Spiga
Showing posts with label thaksin. Show all posts
Showing posts with label thaksin. Show all posts

พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ไทยสองอาทิตย์เตรียมเดินสายอีสาน-เหนือเพื่อทำบุญ

30 มีนาคม พ.ศ. 2551 19:12:00

“ทักษิณ” เผยอยู่เมืองไทยสองอาทิตย์ มีแผนไปเมืองนอก อ้างไปอีสานเพื่อทำบุญ เผยตั้งมูลนิธิไทยคมเพราะซาบซึ้งและตอบแทนบุญคุณเจ้านายทุกพระองค์

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ที่ห้องฟีนิกซ์ อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อเวลา 18.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการซื้อ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ นักฟุตบอลจากสโมสรทอตแนม ฮอตสเปอร์สว่า ยังไม่มีความคืบหน้า เรื่องนี้ต้องไปถามนายสเวน โกรัน อีริคสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้

เมื่อถามถึงระยะเวลาในการอยู่ประเทศไทย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า 2 สัปดาห์ และเมื่อถามว่า หลังจากนี้ จะเป็นการเดินทางแบบไป ๆ มา ๆ ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เขาต้องไปเป็นผู้บรรยายหลักที่ดูไบ จัดโดยบิสสิเนส วีค เมื่อถามถึงกรณีที่มาเตรียมต้อนรับนักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า จะเป็นการหารือเรื่องเหล็กและเรื่องไบโอดีเซล

เมื่อถามว่า ได้คุยไว้นานหรือยัง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ เขาเป็นผู้ชวนมาลงทุนเอง ส่วนเม็ดเงินที่คาดว่า จะนำมาลงทุนในไทยนั้น ยังตอบไม่ได้ แต่เขาเป็นเศรษฐีระดับโลก

เมื่อถามว่า มีข่าวจะเดินทางไปภาคอีสานกำหนดวันเวลาหรือยัง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตอนนี้ ถ้าจะเดินทางไปไหนก็ไปทำบุญ ไม่มีอะไร และเมื่อถามย้ำว่า วันที่ 11 เม.ย. จะเดินทางไปเชียงใหม่แน่นอนใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไปทำบุญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเสร็จพิธี บรรดาแฟนคลับทักษิณ ซึ่งติดตามการเดินทางกลับ ตั้งแต่สนามบินจนถึงอิมแพคเมืองทองธานี โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ได้หยุดทักทายแจกรายเซ็นต์ ซึ่งนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้กล่าวกับบรรดาแฟนคลับว่า โอกาสหน้าจะจัดคอฟฟี่เบรกให้กับแฟนคลับ ส่วนการคุ้มกันอดีตนายกนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 100 นายกระจายการคุ้ยกันทักษิณ และคนในครอบครัวอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วงการเดินทางนั้น ได้มีรถนำขบวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติหลายสิบคันตามประกบ

ทั้งนี้ อดีตนายกฯมีกำหนดการรับประทานอาหารเย็นพร้อมครอบครัวที่โรงแรมโอเรียลเตล ส่วนสถานที่พักผ่อนนั้นมีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะพักที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

สำหรับ บรรยากาศการมาเป็นประธานในพิธีปิดโครงการเด็กไทยคมไปแมนฯซิตี้ ณ ห้องฟีนิกซ์ อิมแพค เมืองทองธานี โดยเยาวชนไทย 123 คนที่เข้าโครงการและผ่านการคัดเลือกไปแมนฯซิตี้ 15 คน เพื่อฝึกซ้อมกับสโมสรแมนฯซิตี้ระหว่างวันที่ 22 เม.ย. -1 พ.ค.นั้น พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวปิดงานว่า วันนี้เป็นครั้งแรก ที่มาทำงานเกี่ยวกับสาธารณกุศลหลังจากตกงานเกือบสองปี หลังจากที่เขาซื้อสโมสรแมนฯซิตี้แล้ว ก็นึกถึงมูลนิธิ และอยากให้ทั้งสองอย่างนี้ ทำงานร่วมกัน เขาคิดถึงเยาวชนไทย ที่มีใจรักกีฬา เพราะกีฬาคือหัวใจสำคัญของสุขภาพกายและจิต

"เมื่อเราอยู่ในการแข่งขัน การเคารพกฎกติกา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย คือสิ่งสำคัญ
และเป็นหัวใจของทุกด้าน กีฬาจึงเป็นสิ่งปลูกฝังที่ดีที่สุด เพราะทำให้คนเป็นคนดี
มีวินัย ทำงานเป็นทีมได้"


พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เขาและครอบครัวที่ตั้งมูลนิธินี้ ก็เพราะด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสด็จมาเปิดสถานีไทยคม และสมเด็จพระเทพพระรัตราชสุดาฯ เสด็จทอดพระเนตรการปล่อยดาวเทียมไทยคม 1 ที่เฟรนซ์เกียนาฯ และมูลนิธิก็ได้ทำงานการกุศลครั้งแรก คือการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อเยาวชนและพยายามทำทุกอย่างด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และจะทำทุกอย่างถวายเจ้านายทุกพระองค์ และมูลนิธินี้จะช่วยงานสาธารณกุศาลให้สังคมไทยในทุกด้านต่อไป

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตอนที่อยู่อังกฤษ ได้ไปอิมพีเรียลคอลเลจ และพบศาตราจารย์คนหนึ่ง ที่เก่งด้านสื่อสารโทรคมนาคม ที่ทำไมโครชิพไปฝังหลังหู เพื่อให้คนหูหนวกได้ยิน และยังช่วยคนตาบอดมองเห็นได้ โดยทำเรตินาเทียม เขาจึงเชิญมาบรรรยายในไทย เพื่อช่วยเหลือคนไทย ฉะนั้นการเดินทางไปต่างประเทศ หากไปเฉย ๆ มันก็ไม่ได้อะไร แต่หากไปเรียนรู้ และเห็นอะไรมากมายนั้น มันจะเป็นประโยชน์ เพราะโลกข้างหน้า แข่งขันด้วยปัญญา ที่ต้องกล้าคิดกล้าทำกล้าแสดงออก

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เขาขอให้เยาวชนที่ไม่ได้ไปแมนฯซิตี้ เอาประสบการณ์ตรงนี้ไปใช้ในการดำรงชีวิต เพราะเรามีประสบการณ์แล้วก็ได้เปรียบคนอื่น เพราะประสบการณ์ทุกอย่าง ไม่ว่าโง่ ฉลาด ดี เลว มันให้ประโยชน์กับตัวเราในการพัฒนาตัวเอง เพราะปัญญาต้องสู้ด้วยปัญญา


Deposed Thai Premier Maintains Rural Popularity

Deposed Thai Premier Maintains Rural Popularity
by Michael Sullivan

Morning Edition, March 12, 2008 · Former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra pleads not guilty to corruption charges after returning from exile. He remains very popular, particularly among Thailand's rural people and urban poor for his financial and social welfare policies.

Deposed Thai Leader Thaksin Returns Home


Former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra returned home in February to two very different greetings.

Thousands of supporters welcomed the telecommunications billionaire with roses when he arrived at the Bangkok airport. They cheered as he knelt and touched his forehead to the ground — a gesture of love for his homeland.

But Thaksin's second stop was Thailand's Supreme Court, where he posted nearly $270, 000 bail on corruption and conflict-of-interest charges. His wife Pojaman, who also faces corruption charges, returned in January and is now free pending trial. Both have said they look forward to a legal process they are confident will exonerate them.

A controversial politician, Thaksin was in exile, mostly in Britain, for the past 17 months. He was deposed by the Thai military in 2006 amid allegations that he and his family had evaded taxes in a nearly $2 billion deal to sell its shares in Thailand's biggest telecommunications company.

A Businessman and Politician with a Police Background

The 58-year-old Thaksin comes from a wealthy family in the northern province of Chiang Mai. He began his career as a member of the Royal Thai Police and studied criminal justice in the United States during the late 1970s.


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดแถลงข่าวครั้งแรกหลังจากเดินทางกลับประเทศไทย

"สวัสดีครับ ท่านพี่น้องสื่อมวลชนที่เคารพรัก Good afternoon ladies and gentlemen of the press ขอบคุณนะครับ ที่มาทำข่าวที่ผมเดินทางกลับมาประเทศไทยในวันนี้

ก็มีคำถามมากมาย ผมก็เลยอยากจะขอสรุปให้ฟังคร่าวๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติในวันที่ 19 กันยายน 2549 ผมมีความรู้สึกว่าอยากจะกลับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 20 เพราะผมเป็นคนมีน้ำใจนักกีฬา เมื่อจบก็คือจบ ผมก็ตั้งใจว่าผมก็อยากจะเดินทางกลับ แต่เมื่อทุกคนบอกว่าอยากให้ผมอยู่สักพักหนึ่ง ผมก็อยู่ แล้วก็ได้มีการโทรศัพท์ติดต่อกับทางฝ่ายของคณะปฏิวัติ ก็ได้บอกให้ทุกคนทราบว่า ผมเป็นคนมีน้ำใจนักกีฬา เมื่อจบแล้วก็จบ อยากให้เขาช่วยสร้างความปรองดองของชาติให้เกิดขึ้น

ผมก็นึกว่าผมจะอยู่สัก 2-3 เดือนอย่างมาก เพราะผมเป็นคนติดบ้าน เป็นคนที่รักประเทศไทย รักผืนแผ่นดินไทย อยากอยู่กับครอบครัวในประเทศไทย ก็เลยนึกว่าจะได้กลับ แต่ในที่สุดเหตุการณ์ก็ยังไม่สามารถยุติลงได้ ผมก็เลยต้องอยู่ อยู่ไปอยู่มาก็ 17 เดือนกว่าๆ เกือบ 18 เดือน ซึ่งก็ถือว่านาน ในวันออกไปก็เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ออกไปประชุม ทั้งประชุมเอเชีย-ยุโรป หรือ อาเซม เสร็จแล้วก็ไปประชุมผู้นำของประเทศผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด หรือ นาม ที่ฮาวานา แล้วก็ไปประชุมสหประชาชาติ เพื่อจะไปช่วยหาเสียงให้กับ ดร.สุรเกียรติ์ ในขณะนั้นที่ต้องการจะส่งให้เป็นเลขาฯ ยูเอ็น ก็ไปด้วยความตั้งใจและทุ่มเท

แต่วันนี้กลับมาถูกกล่าวหา ต้องไปพิมพ์ลายนิ้วมือ เปรียบเสมือนเป็นผู้ต้องหาสำคัญ ซึ่งก็รู้สึกเสียใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมและครอบครัวนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าเสียใจ แต่ว่าผมก็ยังต้องอดขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องประชาชน กับเหตุการณ์ของความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา คนที่เหนื่อยและลำบากที่สุดคือประชาชนโดยรวม ซึ่งผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

วันนี้ ผมกลับมาเพราะว่าหลังจากที่พี่น้องประชาชนได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันแล้ว หลายคนก็โล่งใจเพราะได้แสดงการตัดสินใจของตัวเองไปแล้ว และเมื่อเหตุการณ์มันคลี่คลายจากการเลือกตั้ง และประชาธิปไตยกลับคืนมาแล้ว ผมจำเป็นที่จะต้องมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และก็มารักษาชื่อเสียงของผมที่ถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม

เพราะฉะนั้นผมก็อยากจะกราบเรียนทุกฝ่ายว่า การกลับมาของผมครั้งนี้ ผมไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับการเมือง บางคนอาจจะสงสัยว่า นักการเมืองไปมาหาสู่ผม มันเป็นธรรมชาติไม่ใช่หรือ ที่คนไทยเมื่อรู้จักกัน และไม่ได้เจอหน้ากันก็ย่อมต้องมาเจอกัน มาเยี่ยมเยียนกัน มันเป็นวัฒนธรรมของพวกเราไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นการที่คนเหล่านี้คิดถึงผม เพราะบางคนผมก็มีโอกาสส่งเสริมให้เขาได้ทำงานการเมือง เขาก็คิดถึงผม ก็ไปเยี่ยมไปเยือน แล้วก็ไปรับผมบ้าง อะไรบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะกลับเข้าสู่การเมือง

วันนี้ผมขออาศัยเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง เพราะต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ผมไประเหเร่ร่อนมาทั่วโลก ขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีแผ่นดินไหนที่จะให้ความอบอุ่นแก่ผมและครอบครัวเท่ากับแผ่นดินไทย เพราะฉะนั้นผมจะขอกลับมาอาศัยอยู่อย่างมีความสุข อย่างมีความอบอุ่น และขอตายในผืนแผ่นดินไทยนี้

ผมก็ขอให้ท่านทั้งหลายที่เป็นห่วงเป็นใยผม ว่าจะมาแข่งขันกันทางการเมืองหรืออะไรนั้น ได้สบายใจได้ว่าผมจะขอใช้ชีวิตอย่างสันติ และสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ปีนี้ 59 แล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตของคนเรามันก็ไม่ยาวนานมากนัก ถ้าช่วงสุดท้ายจะได้ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม และได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข เป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะปรารถนา และผมก็ปรารถนาเช่นนั้น

เพราะฉะนั้นผมจะขอใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวผม อยู่กับลูกกับเมีย และแน่นอนครับ ก็ขอพักผ่อนบำรุงความสุขให้กับตัวเองบ้างหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่ว่าจะเป็นการทุ่มเทให้กับบ้านเมืองที่ผ่านมา วันนี้ก็ขอกลับมาอยู่บนผืนแผ่นดินไทย คงจะใช้เวลากับการต่อสู้คดี รักษาชื่อเสียงของตัวเองที่ถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมกับการทำงานด้านการกุศล ด้านการกีฬา และด้านการศึกษา สิ่งไหนที่ผมจะทำให้เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องคนไทยผมก็จะทำ ในฐานะประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น

และนอกจากนั้น ผมต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เป็นกำลังใจผมมาตลอดเวลา 17 เดือน ก็ยังให้กำลังใจผม ทั้งๆ ที่ผมถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกกล่าวหาต่างๆ นานา ก็ยังให้กำลังใจผมอยู่ และให้โอกาสผมกลับมาในวันนี้ หลายท่านที่ไปรับผมที่สนามบินก็ดี ไปยืนคอยตามจุดต่างๆ ก็ดี ผมต้องขอกราบอภัยมา ณ ที่นี้ที่ไม่ได้ลงไปทักทาย เพราะโดยปกติผมเป็นคนที่ต้องลงไปทักทาย เพราะต้องขอบคุณน้ำใจที่เขายืนตากแดดตากลมรอผม แต่ผมไม่สามารถทำได้เพราะว่าวันนี้ระบบการรักษาความปลอดภัยเขายังไม่ค่อยสบายใจที่จะให้ผมไปเดินเช่นนั้น ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่ไปแล้วไม่ได้เจอผมก็ขอกราบอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ส่วนพี่น้องสื่อมวลชนหลายคนก็จำหน้าได้ เพราะว่าเคยทำงานร่วมกันมา ทั้งผู้สื่อข่าวต่างประเทศและผู้สื่อข่าวไทย หลายคนก็เป็นลูกหลาน เพิ่งจบใหม่ๆ เข้ามา ก็ขอให้ท่านช่วยกันทำให้ประเทศไทยได้กลับมามีความเชื่อมั่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าผมอยากเห็นประเทศไทยยืนได้อย่างเข้มแข็งในภาวะเศรษฐกิจที่มีการผันผวนอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปัญหาซับไพรม์ที่สหรัฐอเมริกา ปัญหาเรื่องของน้ำมันราคาแพงขึ้นทุกวัน ปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจชะลอตัวลงของโลก และปัญหาภายในของเรา

เพราะฉะนั้นวันนี้ขอให้ทุกท่านช่วยกันแก้ปัญหาภายในให้มากที่สุด เพื่อที่เราจะได้เข้มแข็ง เผชิญกับปัจจัยภายนอก และ ทำให้เราสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้ในการแข่งขัน ก็ขอขอบคุณท่านสื่อมวลชนทั้งหลาย หลายคนก็เป็นห่วงเป็นใย โทรไปให้กำลังใจ ก็ขอขอบคุณอีกครั้ง ขอขอบคุณครับ"

ที่มา: เดลินิวส์


ประมวลภาพต้อนรับอดีตนายกฯทักษิณกลับบ้าน

ประมวลภาพต้อนรับอดีตนายกฯทักษิณกลับบ้านเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ผ่านมา



นิราศร้างห่างไกลไร้ทำเนียบ
เย็นยะเยียบหนาวในใจสับสน
อันโลกใต้กะลาสาละวน
ชีวิตคนพบเพื่อพราก..จากเพื่อเจอ

แลเหลียวหลังเวียงวังดังป่าช้า
ไพรีมายึดพาราตอนคราเผลอ
ไปยูเอ็นเย็นใจให้เผอเรอ
กลับต้องเจอหมู่อมิตรคิดเอาชัย

กําแพงรอบขอบคูก็ดูลึก
ไม่น่าศึกโจรป่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย
โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย

หรือทักษิณสิ้นเกณฑ์จึงสิ้นยุค
ไพรีรุกรบได้อย่างใจหมาย
ประชาชนมนตรีก็ดูดาย
แถมไปมอบดอกไม้ให้หมู่โจร

จากลอนดอนมาปักกิ่งช็อปปิ้งเกาะ
แล้วเลียบเลาะไปบาหลีพี่สับสน
คนทำดีอับปะรีย์กินสิ้นตัวตน
ต้องเป็นคนไร้แผ่นดินสิ้นรังนอน

สู้ลำบากตรากตรำทำเพื่อชาติ
กษัตริย์ศาสน์ราษฎร์รัฐชัดเจนก่อน
กลับเหยียบย่ำทำร้ายไม่อาทร
นกขมิ้นบินจรให้อ่อนแรง

ก้มลงกราบธรณินทร์ถิ่นกำเนิด
หวังชูเชิดยุติธรรมนำส่องแสง
หวังฟากฟ้ามีตาอย่าระแวง
หวังทุ่มแรงกายใจให้มาตุภูมิฯ

โดย คุณใต้หล้าฟ้าเขียว จากกระดานข่าวราชดำเนิน


เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรี พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร รัฐบุรุษและสัตบุรุษในหัวใจมหาชนกลับคืนสู่มาตุภูมิ

แม้ตัวผู้เขียนเองในฐานะประชาชนคนไกลบ้านคนหนึ่งที่ยังรักและศรัทธาในตัวอดีตนายกรัฐมนตรี พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรจะไม่สามารถเดินทางไปรับท่านกลับคืนสู่มาตุภูมิร่วมกับคนไทยอีกหลายพันคนที่ยังคงรักและศรัทธาในตัวท่านอย่างเหนียวแน่น ณ สนามบินสุวรรณภูมิได้ด้วยตนเอง

แต่ในวันนี้ผู้เขียนก็ขอแสดงความยินดีกับ อดีตนายกฯทักษิณเป็นอย่างยิ่งที่ท่านได้มีโอกาสหวนคืนสู่แผ่นดินเกิดที่ท่านรัก หวงแหนและภาคภูมิใจ หวนคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัวและประชาชนที่ท่านรักและรักท่านพร้อมกับได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากคลื่นมวลมหาประชาชนที่ยังรักท่านมิเสื่อมคลายและเป็นการสัมผัส สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของท่านเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ท่านถูกยึดอำนาจยังผลให้ท่านต้องลี้ภัยในต่างแดนนานร่วม 18 เดือน

ภาพที่ท่านก้มลงกราบธรณินทร์แผ่นดินเกิดเมื่อเดินออกมาจากห้อง วี ไอ พี นั้นสะท้อนถึงความรักต่อมาตุภูมิ การกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดของอดีตผู้นำไทยพตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรนั้นยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด

ภาพนี้ล่ะค่ะที่เรียกว่า หนึ่งภาพแทนล้านคำบรรยาย หนึ่งภาพประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่คนไทยจะต้องจดจำมิรู้เลือน

การเป็นผู้นำนั้นว่ายากแล้วแต่การเป็นผู้นำที่สามารถสร้างศรัทธาให้เกิดในหัวในมหาชนได้นั้นยากยิ่งกว่าและเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า

อดีตนายกรัฐมนตรี พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ท่านเป็นผู้นำที่เข้าไปนั่งกลางใจของมหาชนได้เพราะท่านกตัญญูต่อเงินเดือนที่ได้รับจากภาษีอากรของประชาชน ท่านกตัญญูกับการที่ประชาชนให้โอกาสท่านมาแสดงผลงาน มาทำงานให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งหมดนี้นั่นเพราะท่านมีกตัญญูต่อศรัทธาของประชาชนนั่นเอง

จึงสมควรแก่เหตุแล้วที่ในวันนี้ผู้เขียนจะขอเรียก อดีตนายกรัฐมนตรี พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นนักการเมืองที่เป็น "สัตบุรุษและรัฐบุรุษ" ท่านเป็นสัตบุรุษเพราะท่านเป็นนักการเมืองที่มีธรรมะ นั่นคือเป็นนักการเมืองที่นึกถึงประโยชน์ของประชาชนและสังคมเป็นที่ตั้งมากกว่าประโยชน์ส่วนตน การนึกถึงประโยชน์ของสังคมเป็นสำคัญนั้นจะอยู่บนพื้นฐานของการมีธรรมะ ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นรัฐบุรุษด้วยเพราะ "รัฐบุรุษคิดถึงคนรุ่นใหม่เสมอ"

พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีเพียงคนแรกและคนเดียวของประเทศไทยที่ถูกมวลมหาประชาชนที่รักและศรัทธาในตัวท่านเรียกท่านว่า "ท่านนายกฯทักษิณ" จนติดปากอยู่เสมอแม้ท่านจะมิได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในปัจจุบันก็ตามเพราะท่านเป็น "นายกฯในดวงใจตลอดกาล" ของประชาชนนั่นเอง

ในราวเดือน เมษายน 2549 ที่ท่านนายกฯทักษิณประกาศเว้นวรรคทางการเมืองจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ขึ้นภายในประเทศ แม้นว่าท่านสมควรจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะพรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นก็ตาม

ในวันนั้นผู้เขียนได้เคยมอบบทเพลงแห่งความหวังและกำลังใจ "You'll Never Walk Alone" นี้ให้กับท่านในยามที่ท่านต้องเจอกับมรสุมร้ายในชีวิต

มาในวันนี้ วันที่ท่านนายกฯทักษิณได้หวนกลับคืนสู่มาตุภูมิ หวนคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัวและสู่อ้อมกอดของประชาชนอย่างสง่างามและกลับมากอบกู้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของท่านและครอบครัวที่ถูกทำลายโดยคณะรัฐประหารกลับคืนมา จึงอยากจะขอมอบบทเพลงแห่งความหวังและกำลังใจ "You'll Never Walk Alone" ให้กับท่านนายกฯทักษิณ อีกครั้งค่ะ

"You'll Never Walk Alone"

... To PM.Thaksin with Love.
... แด่นายกฯ ทักษิณ ด้วยรักและศรัทธา
... You fight for good future.
... คุณต่อสู้เพื่ออนาคตที่สดใส

... When you walk through a storm.
... ยามที่คุณต้องเดินฝ่าพายุ
... Hold your head up high.
... จงเชิดหน้าของคุณให้แน่วแน่

... And don't be afraid of the dark.
... จงอย่ากลัวความมืด (อุปสรรค)
... At the end of the storm. Is a golden sky.
... สุดปลายทางของพายุ คือท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ

... And the sweet silver song of lark.
... และเสียงร้องไพเราะเสนาะโสตของสกุณี
... Walk on through the wind.
... จงลุยฝ่าพายุต่อไป

... Walk on through the rain.
... จงลุยฝ่าสายฝนต่อไป
... Tho' your dreams be tossed and blown.
... และอย่าโยนความฝันอันบรรเจิดของคุณทิ้งไป

... Walk on, Walk on,
... จงก้าวเดินต่อไป จงมุ่งหน้าฟันฝ่าต่อไป
... With hope in your heart.
... ด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง

... And you'll never walk alone.
... แล้วคุณจะไม่มีวันโดดเดี่ยวเดียวดาย
... You'll never walk alone.
... คุณจะไม่มีวันเปล่าเปลี่ยวตามลำพัง

... God bless you safe and sound all time.
... พระเจ้าทรงอวยพรให้คุณก้าวเดินต่อไป ด้วยความสวัสดีมีโชคชัย

และขอเชิญรับชมวีดีโอคลิป ประมวลภาพเหตุการณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรเดินทางกลับประเทศไทย



(เอื้อเฟื้อไฟล์สำหรับดาวน์โหลดโดยคุณ เกียรติมุข จากพันทิพราชดำเนิน)


Thaksin’s return: a hero’s welcome, a humble posture

20:48, February 28, 2008

Thaksin’s return: a hero’s welcome, a humble posture

There is no doubt that Feb. 28, 2007 belongs to Thaksin Shinawatra in Thailand.After 17 months of self-exile abroad since ousted in a military coup, Thailand’s ex-prime minister Thaksin Shinawatra was welcomed by supporters as a hero when he stepped out of Bangkok’s Suvarnabhumi Airport and kissed the soil of his motherland.

The airport, a mega-project whose completion was deemed one of the accomplishments of Thaksin’s administration 2001-2005, was mobbed by thousands of Thaksin’s supporters Thursday morning, among whom were farmers who had traveling several hundred kilometers from the north and northeast and taxi drivers and motorists in Bangkok, representing the staunchest group of supporters in urban and rural poor for Thaksin.

Though they failed to get a close glimpse of the ex-premier, who was tight escorted by security staff, aides and senior government officials, and surrounded by an army of reporters and cameramen on the frontline, their hail of his name and banners of “Thaksin Welcome Home” and “We Love Thaksin” got a smile and greeting by Thaksin.


Anti-Thaksin camps, led by the reactivated People’s Alliance of Democracy (PAD), which acted as catalyzer for Thaksin’s downfall in 2006 by launching mass street protests in Bangkok, have refrained from appearing in any way at the airport or other part of the capital.

A protest will definitely be overwhelmed, if not intimidated, by the celebrative mood. Local media, many of whom had thrown sharp criticism on the ex-premier and his administration, was kept busy throughout the day following up every leg of Thaksin, and expected to continue so in the next few days.

Different from the joyous emotion of his supporters, the ex-premier appeared weary and kept a very low-key posture ever since his first step on the soil after 17 months of absence.

After released on bail by the Supreme Court and Office of the Attorney General, where he faces charges of abuse of power and asset concealment, the ex-premier held a brief press conference at Bangkok’s Peninsula Hotel, where he would stay for the night.

Thaksin spoke to the press for less than ten minutes, appearing as a family man and a patriotic Thai unfairly treated and tired of political chaos.

“I definitely will stay out of politics,”
he opened his statement with this remark.

He said he had planned to return to Thailand ever since Sept. 20, 2006, the second day after the military top brass toppled him in a coup while he was attending a United Nations meeting in New York. And he decided this was the proper time now that Thailand is returning to the normal track of democratic rule under a Constitutional Monarchy after the country held a general election in Dec. 23, 2007 and had a new elected government.

He said he had returned to defend his and his family’s reputation which has been tarnished by “unfair” allegations and charges by junta-appointed bodies.

He said he would no longer enter politics, and as a 59-year-oldman, he wished to live quietly and peacefully with his family as a normal Thai citizen.

“I have traveled around the world, but I have found that there is no other place
as warm and happy to me as my home country Thailand. I want to live the rest of
my life here.”

He also called for all sides never to allow differences of opinions cause division in the society and affect national unity.

The ex-premier then retreated with his family, leaving his aides to take questions of media.

He cited tiredness for his refusal to answer questions.
“Allow me some time to enjoy a bowl of beef rice noodle (a traditional Thai
snack).”

Source: Xinhua


'เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ' แด่...อดีตนายกฯทักษิณ



เหลืออีกเพียงแค่ 2 วันเท่านั้นที่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรจะเดินทางกลับถึงประเทศไทย มาตุภูมิที่ท่านต้องจำใจจาก

เป็นระยะเวลากว่า 18 เดือนที่อดีตนายกฯทักษิณต้องเดินทางรอนแรมอยู่ในต่างประเทศนับตั้งแต่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) เข้าทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้การนำของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาเป็นรัฐประหารที่อดีตนายกฯทักษิณและประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้อีกในโลกศตวรรษที่ 21

กว่า 1 ปีเศษภายใต้สถานการณ์รัฐประหารที่ผ่านมาประเทศไทยได้สูญเสียหลายๆสิ่งไปมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องพัฒนาการทางด้านการเมืองที่ถอยหลังไปอีกสิบปี ไม่จะเป็นการสูญเสียโอกาสในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียทางด้านการสร้างความมีส่วนร่วมในสังคมของประชาชน และความสมานฉันท์จะไม่มีทางเกิดขึ้นตราบใดที่คนในสังคมบางส่วนไม่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นด้วยกติกาเดียวกัน

ผู้เขียนรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พรรคพลังประชาชนที่ได้รับการสนับสนุนจากอดีตนายกฯทักษิณ และภายใต้การนำของคุณสมัคร สุนทรเวชได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมาได้ที่นั่งในสภาฯไปเกือบครึ่งแต่ในความดีใจก็มีความผิดหวังอยู่บ้างที่ พรรคพลังประชาชนไม่สามารถได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดแบบ win outright marjority จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวให้สำเร็จได้

แต่การที่พรรคพลังประชาชนทีมสำรองได้รับคะแนนเสียงแบบทิ้งห่างอันดับสอง(สัดส่วน+เขต)อย่างพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กว่า 60 ที่นั่งในการเลือกตั้งภายใต้เงาปืนแบบนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้วค่ะ เพราะตัวจริงอีก 100 กว่าคนที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองไป 5 ปีก็ไม่ได้ลงแข่งขันในสนามเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา

การเลือกตั้งที่ผ่านมาจึงถือว่าเป็นบันไดก้าวแรกในการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่เป็นของปวงชนจริงๆกลับคืนมาหลังจากที่ รธน.40และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกโค่นล้มลง

แต่ในขณะที่ประเทศสูญเสียโอกาสทั้งในด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจจากการทำรัฐประหารก็มีการก่อกำเนิดของแนวรบพลังประชาชนขึ้นมาใหม่ทั้งในโลกแห่งความจริงและในโลกอินเตอร์เนตและเป็นแนวรบที่จะรอวันเติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้นตามลำดับในยุคศตวรรษที่21ยุคที่หลายประเทศต้องล่องไปตามคลื่นโลกาภิวัตร เพราะหากทวนคลื่นแล้วอาจจมดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทรได้

ผู้เขียนเองในฐานะที่ได้มีโอกาสตวัดปลายนิ้วบนคีย์บอร์ดต่อสู้กับขบวนการโค่นล้มทักษิณและรัฐประหารในช่วง 2 ปีเศษที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ "ลูกแกะหลงทาง" ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ให้รู้สึกไม่เหนื่อยเปล่าที่ในที่สุดแล้วพลังเผด็จการกลับพ่ายแพ้อย่างราบคาบให้แก่พลังประชาชนบนสังเวียนการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยกติกาที่ตนเป็นผู้กำหนดขึ้นเอง แม้การต่อสู้เผด็จการเอาความถูกต้องกลับคืนสู่สังคมไทยในครั้งนี้จะเป็นเพียงการต่อสู้ทางตัวอักษรผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนตก็ตามแต่ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าความคิดของเรามิได้ถูกโดดเดี่ยวจากโลกเสรีประชาธิปไตยแต่เป็นการเดินไปด้วยกันกับประชาคมโลก

จากที่เคยแต่ขีดเขียนเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและเฝ้ามองการเมืองไทยแบบห่างๆ

จากที่ไม่เคยให้ความสนใจการเมืองไทยมากนักเพราะเบื่อการเมืองที่ขาดการสร้างสรรผลงาน

จากที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับนักการเมืองไทยเท่าไหร่เพราะหลายคนดีแต่ตีสำนวนโวหาร ผลงานไม่เป็นที่ประจักษ์ นึกถึงแต่ความอยู่รอดของตัวเองและพรรคแต่ไม่มีจิตใจรับใช้ประชาชนแบบทุ่มเทและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ก็ต้องหันกลับมามองการเมืองไทยใหม่เมื่อถนนสายการเมืองสายนี้มีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรและรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก้าวเข้ามาบริหารประเทศ

อาจกล่าวได้ว่าท่านนายกฯทักษิณได้พลิกโฉมการเมืองไทยและเปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมืองไทยขึ้นมาใหม่ จากการเมืองที่เคยให้ความสำคัญแต่กับตัวบุคคลก็มาเน้นที่นโยบายและอุดมการณ์ของพรรคเป็นสำคัญ จากที่ไม่เคยมีรัฐบาลพรรคเดียวในเมืองไทยก็มีให้เห็นแล้วแถมเป็นรัฐบาลชุดแรกที่อยู่ครบเทอม (4 ปี) เรียกว่าการเมืองไทยยุค "ระบอบทักษิณ" เป็นยุคที่ "ฟ้าสีทองผ่องอำไพ" ทำการเมืองไทยให้งดงามเป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องจดจำและจารึกไว้จริงๆค่ะ

ตลอดชีวิตของผู้เขียนที่ไม่เคยเสียน้ำตาให้กับนักการเมืองไทยคนไหนแต่ก็ต้องมาเสียน้ำตาให้กับพ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตรนักการเมืองผู้เป็นสัตบุรุษผู้นี้เป็นท่านแรกเมื่อครั้งที่ชีวิตการเมืองของท่านถูกมรสุมร้ายอมาตยาธิปไตยถาโถมพัดเข้าใส่และผู้เขียนเชื่อว่าหากพรรคพลังประชาชนยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางมีจุดยืนที่มั่นคงในหลักการที่ถูกต้องตลอดไปแล้วพรรคพลังประชาชนจะกลายเป็นพรรคที่ประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของได้อย่างสนิทใจและเป็นสถาบันการเมืองที่เติบใหญ่อย่างแข็งแกร่งได้ในอนาคตค่ะ

ในวันนี้ผู้เขียนจึงอยากจะขอมอบ บทเพลง "เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ" ให้กับ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในยามที่ท่านกำลังจะได้กลับคืนสู่มาตุภูมิหลังจากที่ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างแดนช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา

"เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ" บทเพลงในอดีตจากจิตร ภูมิศักดิ์ที่สะท้อนถึงความรักต่อมาตุภูมิของจิตรนั้นยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด

เช่นเดียวกับอดีตนายกฯทักษิณในตอนนี้ต่างกันแค่บุรุษหนึ่งเดินทางรอนแรมอยู่ในป่า บุรุษอีกท่านเดินอยู่ท่ามกลางป่าคอนกรีตของมหานครลอนดอน

นี่คือความรักความศรัทธาของสองบุรุษที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้อย่างทรนงเพื่อที่วันหนึ่งจะได้มีโอกาสกลับสู่มาตุภูมิอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี

MV ชุดนี้ทางทีมงาน thaksin.wordpress.com ได้จัดทำขึ้นราวเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วเพื่อประมวลเหตุการณ์วิกฤติการณ์การเมืองไทยตั้งแต่สมัยที่ ดร. ทักษิณ ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยและถูกยึดอำนาจการปกครองในเวลาต่อมาทำให้ท่านต้องลี้ภัยการเมืองอยู่ในต่างประเทศร่วม 18 เดือนแต่เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ เสียงร่ำร้องจากประชาชนที่ยังรักและศรัทธาในตัวท่านต้องการเห็นท่านกลับคืนสู่แผ่นดินไทยอีกครั้งมิได้แผ่วเบาลงแต่อย่างใด ... จากวันนั้นจนถึงวันนี้

MV เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ บทเพลงและสไลด์โชว์ชุดนี้ขอมอบให้แด่ …อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร นายกฯที่สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจมหาชนได้อย่างสง่างามและวีรบุรุษของชาวรากหญ้าผู้นี้ค่ะ



' ไฮ-ทักษิณ' ระบุอดีตนายกฯทักษิณเดินทางกลับถึงไทยในวันที่28 กพ.นี้แน่นอน



Former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra is due to return from exile on Thursday, 18 months after he was ousted in a bloodless 2006 coup, a website run by his supporters said on Monday.

An advertisement on www.Hi-thaksin.Org urged his supporters to welcome “Prime Minister Thaksin Shinawatra: The One We Love & Miss For Years” At Bangkok airport at 0200 GMT on February 28.

ในที่สุดวันที่พวกเราทุกคนรอคอยก็มาถึง

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้ เวลา 09.00 น. นายกฯทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ

ผมได้รับ Mail แจ้งข่าวนี้จากสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวชินวัตร ผู้ซึ่งเคยเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่าง นายกฯทักษิณ ชินวัตร กับ Hi-thaksin ในช่วงต้นๆ ที่เราติดต่อขอให้ท่านส่งคลิปวิดีโอ มาให้พวกเราได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร ได้ยินได้ฟังสุ้มเสียงของท่าน ได้รู้ได้เห็นความคิด ความอ่าน และความเป็นอยู่ของท่าน ในต่างประเทศ

วินาทีที่เปิด Mail แจ้งข่าวชิ้นนี้ ผมมีอาการหัวใจเต้นแรง และดีใจเหลือประมาณ ที่ได้รับข่าวดีที่เชื่อว่าพวกเราซึ่งเป็นคนรักทักษิณ ชื่นชมศรัทธาการทำงานของท่าน และเฝ้ารอการเดินทางกลับบ้านของท่านมานานนับปี จะได้สมหวังกับการรอคอยเสียที

นับจากวันนี้ไปถึง 28 กุมภาพันธ์ ก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น ไม่นานเกินไป ไม่กระชั้นเกินไป ที่พวกเราจะเตรียมตัวไปต้อนรับนายกฯทักษิณ ของเรา

1 ปีเศษนับแต่ท่านจากประเทศไทย จากพวกเราไปเมื่อต้นเดือนกันยายน 2549 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้ จะเป็นวันแรกที่ท่านจะกลับมายืนบนผืนแผ่นดินไทยอีกครั้ง หลังจากที่พวกเราประชาชนได้ร่วมกันแสดงพลังโค่นล้มเผด็จการคมช. ไปด้วยมือของเรา เมื่อวันที่ 23 ธันวา คม ที่ผ่านมา

1 ปีเศษที่เราเฝ้ารอด้วยความกระวนกระวายใจ ด้วยความห่วงใจ ด้วยความรักและคิดถึง เหลืออีกเพียง 2 วันเท่านั้น ที่การรอคอยของเราจะสิ้นสุดลง ด้วยความสุข สมหวัง ดังที่เราคาดหมายไว้

1 ปีเศษที่เรามารวมตัวกันที่นี่ ที่เวปไซต์ Hi-thaksin และร่วมกันสร้างเวปไซต์นี้ให้เป็นชุมชนคนรักทักษิณ ที่มีพลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ส่งไปให้แก่คนที่เรารัก อย่างไม่เสื่อมคลาย วันนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้พิสูจน์หัวใจของคนรักทักษิณ ว่ายิ่งใหญ่ และอบอุ่น จริงดังที่พวกเราพร่ำพูดกันในเวปไซต์นี้หรือไม่

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้ เวลา 09.00 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จะเป็นวันที่พวกเราคนรักทักษิณ จะได้แสดงความรักของพวกเราให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งประเทศ และคนทั้งโลก ว่า ความรัก ความผูกพันที่พวกเรามีต่อนายกฯทักษิณ ชินวัตร นั้นหนักแน่นและจริงใจต่อกันเพียงใด

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้ เวลา 09.00 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จะเป็นการแสดงพลังของประชาชนที่นิยมศรัทธานายกฯทักษิณ ชินวัตร เพื่อเป็นเกราะคุ้มครองชีวิต และรักษาความปลอดภัยแก่คนที่เรารัก เพื่อให้กลุ่มคนที่มุงหมายปองร้ายได้ประจักษ์ และสยบยอมต่อพลังของประชาชน ในที่สุด

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้ เวลา 09.00 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จะเป็นวันที่พวกเราคนรักทักษิณ จะได้อิ่มเอมหัวใจกันเสียที

แล้วพบกันวันที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้ เวลา 09.00 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นะครับ

ผมจะรอทุกท่านที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อร่วมกันต้อนรับนายกฯทักษิณ ชินวัตร กลับคืนสู่แผ่นดินไทย กลับมาอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมกันกับพวกเรา อีกคราครั้งหนึ่ง


ที่มา: Hi-thaksin


Deposed Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra 'poised' to return Thursday

Deposed Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra 'poised' to return Thursday: lawyer


The Associated PressPublished: February 26, 2008

BANGKOK, Thailand: Deposed Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra will return to Thailand from 17 months of exile abroad Thursday to fight corruption charges, a pro-Thaksin Web site and one of his lawyers said.

The Web site, http://www.hi-thaksin.net/ , posted a picture Tuesday of the deposed prime minister with his right hand raised giving the victory sign, along with his son and a crowd of supporters, superimposed over an image of Bangkok's international airport.

It urged supporters to greet Thaksin at the airport at 9 a.m. Thursday.


Welcome home Prime Minister Thaksin Shinawatra, whom we love, miss and have
been waiting to return for over a year, the Web site said in Thai.


The chief of Thaksin's legal defense team, Pichit Chuenban, confirmed Thaksin is "poised to return." He said Thaksin will surrender to police when he arrives and seek his release on bail.

Thaksin was ousted in a September 2006 military coup for alleged corruption and abuse of power. His diplomatic passport, which was revoked after the coup, was returned to him last week and opened the door for his return.

Thaksin and his wife Pojaman face corruption and conflict of interest charges in connection with her purchase of prime Bangkok real estate from a state agency in 2003, while he was prime minister. Pojaman returned in January and was released on bail pending trial.

Thaksin also faces separate charges of concealing assets. Rakkiat Wattapong, the Supreme Court secretary general, Monday said Thaksin would be detained when he arrives in Thailand.

Thaksin was abroad at the time he was ousted, and now lives mostly in London. After his allies won the December elections and formed a new government, Thaksin said he planned to return.

Those involved in toppling Thaksin attempted unsuccessfully to dismantle his political legacy. After the coup, Thaksin's Thai Rak Thai party was disbanded by court order. He and his party's 110 executive members were barred from holding public office for five years.

The People's Alliance for Democracy, which spearheaded months of demonstrations demanding Thaksin step down before the coup, said the group had no problem with Thaksin returning to face corruption charges.

But it said it will fight any attempt by the new government to intervene with the judiciary to clear the former leader.


PAD is warning this government the political crisis will be worse than in 2006
if it continues to whitewash the charges against Thaksin, PAD spokesman
Suriyasai Takasila said.



Thousands will take to the streets again if Thaksin returns and does not face
trial in court in accordance with the law.



Thaksin could return to politics if he clears charges

BANGKOK, Feb. 15 (Xinhua) -- Thailand's Air Force Commander-in-Chief Chalit Pukphasuk, one of the military officers who launched a military coup in 2006, said Friday former Prime Minister Thaksin Shinawatra could return to politics if he clears the charges against him.

During a press conference held on Friday, when asked whether Thaksin could return to the political arena if he is able to clear the legal charges against him, Chalit said "Yes, he can because all Thais can join politics."

He also said Thaksin should return to the kingdom soon to defend himself in court, local news network The Nation reported.

It is the first time for a military officer who involved in the coup said Thaksin could return to politics conditionally after Thaksin was banned from politics for five year by the court in May, 2007.

Just one week ago, Chalit announced the disbandment for Council for National Security (CNS) of Thailand, the real power authority after the coup in 2006, saying since the new government has set up, there was no necessary for the CNS to cling the power.

Source: chinaview.cn


๑ ใน ๑๖ ล้านเสียงนี้ขอมอบให้แด่ พ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตร

ในทางรัฐศาสตร์นัยสำคัญของตัวเลขจากผลการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยถือว่ามีความสำคัญมากค่ะเนื่องเพราัะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้น้ำหนักกับตัวเลขที่วัดจากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา๒๐๑ ได้ระบุไว้ว่า "นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งโดยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร" พรรคที่ได้จำนวน ส.ส. สูงสุดก็จะมีโอกาสเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า ความสำคัญของตัวเลขก็เกิดขึ้นทันที การที่ท่านนายกฯทักษิณได้กล่าวย้ำเตือนถึงความสำคัญของตัวเลข ๑๖ ล้านเสียง หรือ ๑๙ ล้านเสียงให้นักวิพากษ์วิจารณ์ฟังจึงเป็นการกล่าวที่ถูกต้องและชอบด้วยกฏหมายด้วยประการทั้งปวงค่ะ สำหรับผู้เขียนแล้วนายกรัฐมนตรีที่สง่างามต้องมาจากประชาชนเท่านั้นค่ะ

อย่างที่หลายๆคนคงจะทราบจากข่าวแล้วว่า ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรทั่วประเทศ ในปี ๒๕๔๙ ทั้งแบบบัญชีราชชื่อ (party list) และแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง (ส.ส.เขต) ก็ปรากฏผลออกมาแล้วค่ะ จากการรายงานสรุปคะแนนเลือกตั้งของกระทรวงมหาดไทยมีรายละเอียดสรุปย่อดังนี้:

ในระบบบัญชีรายชื่อ(ปาร์ตี้ลิสต์) โดยให้เลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งบัญชีเดียว และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง

- คะแนนของพรรคไทยรักไทย ในระบบบัญชีรายชื่อ ได้คะแนนทั้งสิ้น: 16,246,368 คะแนน
- จำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใคร(No Vote) ในระบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้งสิ้น: 8,399,144 บัตร
- ยอดผู้ใช้สิทธิ์ทั่วประเทศทั้งสิ้น: 28,765,506 คน

จากผลการเลือกตั้งข้างบนสรุปได้ว่าพรรคไทยรักไทยได้คะแนนแบบบัญชีรายชื่อ คิดเป็น 60.1 % ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด (คิดจากบัตรดีทั้งหมด)

ส่วนในระบบแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละหนึ่งคน

- คะแนนของพรรคไทยรักไทย ในระบบแบบแบ่งเขตทั่วประเทศพรรคไทยรักไทยได้ทั้งหมดรวม: 15,387,223 คะแนน
- จำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครในระบบแบ่งเขตรวมทั้งสิ้น: 9,207,230 บัตร
- ยอดผู้ใช้สิทธิ์ทั่วประเทศทั้งสิ้น: 28,765,506 คน

จากผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตสรุปได้ว่าพรรคไทยรักไทยได้คะแนนแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง(ส.ส.เขต) คิดเป็น 57 % ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด (คิดจากบัตรดีทั้งหมด)

จากผลการเลือกตั้งที่ออกมาในครั้งนี้ผู้เีขียนต้องขอแสดงความยินดีกับ สมาชิกพรรคไทยรักไทยและพ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตร นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่น้ำใจนักกีฬาคนนี้ด้วยค่ะที่ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งทั่วประเทศได้อย่างสง่างาม ครองใจมติมหาชน 16 ล้านเสียงท่ามกลางแรงเสียดทานจากหลายๆปัจจัยไม่ว่าจะเป็น:

1. ในสภาวะการการเมืองที่ไม่นิ่งตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากการชุมนุมขับไล่ท่านนายกฯทักษิณของกลุ่มพันธมิตรประชาชนฯ แต่พรรคไทยรักไทย และนายกฯทักษิณก็ยังคงไ้ด้รับความยินยอมและความไว้วางใจจากประชาชนถึง 16 ล้านเสียงมากกว่าจำนวนผู้ประสงค์ไม่ลงคะแนน(No Vote) กว่าเท่าตัวซึ่งคะแนน No Vote ในครั้งนี้มีประมาณ 8 ล้านเสียง

ซึ่งจริงๆช่อง "ไม่ประสงค์ลงคะแนนหรือ No Vote" ก็คือ การรวมตัวกันของฐานเสียงพรรค ปชป. + ชาติไทย + มหาชน + พรรคอื่นๆ + ผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้พรรคใดทั้งสิ้น (อาจจะเกลียดนายกฯ และเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับม็อบพันธมิตรฯ) ในรูปแบบของการงดออกเสียงเท่านั้นเองค่ะ

การเลือกตั้งเมื่อปี 2548 มีประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ประมาณ 32 ล้านคน โดยการเลือกตั้งในครั้งนั้น พรรค ปชป. + ชาติไทย + มหาชน + พรรคอื่นๆ + ผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนได้ มา 13.6 ล้านเสียง มาถึงการเลือกตั้งในครั้งนี้มีผู้ออกไปใช้สิทธิ์ประมาณ 28 ล้านคน พรรคไทยรักไทยได้ 16 ล้านเสียง หายไปประมาณ 2 ล้านเสียง แต่พรรคอื่นในรูปแบบการงดออกเสียงเหลือ 8 ล้านเสียง หายไปมากกว่า เพราะในภาพรวมผู้มาใช้สิทธิ์น้อยลงกว่าเดิม 4 ล้านคน คะแนนเสียงของพรรคไทยรักไทยจึงหายไปเพียงแค่ 2.8 ล้าน และหากนำคะแนนเสียงไม่เลือกใครในปีนี้ที่คิดเป็น 31 % ไปเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ที่ คะแนนพรรค ปชป. + ชาติไทย + มหาชน + No Vote + พรรคอื่นๆ รวมทั้งสิ้นคิดเป็น 34% ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดนั้น เทียบกับคะแนนเสียงไม่เลือกใครในปีนี้ยังถือว่าสูงกว่่าด้วยซ้ำไปค่ะ

2. ก่อนการเลือกตั้งในครั้งนี้ท่านนายกฯต้องเผชิญกับ การทำสงครามกับสื่อไทยที่ไร้จรรยาบรรณหลายสำนักที่ช่วยกันในการประโคมข่าวซึ่งมีแต่ข้อกล่าวหา การปล่อยข่าวลือ รวมทั้งการเต้าข่าว กุข่าวอย่างไม่ขาดสาย ผู้เขียนเห็นด้วยกับคำสัมภาษณ์ของท่านนายกฯ กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้มากค่ะเมื่อนักข่าวคนหนึ่งยิงคำถามเรื่องความแตกแยกในสังคมไทยที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวตอบไปว่า:

" ... ต้องขอร้องให้สื่อช่วยให้ความสมดุลในการนำเสนอข่าว หากยังมุ่งเน้นเรื่องการขายสินค้า ตนรู้ว่ายอดขายของสื่อดีขึ้น ต้องการนำเสนอภาพการประท้วงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอยากให้ทุกคนหันกลับมามอง ต้องดูว่าชาติบ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไร ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย"

และหากเราหาเหตุแห่ง "ต้นตอการสร้างความร้าวฉานในสังคม" ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อย่่างมีสติ เราจะเห็นได้ชัดเจนค่ะว่ามันมีต้นตอมาจาก "สื่อที่ไร้จรรณยาบรรณ" นั่นเองค่ะ เหมือนที่นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งได้เคยเขียนบทความเรื่อง "ผู้ร้ายทางข่าว" ไว้ว่า "ผู้เขียนข่าว" เปรียบเหมือนผู้เนรมิต ถ้าเขียนข่าวออกมาในข้อเท็จจริง เรียกว่าผู้เนรมิตของจริง แต่ถ้าเขียนในลักษณะที่บิดเบือนข้อเท็จจริง คือประเภทเขียนระบายสี ก็เรียกว่าเนรมิตบิดเบือนข้อเท็จจริง. การสกู๊ปข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริงจากขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวนั้นมีประจำและการเขียนข่าวที่ให้สัมภาษณ์อย่างหนึ่ง แต่กลับไปเขียนอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถูกต่อว่าต่อขานจากผู้ให้สัมภาษณ์มีอยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นเรื่องที่ระอากันทั่ว ๆ ไป นี่ก็เป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้วงการหนังสือพิมพ์ของไทยเราด้อยศักดิ์ศรีลงไปมาก ที่เป็นเช่นนี้ก็พอสันนิษฐานได้ว่าการไม่มีจรรยาบรรณคุ้มครองการมี "อคติ" เป็นเจ้าเรือน การเกลียดใครชังใครไม่ชอบใจใครเป็นส่วนตัว เมื่อมีปากกาอยู่ในมือเขียนข่าวบิดเบือนตามอารมณ์ของคนเขียนจึงไม่ส่งผลดีกับสังคมแน่นอน ทำให้ประโยชน์ส่วนใหญ่เสียหายไปด้วย ผลสุดท้ายสถาบันอันสำคัญนี้ก็มีแต่ง่อนแง่คลอนแคลน ไม่มีใครเชื่อถือ "

นี่จึงอาจกล่าวได้ว่า ปากกานั้นร้ายกว่าหอกปลายปืนหากผู้ที่ถือปากกาไม่ใช้ปากกานั้นด้วยความรับผิดชอบ

3. การประกาศคว่ำบาตรไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อต้องการให้สภาตกอยู่ในสภาวะสูญญากาศ หลังการเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมษายน

4. ก่อนการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์นำโดย 'อภิสิทธิ์-ชวน' หนีกระเจิง ถูกชาวเชียงใหม่บางกลุ่มโห่ไล่ หลังจากขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีพรรคไทยรักไทยอย่างหนักหน่วง เหตุความวุ่นวายที่เชียงใหม่นี้เมื่อมองอีกมุม อาจเป็นการเดินเกมส์ทางการเมืองไว้อย่างแนบเนียนของ พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ค่ะ เพื่อสร้างความไม่พอใจให้กับคนทางภาคใต้ที่นิยมพรรคประชาธปัตย์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพื่อสกัดเงื่อนไขผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 20% กรณีมีผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยลงสมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว

5. การวิพากษณ์วิจารณ์หรือโจมตีแนวทางบริหารงานของพรรคไทยรักไทยและแนวความคิดทางการเมือง ของนายกฯทักษิณของนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ราษฎรอาวุโสบางส่วนที่ต่อต้าน "ระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์" อย่างหนักหน่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากนี้บรรดานักวิชาการเหล่านี้ยังได้สูญเสียสถานภาพและความน่าเชื่อจากรัฐบาลชุดนี้มากทีเดียว เพราะรัฐบาลไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่ไม่ให้ความสำคัญนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยมากไปกว่าทีมที่ปรึกษาและทีมวิจัยของรัฐบาลเอง

จะเห็นได้ว่าถึงแม้การเลือกตั้งทีผ่านมาจะมีกระแสต่อต้านจากคนส่วนหนึ่ง แทบทุกสื่อรุมด่าแต่รัฐบาลนายกฯทักษิณและพรรคไทยรักไทยก็ยังได้รับความไว้วางใจจากประชาชนไทยมากถึง 16 ล้านเสียง หรือ 60.1% ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยค่ะ อาจกล่าวได้ว่าน่าอัศจรรย์เสียด้วยซ้ำทั้งที่ยืนเป็นกระสอบทรายให้ต่อยมานานหลายเดือน

ผลจากการเลือกตั้งในครั้งนี้จึงเสมือนกับเป็น "การลงประชามติของประชาชน" ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยว่า มติมหาชนส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า:

- พวกเขาต้องการชี้ให้เห็นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยมิใช่ของคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ปฏิเสธกฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย
- พวกเขายังเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย
- ต้องการให้ พ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตรกลับเข้ามาเป็นผู้นำรัฐนาวา เดินหน้าปฎิรูปการเมือง และบริหารประเทศต่อไปเหมือนเดิม
- ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอันเป็นที่มาของความขัดแย้ง
- ต้องการให้บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะสงบสุขและสันติโดยเร็วที่สุด
- ต้องการนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
- ไม่เห็นด้วยกับพรรคฝ่ายค้านที่คว่ำบาตรการเลือกตั้ง และพยายามขัดขวางการเลือกตั้งไม่ให้เกิดขึ้น
- ไม่เห็นด้วยกับสื่อที่คอยชี้นำว่าการเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมษาไม่มีวันเกิดขึ้น
- ไม่เห็นด้วยกับพวกนักวิชาการที่เดินสวนทางกับระบอบประชาธิปไตยที่สบประมาทเสียงของคนไทยทั่วประเทศว่าไม่มีความหมาย

มาถึงตรงนี้ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ เมษายนที่ผ่านมาก็ผ่านลุล่วงไปไ้ด้ด้วยดีแม้ฝ่ายต่อต้านจะไม่ต้องการให้เกิดขึ้น การเลือกตั้งในครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งค่ะว่า ท่านนายกฯทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ได้สรรสร้างแนวทางใหม่ๆให้กับสังคมไทย และยึดมั่นในระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่พรรคการเมืองหนึ่งเดินตามครรลองแห่งรัฐธรรมนูญได้รักษาและยึดมั่นในแนวทางนี้อย่างมั่นคง โดยไม่หวั่นไหวต่อการกระทำไดๆทั้งสิ้น ไม่เลือกใช้ "วิธีการนอกระบบ" เหมือนกับพรรคการมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งที่ตีตราให้ตัวเองว่า "เราเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา"

ท่านนายกฯทักษิณได้รับเีสียงท่วมท้น ๑๖ ล้านเสียงอย่างที่ไม่เคยมีอดีตนายกฯไทยคนใดได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเท่านี้มาก่อนเ็ป็น "ชัยชนะที่สง่างาม" ของท่านจริงๆค่ะ

มาวันนี้ พ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศเว้นวรรคทางการเมืองจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกระบวนการสรรหาที่จะมีขึ้น ในสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ เพื่อให้สถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง คลี่คลาย และต้องการให้งานเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชสมบัติครบ 60 ปีดำเนินไปอย่างราบรื่นเพื่อร่วมกันถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้นว่าพรรคไทยรักไทยของท่านได้รับ ความยินยอมและความไว้วางใจจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยความถูกต้องและชอบธรรมตามครรลองแห่งรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยที่ท่านสมควรจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่ท่านก็ต้องจำยอมสละ "หลักการอันถูกต้อง" เพื่อให้เกิดความสงบสุข ความสมานฉันท์และความปรองดองขึ้นภายในบ้านเมือง การเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน คือ ความหมายของการปกครองโดยแท้

การประกาศเว้นวรรคทางการเมืองของท่านนายกฯทักษิณในครั้งนี้ เป็นการประกาศที่ถือว่า ยิ่งใหญ่และน่ายกย่องมาก ในความรู้สึกของผู้เขียนค่ะ ต้องอาศัยความกล้าหาญ และเสียสละอย่างมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือผู้เขียนได้เห็นความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ของท่านนายกฯทักษิณอย่างเต็มเปี่ยม หาได้เป็นไปอย่างที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลเคยโจมตีท่านอย่างไม่ให้เกียรติว่า ทักษิณต้องการทำลายหลักการ The King Can Do No Wrong ทักษิณอยากเป็นประธานาธิบดี และไม่จงรักภักดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์

ผู้เขียนเองก็ไม่ทราบว่ามีประชาชนจำนวนสักเท่าใดที่เข้าใจกับการประกาศไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่านในครั้งนี้และก็ไม่อาจทราบว่าความหวังดีต่อชาติบ้านเมืองของท่านนายกฯในครั้งนี้จะได้รับการตอบสนองจากกลุ่มพันธมิตรฯ มากน้อยเพียงใด แต่ตัวผู้เขียนเองเข้าใจเจตนารมณ์ที่สุจริตใจของท่านนายกฯทักษิณและรับทราบมาตลอดว่า ท่านมีความลำบากใจเพียงใดกับการตัดสินใจครั้งสำคัญบนเส้นทางการเมืองในครั้งนี้ที่ต้องผิดสัญญาประชาคมกับประชาชน 16 ล้านเสียงที่เทใจให้ไทยรักไทย และถึงแม้ว่าท่านจะไม่รับตำแหน่งนายกฯ ในครั้งนี้ก็ตาม ท่านก็จะยังอยู่ในใจผู้เขียนซึ่งเป็น 1 ใน 16 ล้านเสียงที่มอบความไว้วางใจให้กับท่านเสมอมาและจะรอการกลับมาของท่านอีกครั้งหลังจากการปฏิรูปการเมือง ท่านนายกฯ ทำสิ่งที่เป็นการเสียสละเป็นการรักษาบ้านเมืองไว้ไม่ให้เสียหายและไม่ต้องการทำลายรัฐธรรมนูญ ท่านเสียสละอำนาจที่ทุกคนต้องการไขว่คว้าเพื่อประโยชน์สุขของคนไทยทุกๆ คน ในสายตาของผู้เขียนท่านชนะทางการเมืองแล้วค่ะ

แม้ตัวผู้เขียนจะเสียน้ำตากับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของท่านนายกฯทักษิณในครั้งนี้มากมาย แต่ก็ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้เป็น 1 ในเสียงข้างมากที่ได้มอบหนึ่งเสียงนี้ให้กับชายที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร สุภาพบุรุษประชาธิปไตย ผู้ปฏิรูปเพื่อความเท่าเทียมกันของชาวชนบทและชาวเมืองผู้นี้ค่ะ


วันนี้ผู้เขียนขอทิ้งท้ายบทเพลงแห่งความหวังและกำลังใจ "You'll Never Walk Alone" มาฝากเพื่อนๆหัวใจประชาธิปไตยทุกคนค่ะ

"You'll Never Walk Alone"

... To PM.Thaksin with Love.
... แด่นายกฯ ทักษิณ ด้วยรักและศรัทธา
... You fight for good future.
... คุณต่อสู้เพื่ออนาคตที่สดใส

... When you walk through a storm.
... ยามที่คุณต้องเดินฝ่าพายุ
... Hold your head up high.
... จงเชิดหน้าของคุณให้แน่วแน่

... And don't be afraid of the dark.
... จงอย่ากลัวความมืด (อุปสรรค)
... At the end of the storm. Is a golden sky.
... สุดปลายทางของพายุ คือท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ

... And the sweet silver song of lark.
... และเสียงร้องไพเราะเสนาะโสตของสกุณี
... Walk on through the wind.
... จงลุยฝ่าพายุต่อไป

... Walk on through the rain.
... จงลุยฝ่าสายฝนต่อไป
... Tho' your dreams be tossed and blown.
... และอย่าโยนความฝันอันบรรเจิดของคุณทิ้งไป

... Walk on, Walk on,
... จงก้าวเดินต่อไป จงมุ่งหน้าฟันฝ่าต่อไป
... With hope in your heart.
... ด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง

... And you'll never walk alone.
... แล้วคุณจะไม่มีวันโดดเดี่ยวเดียวดาย
... You'll never walk alone.
... คุณจะไม่มีวันเปล่าเปลี่ยวตามลำพัง

... God bless you safe and sound all time.
... พระเจ้าทรงอวยพรให้คุณก้าวเดินต่อไป ด้วยความสวัสดีมีโชคชัย



"Be strong and courageous. Do not be terrified; do not be discouraged, for the LORD your God will be with you wherever you go." [Joshua 1:9]

"เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่า จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า" [จอชูอะห์ 1:9]

สุขสันต์วันหยุดสุดสัปดาห์ค่ะ ... :)