Spiga

ข้อคิดจากคำขวัญวันเด็ก "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด"



แม้นว่าวันเด็กแห่งชาติจะผ่านมาแล้วหลายวัน แ่ต่ผู้เขียนคิดว่าคำขวัญวันเด็ก "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด" วลีที่ไม่ซับซ้อนเด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดีก็สามารถนำมาเป็นข้อคิดประยุกต์เข้าักับเหตุการณ์ปัจจุบันได้ดีทีเดียวค่ะ

ในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ 2549 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมานั้นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้คำขวัญในวันเด็กปีนี้ว่า "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด" โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนเห็นว่าคำขวัญวันเด็กแห่งชาติของท่านนายกฯ "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด" ในปีนี้ให้ "ข้อคิด" ที่ดีมากค่ะหากเราจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและคำขวัญนี้ยังสามารถนำไปใช้เตือนสติกับผู้ใหญ่ที่ผ่านการเป็นเด็กบางคนมาแล้วได้ดีอีกด้วยค่ะโดยเฉพาะ วีรบุรุษกลับบ้านก่อนนิสัยเกเรแถวๆสวนลุมที่ผันตัวเองมาเป็น "ผู้นำม็อบวันเด็ก" ขับไล่นายกฯที่มาจากการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตยออกไปที่ตอนนี้จากที่เคยเรียกตัวเองว่าวีรบุรุษกลับกลายมาเป็น "วีรบุรุษกลับบ้านก่อน" ตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปเสียแล้ว (…ฮา…)

ผู้เขียนก็มีความสงสัยนะคะว่าคุณสนธิและชมรมเป็นตัวแทนประชาชนหรือจึงถืออภิสิทธิ์มาขับไล่นายกฯที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยออกไป ผู้ศรัทธายามเฝ้าแผ่นดินบางท่านถึงกับกล่าวว่าอ้างแต่เรื่องนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่อ้่างได้อย่างไรเล่าในเมื่อ ประชาชนส่วนใหญ่เค้ามีฉันทามติให้นายกฯรับผิดชอบบริหารงานราชการแผ่นดินไม่ใช่ยามเฝ้าแผ่นดินแบบที่คุณสนธิเรียกตัวเอง ก็แปลกดีค่ะ อย่างนี้รัฐธรรมนูญไทยมีไว้ทำไมมีไว้ให้สื่อฐานันดรสี่และชมรม "ฉีกทิ้ง" อย่างนั้นหรือ? ปรากฎการสนธิและพันธมิตรสะท้อนให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้ต่างหากที่ไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตยเพราะคนกลุ่มนี้พยายามทำประเทศให้กลายเป็น "อนาธิปไตย" ให้ได้ ที่กล่าวเช่นนี้เพราะว่าบุคคลกลุ่มนี้เมื่อไม่ได้ดังใจขึ้นมา ไม่สมประโยชน์ของตนเองก็พยายามที่จะเปลี่ยนกฏกณท์ที่ถูกตั้งไว้ ทั้งๆที่กลุ่มคนผู้ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้เป็นผู้ปั้นร่างกฏเกณฑ์มาด้วยมือของตัวเองแท้ๆ หากแต่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง

การแสดงออกซึ่งการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยทีีถูกต้องนั้นก็คือเมื่อ คุณสนธิและพันธมิตรไม่เห็นด้วยกับการบริหารประเทศของรัฐบาลก็ควร "จัดตั้งพรรคการเมือง" ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง แล้วหาเสียงเสนอแนวความคิดในการแก้ไขปัญหาของประเทศลงเป็นนโยบายพรรคต่อสู้กันตามกติกาในกรอบของรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ แล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าจะเลือกใครมาบริหารประเทศ และเมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้าไปในสภาแล้วก็ไปแก้ไขกฏหมายให้เป็นไปตามนโยบายหาเสียงและสัญญาไว้กับประชาชน นี่คือหนทางแห่งประชาธิปไตยที่คุณสนธิเลือกเดินได้ แต่คุณสนธิและเหล่าพันธมิตรกลับเลือกเล่นการเมืองรายวันข้างถนนแบบนี้ผลที่ตามมามันจะกลายเป็นมิคสัญญี ดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตกับประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศไทยและยังแสดงให้เห็นถึงการไม่เคารพในกฏกติกาชอบ "เขียนด้วยมือและลบทิ้งด้วยเท้า" มันใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองของประเทศที่กำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาได้เป็นอย่างดี ผู้เขียนคิดว่าการเมืองไทยเราต้องพัฒนาไปไกลกว่านี้ค่ะ

เพราะการพัฒนาประเทศในปัจจุบันเพื่อให้ทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศนั้นเราต้อง "มุ่งพัฒนาคน" เป็นหลักและการพัฒนาคนที่ได้ผลก็คือ "การพัฒนาสติปัญญา" ซึ่งนอกจากจะมีความรู้แล้วต้องมีความคิดด้วยที่เรียกว่าเป็น"คนคิดเป็น" นายกฯทักษิณนี่ถือว่าท่านเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากคนหนึ่งค่ะ ผู้เขียนเป็นอีกคนหนึ่งค่ะที่ชื่นชมการบริหารงานของนายกฯคนปัจจุบัน และผู้เขียนก็คิดว่าท่านนายกฯเป็นผู้นำที่ทำงานมากกว่าการเล่นสำนวนโวหารไปวันๆค่ะและขอยืมคำพูดของคุณสนธิมาค่ะว่า "ทักษิณเป็นนายกฯที่ดีที่สุดที่ประเทศนี้เคยมีมา" สำหรับผู้เขียนแล้วคิดว่าคำพูดนี้จริงที่สุดค่ะ อิอิอิ

และผู้เขียนก็เห็นด้วยกับคำกล่าวของท่านนายกฯค่ะที่กล่าวว่า: "ครูเลิกสอนให้เด็กท่องจำตั้งแต่ชั้นเล็กสุดจนมหาวิทยาลัย เน้นปลูกฝังความคิดและจินตนาการ" เพราะ "จินตนาการ" เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจินตภาพ คือการสร้างภาพในสมองหรือนึกคิดเป็นภาพ จึงเกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ถือเป็นทักษะเบื้องต้นของความคิดสร้างสรรค์ค่ะ เหมือนอย่างการเรียนคณิตศาสตร์ในห้องเรียน เช่นวิชาเรขาคณิตก็เหมือนกัน ผู้เขียนคิดว่าหากทุกคนมุ่งจำแต่สูตรอย่างเดียวมันก็ยากแก่การพิสูจน์หาคำตอบ เลยพิสูจน์ไม่ได้แต่หากนักเรียนคนไหนเป็นคนช่างวาดรูป ประกอบโจทย์ เอามาต่อรูปเสียหน่อยมันก็สามารถพิสูจน์ได้ การเรียนคณิตศาสตร์ให้ได้ดีสูตรสำเร็จไม่จำเป็นต้องท่องสูตรอย่างดียว เพราะการท่องสูตรโดยไม่รู้ที่มาที่ไปจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรหากแต่ต้องรู้ว่าสูตรจริงๆ แล้วความหมายคืออะไร ต้องจินตนาการออกมาให้ได้ พอถึงที่สุดแล้วจะไม่ต้องจำสูตรอีกเลย ต้องมีความเข้าใจและต้องมีจินตนาการ แล้วมันจะทำให้คนที่เรียนเรียนได้อย่างมีความสุขค่ะ

อย่าง " ไอสไตสน์ " เป็นนักฟิสิกส์และเีรียนคณิตศาสตร์ได้เก่งก็เพราะเค้ามีจินตนาการที่ล้ำลึกนั่นเองค่ะ "นักกอล์ฟ" ก็เช่นกันพวกเค้ามักวาดภาพในใจของผลการตีครั้งต่อไปไว้ล่วงหน้าเสมอก่อนการตีในทุกๆครั้ง หรืออย่างในระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่บ่อยครั้งนักเรียนนำตำราหรือโน๊ตการเรียนเข้าห้องสอบ นั่นไม่ใช่เพราะเพื่อการลอกคำตอบ แต่หากเพื่อเป็นการช่วยในการคิดค้นสร้างสรรคำตอบ หรือให้เกิดการระลึกได้ขึ้นมานั่นเอง การทำความเข้าใจ การอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น การจะสร้างโลกในความคิดของคนๆหนึ่งให้ได้ใกล้เคียงความจริงนั้นหากไร้ซึ่งจินตนาการเสียก็คงเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้ยาก

แ่ต่กระนั้นก็ตามทุกอย่างล้วนเป็นดาบสองคมหากคนคนนั้น "ขาดคุณธรรม" ใช้จินตนาการในการมุ่งมาดปรารถนาร้ายต่อผู้อื่นเช่นการนำจินตนาการมาสร้างเป็น"ทฤษฎีสมคบคิด" เป็นต้น ยกตัวอย่างข่าวเด่นประเด็นดังเมื่อปีระกาที่เพิ่งจะผ่านพ้นมาได้ไม่นานที่คุณสนธิผู้นิยามสโลแกน "เราจะสู้เพื่อในหลวง" ใช้จินตนากรอันล้ำลึกใส่ร้ายป้ายสีนายกฯในเรื่องการทำบุญประเทศจนทำให้เกิดการฟ้องร้องกันในที่สุด โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนเชื่อสำนักพระราชวัง มากกว่าจินตนาการของคุณสนธิหลายเท่านัก

อีกทั้งคำขวัญ "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด" ของท่านนายกฯนี่เหมาะที่จะนำไปใช้กับ การพัฒนาชายแดนภาคใต้ ได้ดีที่สุดค่ะเพราะการพัฒนาชายแดนภาคใต้ที่ดีที่สุดนั้น คือ "การพัฒนาสติปัญญา" พื้นที่ตรงนี้มีปัญหามากเพราะที่ผ่านมานั้นเด็กนักเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามขาดการ "ขยันคิดด้วยตัวเอง" เลยถูกบรรดานักการเมืองในคราบนักบวช(บางคนนะคะไมใช่ทุกคน) หลอกใช้เยอะค่ะ ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะหรือเหตุการณ์ที่บ้านตันหยงลิมอร์ที่บรรดาเด็กและสตรีมุสลิมถูกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนำมาใช้เป็นโล่ห์ทางศีลธรรม คนที่คิดและทำอย่างนี้ได้ ต้องถือว่าเป็นคนที่โหดร้ายและใจดำมากค่ะ มันเป็นการนำคนบริสุทธิ์ซึ่งเป็นข้อยกเว้นในทางศีลธรรมของการต่อสู้มาใช้เพื่อประโยชน์ให้กับฝ่ายตัวเอง ในกฎกติกาของการทำสงครามจะรู้กันเป็นสากลว่าจะต้อง "ละเว้นผู้หญิงกับเด็ก" ดังนั้นกรณีที่เกิดขึ้นที่ตันหยงลิมอจึงเป็นการละเมิดกติกาสงคราม

กฎของสงครามชัดเจนว่าจะต้องไม่ทำร้ายเด็กกับผู้หญิง ฝ่ายผู้ก่อการจึงหยิบมาใช้เป็นโล่ทางศีลธรรมส่งผลให้เจ้าหน้าที่ไม่กล้าเข้าชาร์จช่วยตัวประกันทั้งๆ ที่เตรียมกำลังไว้พร้อมแล้วซึ่งในทางกลับกันหากผู้ชุมนุมเป็นชายฉกรรจ์ทั้งหมด ภาพจะออกมาในลักษณะท้าทายอำนาจรัฐเหมือนเหตุการณ์ที่ตากใบ ทำให้เจ้าหน้าที่กล้าใช้มาตรการบางอย่างมากกว่า คนที่ชักชวนผู้หญิงเหล่านี้ออกมาแสดงว่ารู้จริง และหลังจากนี้ถ้าหมู่บ้านอื่นนำยุทธวิธีดังกล่าวไปใช้บ้างก็ถือว่าอันตราย หลายๆคนคงจะเคยเห็นภาพการใช้ผู้หญิงและเด็กลักษณะนี้ที่ปาเลสไตน์นำมาใช้กับอิสราเอลใช่มั๊ยคะ? นี่อุดมการณ์เหล่านี้ระบาดมาที่ภาคใต้บ้านเราแล้วค่ะ ล่าสุดก็บั่นคอเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ด้วยเหตุนี้ค่ะผู้เขียนคิดว่า โต๊ะครู ผู้นำศาสนา ผู้บริหารโรงเรียนจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหามากที่สุดเพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลจะทุ่มเทงบประมาณมากแค่ไหน ถ้าบุคคลเหล่านี้ไม่ให้ความร่วมมือก็จะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ เช่น การแก้ปัญหาโจรจีนคอมมิวนิตส์ ที่ประสบความสำเร็จมานั้นเพราะประชาชนให้ความร่วมมือนั่นเอง แต่การที่ประชาชนจะให้ความร่วมมือนั้นทางรัฐบาลเองก็ต้องพยายามปลดแอกพวกเค้าไม่ให้ตกอยู่ "ภายใต้อิทธิพลทางความคิด" ของพวกบรรดานักการเมืองในคราบนักบวช(บางคน)เป็นอันดับแรกค่ะ ด้วยเหตุนี้การแำก้ปัญหาแบบยั่งยืนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงต้องมีการนำระบบการเรียนการสอนการศึกษาแบบสากลบรรจุเข้าไปอยู่ในหลักสูตรโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาให้มากที่สุดเพื่อฝึกให้เยาวชนตัวน้อยเหล่านี้ เป็นคนคิดเป็น ไม่โดนหลอกง่ายๆนั่นเองค่ะ...