศาสนาเป็นอาวุธชนิดใหม่ที่ไม่มีทั้งพรมแดนและรูปแบบดัง เช่นสงครามในกาลอดีตที่ผ่านมาเหมือนอย่างทีคอลัมนิสต์คนหนึ่งได้กล่าว ไว้อย่างน่าฟังว่า:

" al-Qaida and its Jihadists want to divide the world into what they want it to be, the world of international law and the world of Jihad."

“อัล ไคด้าและนักรบศาสนาของพวกเขาต้องการแบ่งแยกโลกให้เป็นไปตามพวกเขาต้องการให้ เป็น นั่นคือ โลกของกฎหมายระหว่างประเทศและโลกของจีฮัด(การพลีชีพเพื่อพระเจ้า)”


แนวความคิดของกลุ่มมุสลิมจารีตนิยม (Islamist fundamentalist groups)ที่ เชื่อในลัทธิขยายอาณาเขตของอิสลามจึงเกิดจากแรงจูงใจทางด้านศาสนาคือความ โกรธเกรี้ยวที่มีต่อสภาพที่สังคมของพวกตนกำลังจะสาบสูญ...ดังนั้นเหตุการณ์การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่องในประเทศตะวันตก ในโลกเสรีประชาธิปไตยและในหลายๆประเทศทั่วโลก(แน่นอนว่ารวมไปถึงมุสลิมบางประเทศด้วย)จึงเปรียบเสมือนเป็นการเผชิญหน้ากับศาสนาอิสลามที่กลุ่มก่อการร้ายพยายามกล่าวย้ำเสมอ ดังที่กลุ่มก่อการร้ายอัล ไคด้าได้เคยกล่าวไว้ว่า:

"we must have the quran in one hand, and a Kalashnikov in the other"
“เราต้องมีมือหนึ่งถือคัมภีร์โกราน ส่วนอีกมือหนึ่งถือปืนคาลาชนิคอฟไว้”


ดังนั้นในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายครั้งนี้ไม่มีประเทศใดเป็นกลางได้ทั้งนี้เพราะไม่มีประเทศที่เจริญแล้วประเทศใดที่จะอยู่อย่างมั่นคงได้ในโลกที่ถูก คุกคามจากการก่อการร้าย.


และผู้เขียนเชื่อว่าแม้สหรัฐอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีจากจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชมาเป็นบารัค โอบามา การก่อการร้ายก็จะยังเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐและประชาคมโลกต่อไปแต่ระดับความ รุนแรงอาจต่างออกไปทั้งนี้เพราะรากเหง้า แห่งการก่อการร้ายมันมิได้เกิดจากสงครามอิรัค สงครามในอาฟกานิสถานหรือลัทธิทุนนิยมอย่างที่กลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มแนว ร่วมนำมาอ้างเพื่อหาความชอบธรรมในการปฎิบัติการก่อการร้ายแต่มันเกิดจากการ สนับสนุนอุดมการณ์แห่งความเกลี่ยดชัง(Ideology of hatred) ในหมู่มุสลิมหัวรุนแรงและการขาดการต่อต้านอย่างแข็งขันในหมู่มุสลิมสายกลางนั่นเอง

ก็คงจะเหมือนกับที่เอ็ดมุนด์ เบิร์กกล่าวไว้นั่นแหละว่า “All that is necessary for the triumph of evil is that good men do nothing” “ชัยชนะจะตกเป็นของปีศาจถ้าคนดีอยู่นิ่งเฉย”