Spiga
Showing posts with label thai politics[eng]. Show all posts
Showing posts with label thai politics[eng]. Show all posts

Japanese, Indian investors ready to re-invest in Thailand

BANGKOK: Major Japanese and Indian investors are now prepared to resume their investments in Thailand, Suwit Khunkitti, Thailand's deputy prime minister and industry minister, said.

His remarks were made after Hiroshi Shimozuma, chairman of the Kansai Economic Federation (Kankeiren) of Japan, yesterday asked him earlier in the day about the Thai government's investment policy for 2008 and 2009, as Japanese private investors wanted to invest more in Thailand.

Cooperation in the fields of trade and investment between the two countries would grow significantly thanks to the implementation of the Japan-Thailand Economic Partnership Agreement (JTEPA).

Suwit said his ministry would assign the Board of Investment to cooperate with Japanese Chamber of Commerce and Bangkok-based Japan External Trade Organization (JETRO) to help solve problems for Japanese investors in Thailand.

Japanese investors are keen on investing in steel, vehicles and vehicles spareparts industries in Thailand, he said.

In another meeting with Subramanium Ramadorai, CEO and managing director of Tata Consultancy Services Ltd , a major manufacturer of auto and steel in India, Suwit said the company was interested in investing in steel, auto and information technology businesses in Thailand.

Meanwhile, Prime Minister Samak Sundaravej told a press conference that Japanese ambassador to Thailand Hideaki Kobayashi and Kankeiren chairman Shimozuma had meting with him yesterday.

Samak reported that Japan's ambassador had told him that Japanese investors are now prepared to resume investment in Thailand as this country now has an elected government.

The Tokyo government is prepared to provide a loan at 1. 4 per cent interest for the elevated train running from Bang Yai in Nonthaburi province, passing through Bang Sue to Ratchaburana in the city's Thonburi side, Samak added.

Source: India times


Thai military dominates appointments to new Senate

Under an army-backed constitution, which was approved in Thailand's first-ever referendum last year, only 76 senators will be elected in polls set for March 2.


The 74 were appointed by a seven-member committee headed by the military-installed chief of the Constitutional Court. Other committee members include top judges and anti-corruption officials.

The ranks of the appointed senators are heavy on retired soldiers and police, as well as lawmakers who served in the parliament chosen by the military after the 2006 coup against then-prime minister Thaksin Shinawatra.

Fourteen of the new senators are soldiers or police generals, and eight are from the former junta's parliament, Election Commission secretary general Suthiphon Thaweechaiyagarn told reporters.

The rest include representatives of different professions, including the media, health care, business and agriculture. Twelve of the appointees are women, he added.

The pro-Thaksin People Power Party, which swept to victory in December polls, has blasted the Senate selection process as undemocratic and vowed to amend the constitution so that all seats will be elected.

Prime Minister Samak Sundaravej, who won office by openly campaigning as a proxy for Thaksin, has said he will work to amend the constitution in the last years of his four-year term.

Thaksin has lived in exile since the coup but has indicated that he will return by May to defend himself against corruption charges filed by army-backed authorities.

Source: Yahoo News!


นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา / PM Samak's policy statement

On Monday 18 February 2008, Prime Minister Samak Sundaravej presented his government's policy statement to Parliament. The government policy is expected to receive an endorsement from parliament in a few days after deliberations.

click 'PM Samak's policy statement' to read the government's policy statement:

Source: mfa

นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ย้ำดำเนินนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก 19 ข้อ พร้อมวางนโยบายที่จะดำเนินการภายใน 4 ปีอีก 7 นโยบาย

วันนี้ เวลา 09.40 น. ณ อาคารรัฐสภา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ดังนี้

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้กระผมเป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 29 มกราคม พุทธศักราช 2551 และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2551 นั้น บัดนี้ คณะรัฐมนตรีได้กำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว โดยยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และครอบคลุมถึงแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามบทบัญญัติในหมวด 5 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คณะรัฐมนตรีจึงขอแถลงนโยบายดังกล่าวต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อให้ทราบถึงเจตนารมณ์ ยุทธศาสตร์ และนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นที่จะสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงก้าวหน้าในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง และสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนชาวไทยทุกคน
ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเป็นปีที่ต้องเผชิญกับปัญหาจากเศรษฐกิจโลกที่มีความรุนแรง อย่างน้อยสองประการ คือ ปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบถึงตลาดเงินและเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในโลก และปัญหาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและก่อให้เกิดแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อในโลกและในประเทศไทยนอกจากปัญหาเฉพาะหน้าดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังมีภารกิจสำคัญอื่น ๆ ในการวางรากฐานการเจริญเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน และส่งเสริมภาคการผลิตและบริการให้สามารถปรับตัวไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นปัญหาโครงสร้างระยะยาวของประเทศ ส่วนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม สังคมไทยจะเริ่มเข้าสู่จุดเริ่มต้นของสังคมผู้สูงอายุในปี 2552 และประชากรไทยตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุอยู่ในภาวะที่ต้องปรับตัวเข้าสู่สังคมฐานความรู้ในยุคโลกาภิวัตน์ ในขณะที่ภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติ และปัจจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

ในช่วง 4 ปีต่อไป รัฐบาลจะดูแลปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว และมุ่งมั่นที่จะบริหารประเทศ ภายใต้หลักการสำคัญสองประการ ซึ่งรัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างความยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจและสังคมไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนไทยและต่างประเทศ และประชาคมโลก

ประการแรก คือ การสร้างความสมานฉันท์ให้แก่คนไทยทุกภาคส่วนที่จะต้องร่วมมือกันในการนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤติการณ์ต่าง ๆ และสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับประเทศในอนาคต การสร้างความสมานฉันท์นี้รวมถึงเรื่องที่สำคัญ คือ การแก้ไขและเยียวยาปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่แนวทางของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและสามัคคีของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศให้เป็นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ

ประการที่สอง คือ การสร้างความสมดุลและภูมิคุ้มกันให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับนโยบายในทุกด้าน ตั้งแต่การพัฒนาคนให้มีคุณธรรมนำความรู้ การสนับสนุนการออมระยะยาว การส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ในพื้นที่ที่เหมาะสม การพัฒนาชุมชนให้พึ่งตนเองได้และเชื่อมโยงกับตลาดอย่างเป็นขั้นตอน จนถึงการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน การดูแลการเคลื่อนย้ายเงินทุน และการเพิ่มความสามารถในการใช้ประโยชน์และต่อยอดเทคโนโลยีให้เข้ากับภูมิปัญญาไทยเพื่อนำไปสู่นวัตกรรมและสร้างรายได้ให้แก่ระบบเศรษฐกิจตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวทางหลักในการดำเนินงานของรัฐบาลตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

นอกจากหลักการทั้งสองประการแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ให้ความสำคัญแก่บทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาประเทศ และกลไกการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐ เพื่อให้อยู่ในกรอบแนวทางของการบริหารประเทศตามหลักธรรมาภิบาล รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว และจะยึดเป็นแนวทางในการดำเนินงานของรัฐบาล

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

รัฐบาลได้กำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วนที่ต้องเริ่มดำเนินการในปีแรก และระยะการบริหารราชการ 4 ปีของรัฐบาล ดังต่อไปนี้

1. นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก

รัฐบาลถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ในสังคม ปราบปรามยาเสพติด สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ฟื้นฟูให้เศรษฐกิจมีความเข้มแข็ง แก้ไขปัญหาความยากจน โดยพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อเพิ่มศักยภาพการหารายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาสในอาชีพอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกร แรงงาน และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญเร่งด่วน โดยมีนโยบายที่สำคัญ คือ

1.1 สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย โดยการเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ และสร้างเสถียรภาพทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง สังคม และเศรษฐกิจ โดยมุ่งถึงประโยชน์สุขของประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ ซึ่งจะเป็นรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

1.2 แก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยน้อมนำแนวทางพระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาดำเนินภารกิจในด้านความมั่นคงและด้านการพัฒนา โดยให้มีความสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของพื้นที่ วิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของประชาชน ตลอดทั้งอำนวยความเป็นธรรมและความยุติธรรม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สร้างความสมานฉันท์และสันติสุขในพื้นที่โดยเร็วที่สุด

1.3 เร่งรัดแก้ไขปัญหายาเสพติดและปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยยังคงยึดหลักการ “ผู้เสพ คือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษา ส่วนผู้ค้า คือผู้ที่ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม” ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งรัดปราบปรามการค้ายาเสพติด ลดปริมาณผู้เสพยา และป้องกันมิให้กลุ่มเสี่ยงเข้าไปเป็นเหยื่อของยาเสพติด โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนควบคู่กับมาตรการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และใช้มาตรการทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมตัดช่องทางการหาเงินทุจริตของผู้มีอิทธิพลในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า การค้ามนุษย์ และการเป็นเจ้ามือการพนัน เป็นต้น

1.4 ดำเนินมาตรการในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ โดยดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาท ระดับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต พร้อมทั้งจัดหาสินค้าราคาประหยัดจำหน่ายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้มีรายได้น้อย

1.5 เพิ่มศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ให้เป็นแหล่งเงินหมุนเวียนในการลงทุน สร้างงานและอาชีพ สร้างรายได้และลดรายจ่ายให้แก่ประชาชนในชุมชนและวิสาหกิจขนาดเล็กในครัวเรือน พัฒนากองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่มีการบริหารจัดการที่ดี ให้สามารถยกระดับเป็นธนาคารหมู่บ้านและชุมชน

1.6 จัดสรรงบประมาณตามขนาดประชากร (Small Medium Large: SML) ให้ครบทุกหมู่บ้านและชุมชน เพื่อสร้างโอกาสให้ชุมชนสามารถแก้ไขปัญหาของชุมชนด้วยตนเอง และพัฒนาโครงการที่จะก่อให้เกิดรายได้อย่างยั่งยืน พัฒนาสินทรัพย์ชุมชน อนุรักษ์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการใช้ทรัพยากรของรัฐ ท้องถิ่น และจังหวัด อย่างมีประสิทธิภาพ

1.7 สานต่อโครงการธนาคารประชาชน เพื่อกระจายโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย สร้างทางเลือกและลดการพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีโอกาสในการสร้างงาน สร้างรายได้ด้วยตนเอง

1.8 สนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างโอกาสในการลงทุนและสร้างรายได้ ผ่านสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย

1.9 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แต่ละชุมชนสามารถใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการพัฒนาสินค้า โดยรัฐพร้อมที่จะสนับสนุนให้ชุมชนเข้าถึงองค์ความรู้สมัยใหม่ แหล่งเงินทุน และพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารจัดการและการตลาด เพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

1.10 พักหนี้ของเกษตรกรรายย่อยและยากจน ที่ผ่านกระบวนการจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพ เพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการสร้างรายได้และอาชีพที่มั่นคง

1.11 สร้างระบบประกันความเสี่ยงให้เกษตรกร เพื่อลดความเสี่ยง อันเนื่องมาจากผลกระทบความเสียหายจากภัยธรรมชาติ และสร้างกลไกในการสร้างเสถียรภาพราคาของสินค้าเกษตรที่เป็นธรรม

1.12 ขยายบทบาทของศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix-it Center) และสถาบันอาชีวศึกษา เพื่อให้คำแนะนำและถ่ายทอดความรู้ในการใช้ การดูแลรักษาและซ่อมบำรุงเครื่องมืออุปกรณ์การประกอบอาชีพ เครื่องใช้ในครัวเรือน รวมทั้งสร้างเครือข่ายศูนย์ฯ กับชุมชนและวิสาหกิจเพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม ระบบรับรองและตรวจสอบคุณภาพในขั้นต้นของสินค้าชุมชน

1.13 สร้างโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยอย่างทั่วถึง เช่น โครงการ “บ้านเอื้ออาทร” “บ้านรัฐสวัสดิการ” และ “ที่อยู่อาศัยของตนเองเป็นครั้งแรก” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้วยระบบขนส่งมวลชนได้อย่างสะดวก

1.14 เร่งรัดการลงทุนที่สำคัญของประเทศ เช่น การพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 9 สาย รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟชานเมือง และรถไฟก้างปลาเชื่อมโยงจังหวัดที่ยังไม่มีรถไฟขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้า และการพัฒนาขีดความสามารถของท่าอากาศยานสากล เป็นต้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

1.15 ดำเนินมาตรการลดผลกระทบจากราคาพลังงาน โดยเร่งรัดโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจากก๊าซธรรมชาติและผลผลิตทางการเกษตร เช่น แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล รวมทั้งเร่งรัดมาตรการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดภาระการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ

1.16 ฟื้นความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยประกาศให้ปี 2551 – 2552 เป็น “ปีแห่งการลงทุน” และ “ปีแห่งการท่องเที่ยวไทย”

1.17 วางระบบการถือครองที่ดินและกำหนดแนวเขตการใช้ที่ดินให้ทั่วถึงและเป็นธรรม โดยใช้ข้อมูลระบบภูมิสารสนเทศ ภายใต้กระบวนการที่ชุมชนมีส่วนร่วม เพื่อให้ประชาชนมีที่ดินทำกินและประกอบอาชีพอย่างทั่วถึงและพอเพียง

1.18 ขยายพื้นที่ชลประทานและเพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทาน โดยฟื้นฟูและขุดลอกแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมทั้งพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินและใต้ดิน โดยดำเนินการก่อสร้างระบบชลประทานขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก เพื่อประโยชน์ในการปรับโครงสร้างภาคการเกษตร การบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้ง ทั้งในพื้นที่ชุมชนเมืองและพื้นที่เกษตรกรรม รวมทั้งระบบประปาที่ถูกสุขอนามัย เพื่อการอุปโภคและบริโภคแก่ประชาชนให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายน้ำโดยการพัฒนาระบบชลประทานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ชลประทานระบบท่อ

1.19 เร่งรัดมาตรการและโครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติโลกร้อน โดยส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน ธุรกิจเอกชน และชุมชน ให้มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะการปลูกและฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ รวมทั้งสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือกจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในระดับครัวเรือน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

ในส่วนของนโยบายที่จะดำเนินการภายในช่วงระยะ 4 ปีของรัฐบาลชุดนี้ รัฐบาลจะดำเนินนโยบายหลักในการบริหารประเทศซึ่งปรากฏตามนโยบายข้อที่ 2 ถึงข้อที่ 8 ดังต่อไปนี้

2. นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

รัฐบาลให้ความสำคัญแก่การให้หลักประกันขั้นพื้นฐานของบริการสาธารณะของรัฐภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ การพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพ การมีสภาพแวดล้อมที่นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต และประชาชนมีความสุข โดยจะดำเนินการ ดังนี้

2.1 นโยบายการศึกษา

2.1.1 ยกระดับคุณภาพการศึกษาของคนไทยอย่างมีบูรณาการและสอดคล้องกันตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงอุดมศึกษาทั้งในและนอกระบบการศึกษา และสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต

2.1.2 พัฒนาหลักสูตร ปรับระบบการผลิตและพัฒนาครูให้มีคุณภาพและคุณธรรมอย่างทั่วถึง ต่อเนื่อง และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์

2.1.3 ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน การสอน และการเรียนรู้อย่างจริงจัง จัดให้มีการเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อประกอบการเรียนการสอนให้โรงเรียนอย่างทั่วถึง

2.1.4 ดำเนินการให้บุคคลมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษา 12 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งสนับสนุนผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรืออยู่ในสภาวะยากลำบาก ให้ได้รับการศึกษา และเพิ่มโอกาสให้แก่เยาวชนในการศึกษาต่อผ่านกองทุนให้กู้ยืมที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต และเชื่อมโยงกับนโยบายการผลิตบัณฑิตเพื่อตอบสนองความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถของประเทศ รวมทั้งต่อยอดให้ทุนการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ

2.1.5 สนับสนุนการผลิตและพัฒนากำลังคนให้สอดรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาคการผลิตและบริการ และเร่งผลิตกำลังคนระดับอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพเพื่อสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของประเทศในสาขาต่าง ๆ เช่น ปิโตรเคมี ซอฟต์แวร์ อาหาร สิ่งทอ บริการสุขภาพและการท่องเที่ยว และการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการ เป็นต้น ด้วยความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการ สถาบันการศึกษา และสถาบันเฉพาะทาง ตลอดจนให้มีการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพตามมาตรฐานสากล

2.1.6 ขยายบทบาทของระบบการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ผ่านองค์กรต่าง ๆ เช่น สำนักงานบริหารจัดการองค์ความรู้ ระบบห้องสมุดสมัยใหม่ หรืออุทยานการเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้แห่งชาติ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ศูนย์พัฒนาด้านกีฬา ดนตรี ศิลปะ ศูนย์บำบัดและพัฒนาศักยภาพของบุคคลออทิสติก เด็กสมาธิสั้น และผู้ด้อยโอกาสอื่น ๆ ศูนย์การเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

2.2 นโยบายแรงงาน

2.2.1 เร่งฝึกอบรมและพัฒนาคนที่ทำงานแล้วและคนที่ถูกเลิกจ้าง เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าสู่ภาคการผลิตและบริการที่มีระดับเทคโนโลยีที่สูงขึ้น

2.2.2 จัดให้มีระบบเตือนภัยและติดตามสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อการจ้างงาน การเลิกจ้างอื่นเนื่องจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ พร้อมทั้งจัดให้มีการจ้างงานใหม่โดยเร็ว

2.2.3 ให้การคุ้มครองแรงงานตามมาตรฐานแรงงานไทย ซึ่งให้ความสำคัญแก่ความปลอดภัยในการทำงานและสวัสดิการแรงงาน พร้อมทั้งจัดระบบการคุ้มครองแก่แรงงานนอกระบบให้ครอบคลุมมากขึ้น

2.3 นโยบายการพัฒนาสุขภาพของประชาชน

2.3.1 เพิ่มคุณภาพของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างไม่เป็นอุปสรรค พร้อมทั้งปฏิรูประบบบริหารจัดการสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพทั่วถึงและครบวงจร ทั้งการรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสุขภาพ การป้องกันโรค และการส่งเสริมสุขภาพ

2.3.2 จัดให้มีมาตรการลดปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อสุขภาพและภาวะทุพโภชนาการที่นำไปสู่การเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิต และอุบัติเหตุจากการจราจร พร้อมทั้งนำมาตรการภาษีการบริโภคสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาใช้กระตุ้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบุคคลให้ลด ละ และเลิก พฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อสุขภาพ

2.3.3 ดำเนินการระบบเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคเชิงรุก เพื่อป้องกันปัญหาการป่วยและตายด้วยโรคอุบัติใหม่และระบาดซ้ำในคน พร้อมทั้งสร้างขีดความสามารถในการเฝ้าระวัง วินิจฉัย และดูแลรักษาพยาบาลอย่างเป็นระบบที่ประสานเชื่อมโยงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

2.3.4 เพิ่มแรงจูงใจและขยายงานอาสาสมัครสาธารณสุข เพื่อเป็นกำลังสำคัญให้ชุมชนในการดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ การดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลและการเฝ้าระวังโรคในชุมชน รวมทั้งเชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

2.3.5 ส่งเสริมให้ประชาชนทุกระดับมีโอกาสออกกำลังกาย และเล่นกีฬาเพื่อสร้างเสริมสุขภาพและพลานามัยที่ดี รวมทั้งพัฒนาทักษะทางด้านกีฬาสู่ความเป็นเลิศที่จะนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ สร้างนิสัยรักการกีฬาและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์เพื่อหลีกเลี่ยงการหมกมุ่นและมั่วสุมกับอบายมุขและยาเสพติด

2.4 นโยบายศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม

2.4.1 อุปถัมภ์ คุ้มครอง และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ เพื่อให้มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังให้ประชาชนเข้าใจและนำหลักธรรมของศาสนา มาใช้ในการเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต

2.4.2 ฟื้นฟูและสืบสานคุณค่าความหลากหลายของวัฒนธรรมไทยทั้งที่เป็นวิถีชีวิต ประเพณี ค่านิยมที่ดีงาม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการดูแลรักษาแหล่งอุทยานประวัติศาสตร์ โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อการศึกษาเรียนรู้และใช้ประโยชน์ในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตบนพื้นฐานความรู้และความเป็นไทย รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาโบราณสถานให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมระดับโลก

2.4.3 พัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมและการนันทนาการ เพื่อส่งเสริมให้ วัยรุ่นไทยเกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้อง ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ มีคุณธรรมเอื้ออาทรต่อผู้อื่น และเกิดการเรียนรู้ศิลปะอย่างสร้างสรรค์ เข้าใจถึงคุณค่า ซาบซึ้งในความสุนทรีย์ของศิลปะ

2.4.4 ขยายบทบาทสภาวัฒนธรรมทุกจังหวัดให้เป็นกลไกเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมที่ครอบคลุมทั้งวิถีชีวิตและสื่อทุกประเภทที่มีผลกระทบต่อการเบี่ยงเบนทางวัฒนธรรม และพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งขจัดสื่อที่เป็นภัยต่อสังคม ขยายสื่อดีเพื่อนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมอย่างเท่าทันสถานการณ์

2.5 นโยบายความมั่นคงของชีวิตและสังคม

2.5.1 ประสานเชื่อมโยงการดำเนินงานและใช้ประโยชน์จากกองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุนผู้สูงอายุ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กองทุนพัฒนาชุมชน และกองทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อให้เป็นพลังร่วมในการสร้างสรรค์และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพ

2.5.2 สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการพัฒนาให้มีความรู้และจริยธรรม เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดและเยาวชนทุกช่วงวัย โดยให้ความสำคัญแก่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ครอบครัวที่อบอุ่น และสถานศึกษาที่เอาใจใส่ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดด้วยการปลูกฝังความรู้ที่ทันโลกและคุณค่าที่ดีของวัฒนธรรมไทย สร้างความเข้าใจให้แก่พ่อแม่ถึงวิธีการดูแลบุตรที่ถูกต้องตามระดับการพัฒนาของสมอง

2.5.3 สร้างหลักประกันความมั่นคงและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ให้เด็ก สตรี และคนพิการที่ด้อยโอกาส โดยจะขจัดขบวนการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป ขจัดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดลิทธิเด็ก สตรี และคนพิการในทุกรูปแบบและอย่างเด็ดขาด รวมทั้งเสริมสร้างสวัสดิการทางสังคมแก่คนพิการและผู้ด้อยโอกาสอย่างเหมาะสม และส่งเสริมความรู้และอาชีพให้สตรีและคนพิการให้สามารถพึ่งพาตนเองได้

2.5.4 เตรียมความพร้อมให้แก่สังคมผู้สูงอายุ โดยยึดหลักการให้ผู้สูงอายุเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยสร้างหลักประกันด้านรายได้และระบบการออมในช่วงวัยทำงานที่เพียงพอสำหรับช่วงวัยชรา สร้างพฤติกรรมด้านสุขภาพที่เหมาะสมกับช่วงวัย สนับสนุนครอบครัวให้เข้มแข็งสามารถดูแลสมาชิกได้อย่างมีคุณภาพ ขยายฐานการให้เบี้ยยังชีพแก่คนชราที่ไม่มีรายได้ และส่งเสริมการใช้ประสบการณ์ของผู้สูงอายุในกระบวนการพัฒนาประเทศโดยระบบคลังสมอง

2.5.5 สร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ในสังคมเมือง โดยมีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยสาธารณะและสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งจัดให้มีบริการขั้นพื้นฐานอย่างเหมาะสม มีโรงเรียนใกล้บ้าน มีการสื่อสารคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

3. นโยบายเศรษฐกิจ
ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

รัฐบาลจะบริหารจัดการเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีความสมดุลและเข้มแข็ง ทั้งในภาคเศรษฐกิจภายในประเทศและต่างประเทศ มีภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกทั้งด้านการค้าและการลงทุน รวมทั้งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยวางโครงสร้างพื้นฐานด้านองค์ความรู้ มีระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและบริการ รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม การเกษตร ระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการ พลังงาน และระบบโครงข่ายสารสนเทศและการสื่อสาร โดยจะดำเนินการ ดังนี้

3.1 นโยบายการเงินการคลัง

3.1.1 ดำเนินนโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ โดยดูแลเงินเฟ้อและค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและกลไกตลาด ส่งเสริมประสิทธิภาพและความมั่นคงของภาคการเงินในประเทศ และส่งเสริมศักยภาพในการบริหารความเสี่ยงของภาคเอกชน

3.1.2 รักษาวินัยการคลังเพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว ซึ่งครอบคลุมถึงเงินงบประมาณ เงินนอกงบประมาณ งบประมาณของท้องถิ่น ฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ปฏิรูประบบงบประมาณแผ่นดินทั้งระบบ ให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศอย่างบูรณาการ ปรับปรุงระบบภาษีและการจัดเก็บภาษีให้มีความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และเพียงพอกับรายจ่ายเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต

3.1.3 ส่งเสริมให้มีระบบการออมระยะยาว เพื่อให้มีเงินออมเพียงพอกับการดำรงชีพในยามชรา รวมทั้งเป็นการสร้างฐานเงินออมเพื่อการระดมทุนของประเทศในอนาคต

3.1.4 วางระบบการดูแลและส่งเสริมการเคลื่อนย้ายเงินทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศ ทั้งการลงทุนของผู้ประกอบการและนักลงทุนที่เป็นสถาบัน และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยให้สอดคล้องกับขีดความสามารถในการแข่งขัน เป้าหมายการส่งเสริมศักยภาพของสาขาการผลิตที่จำเป็น และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

3.1.5 ปรับปรุงประสิทธิภาพของตลาดทุนให้ทัดเทียมกับตลาดหลักในภูมิภาคและตลาดโลกทั้งด้านธรรมาภิบาล ราคา และคุณภาพ โดยให้ความสำคัญแก่การปรับปรุงมาตรการสิ่งจูงใจเพื่อสนับสนุนการออมของประเทศ การเพิ่มบทบาทของตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ในการเป็นแหล่งทุนสำหรับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ และการจัดให้มีกลไกเพื่อกำกับดูแลการพัฒนาตลาดทุนให้ประสานสอดคล้องกับการพัฒนาตลาดเงิน

3.1.6 พัฒนารัฐวิสาหกิจให้สามารถเป็นกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาและการลงทุนของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างฐานรายได้และมูลค่าให้แก่ทรัพย์สินของรัฐ มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ตลอดจนกำกับดูแลการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาล ทั้งการจัดทำและแยกบัญชีเชิงสังคม ความโปร่งใส และการวัดประสิทธิภาพของการดำเนินงานในมาตรฐานไม่น้อยกว่าเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งเร่งฟื้นฟูรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาฐานะการเงิน

3.2 นโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

3.2.1 ภาคเกษตร

3.2.1.1 เร่งปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตรให้สอดคล้องกับโอกาสทางการตลาดและการเปลี่ยนแปลงรสนิยมของผู้บริโภค ทั้งที่เป็นตลาดเดิมและตลาดใหม่ โดยกำหนดยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของโลก เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของการทำประมง ปศุสัตว์ และพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศให้ครบวงจร รวมทั้งสนับสนุนการผลิตพืชพลังงาน เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง เพื่อสนับสนุนนโยบายพลังงานทดแทน และสนับสนุนการผลิตสินค้าใหม่ที่มีโอกาสทางการตลาด เช่น พืชเส้นใย และสมุนไพร เป็นต้น

3.2.1.2 ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าเกษตร โดยการแปรรูปที่ได้คุณภาพและมาตรฐานสากลเพื่อเชื่อมโยงสู่อุตสาหกรรมการเกษตร โดยการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านมาตรฐานการผลิตสินค้าเกษตรและอาหาร ความปลอดภัยอาหารตามมาตรฐานสากล รวมทั้งให้มีระบบป้องกันและควบคุมการระบาดของโรค ตลอดจนสนับสนุนการแปรรูปสินค้าเกษตรในชุมชน

3.2.1.3 เร่งรัดการเจรจาข้อตกลงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร เพื่อป้องกันมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และพัฒนาโครงข่ายระบบการขนส่งสินค้าเกษตรทั้งในพื้นที่ชนบทและเมือง เพื่อขยายตลาดของสินค้าเกษตรและอาหารสู่ตลาดโลก

3.2.1.4 ส่งเสริมการทำการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ในระดับชุมชนตามแนวพระราชดำริ เพื่อให้ครัวเรือนเกษตรกรมีความมั่นคงทางด้านอาหาร ส่งเสริมการขยายกระบวนการเรียนรู้ระบบเกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสาน วนเกษตร โครงการอาหารกลางวัน และธนาคารโคกระบือตามแนวพระราชดำริ โดยเกษตรกรและชุมชนเป็นผู้กำหนดทิศทางและแนวทางด้วยตนเอง

3.2.1.5 ส่งเสริมและสนับสนุนสถาบันเกษตรกรทั้งในด้านการรวมกลุ่มสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน ตลอดจนสภาเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการวางแนวทางพัฒนาการเกษตรและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันด้วยตนเอง

3.2.2 ภาคอุตสาหกรรม

3.2.2.1 พัฒนาประสิทธิภาพและผลิตภาพของภาค อุตสาหกรรม รวมทั้งสร้างมูลค่าให้กับสินค้าอุตสาหกรรม ด้วยการยกระดับความสามารถ ทักษะแรงงาน การบริหารจัดการของผู้ประกอบการ และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร ระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการภายในกลุ่มอุตสาหกรรม บนพื้นฐานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา

3.2.2.2 พัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงและมีความได้เปรียบ เช่น อาหาร เหล็ก ยานยนต์ ปิโตรเคมี พลังงาน และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ให้เป็นฐานการผลิตในระดับภูมิภาคและระดับโลก ด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือให้สิทธิพิเศษกับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ รวมทั้งจัดหาและพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะ 20 ปีข้างหน้า โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่

3.2.2.3 สร้างสินค้าที่มีคุณภาพและมาตฐานเพื่อเพิ่มมูลค่าและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่สินที่ผลิตในประเทศไทย โดยสนับสนุนการพัฒนาทักษะฝีมือผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น กลุ่มสินค้าแฟชั่น อัญมณี และเครื่องประดับ และสินค้าอื่น ๆ พร้อมทั้งใช้มาตรการด้านการตลาดและสร้างตราสัญลักษณ์สินค้าของไทยให้เป็นที่นิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ

3.2.2.4 สร้างและพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งวิสาหกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพื่อเป็นฐานการผลิตของระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าและศักยภาพในการแข่งขัน ด้วยการสนับสนุนด้านองค์ความรู้และนวัตกรรม รวมถึงการสร้างธรรมาภิบาลในการประกอบการและความรับผิดชอบต่อสังคม

3.2.2.5 ส่งเสริมและขยายบทบาทศูนย์บ่มเพาะสำหรับผู้ประกอบการที่มุ่งสร้างสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ออกแบบให้มีความเหมาะสมตามศักยภาพในพื้นที่ต่าง ๆ พร้อมทั้งสร้างศูนย์พัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตลอดจนสนับสนุนให้มีการนำองค์ความรู้และนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์

3.2.2.6 จัดตั้งกองทุนพัฒนาความสามารถในการแข่งขันและการลงทุนเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมให้มีการปรับตัว และสนับสนุนการลงทุนของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงและใช้พลังงานน้อย รวมทั้งขยายบทบาทของกองทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สามารถสนับสนุนการปรับโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.2.3 ภาคการท่องเที่ยวและบริการ

3.2.3.1 เร่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว โดยฟื้นฟู พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการท่องเที่ยวให้ยั่งยืน และสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในเชิงกลุ่มพื้นที่ที่มีศักยภาพ สามารถเชื่อมโยงธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชน รวมถึงการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ควบคู่กับการส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มดูแลรักษาสุขภาพ กลุ่มประชุมและแสดงสินค้า และกลุ่มที่มีความสนใจด้านระบบนิเวศ วัฒนธรรมท้องถิ่น แหล่งประวัติศาสตร์และโบราณสถาน เป็นต้น และดูแลให้นักท่องเที่ยวปลอดภัยจากอาชญากรรม การฉ้อฉล และอุบัติเหตุที่เกิดจากความบกพร่องของผู้ประกอบการ

3.2.3.2 พัฒนาธุรกิจบริการที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างโอกาสการขยายฐานการผลิตและการตลาดในระดับภูมิภาค เช่น ธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจ การประชุมและแสดงสินค้า การศึกษานานาชาติ การก่อสร้าง ธุรกิจภาพยนตร์ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกีฬาและนันทนาการ เป็นต้น โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาความเข้มแข็งของผู้ประกอบการ การเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน มาตรฐานธุรกิจและการพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรับการขยายตัวของธุรกิจ และการส่งเสริมด้านการตลาด

3.2.3.3 ส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือของกลุ่มอุตสาหกรรมการค้าและบริการที่เน้นความสำคัญของศักยภาพพื้นที่และเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม รวมทั้งความสามารถทางด้านบุคลากรเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ธุรกิจบริการด้านสุขภาพและการแพทย์ที่เชื่อมโยงกับการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์

3.2.4 การตลาด การค้า และการลงทุน
3.2.4.1 ส่งเสริมนโยบายการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาดตัดตอน และคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการในด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
3.2.4.2 ดำเนินการตลาดเชิงรุกเพื่อรักษาตลาดเดิมและสร้างตลาดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกไปตลาดหลัก โดยส่งเสริมการส่งออกในตลาดใหม่ ได้แก่ จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรปตะวันออก พร้อมทั้งรักษาส่วนแบ่งในตลาดหลักไม่ให้ลดลง โดยมุ่งเน้นการส่งออกสินค้าที่มีอัตราการขยายตัวสูงในตลาดใหม่

3.2.4.3 ขยายความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าภายใต้กรอบความร่วมมือและข้อตกลงทางด้านการค้าในระบบพหุภาคีและทวิภาคี เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการขยายตลาดการค้าระหว่างประเทศและการค้าชายแดน

3.2.4.4 ทบทวนการจัดตั้งสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศและปรับปรุงกลไกการบริหารจัดการด้านการค้าของประเทศให้เป็นไปอย่างบูรณาการ โดยเชื่อมโยงกลไกในระดับนโยบายและหน่วยงานปฏิบัติที่มีภารกิจเกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนให้แก่ธุรกิจภาคเอกชนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของ
ตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

3.2.4.5 สนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศในสาขาที่ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพ ทั้งในการลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้า การทำสัญญาสินค้าเกษตรตามข้อตกลง การเปิดสาขา การหาตัวแทนและหุ้นส่วนในต่างประเทศเพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจไทยในต่างประเทศ

3.2.4.6 ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ

3.3 นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน และระบบบริหารจัดการขนส่งมวลชน สินค้าและบริการ

3.3.1 พัฒนาบริการโครงสร้างพื้นฐานให้กระจายไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึงและเพียงพอ โดยเฉพาะการจัดให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ทั้งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค บริการสื่อสารโทรคมนาคม และที่อยู่อาศัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

3.3.2 พัฒนาระบบคมนาคมขนส่งและเชื่อมโยงโครงข่ายการบริหารจัดการขนส่งมวลชนสินค้าและบริการ ทั้งพื้นที่ชนบท เมือง และระหว่างประเทศ โดยให้ความสำคัญแก่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการขนส่งระบบรางให้เชื่อมโยงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ เพื่อลดต้นทุนสินค้าและบริการเพื่อการส่งออก

3.3.3 พัฒนาการขนส่งทางน้ำและกิจการพาณิชยนาวี ทั้งภายในและระหว่างประเทศ ตลอดจนพัฒนาท่าเรือน้ำลึกบริเวณพื้นที่ภาคใต้ พัฒนาท่าเรือชุมชน และกองเรือไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานในภาคขนส่ง เชื่อมโยงประตูการค้าใหม่และสนับสนุนการท่องเที่ยว

3.3.4 พัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานภูมิภาค และอุตสาหกรรมการบินของไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบิน การท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้าทางอากาศชั้นนำของเอเชียและโลก

3.4 นโยบายพลังงาน

3.4.1 สร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน ด้วยการจัดหาพลังงานให้เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน โดยเร่งรัดให้มีการลงทุนสำรวจและพัฒนาพลังงานทั้งจากในประเทศ เขตพื้นที่พัฒนาร่วม และจากประเทศเพื่อนบ้านให้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานกับต่างประเทศ

3.4.2 ส่งเสริมให้มีการกำกับดูแลกิจการพลังงานให้มีราคาพลังงานที่เหมาะสม เป็นธรรม และก่อให้เกิดการแข่งขันลงทุนในธุรกิจพลังงาน โดยมีมาตรฐาน คุณภาพการให้บริการและความปลอดภัยที่ดี

3.4.3 พัฒนาและวิจัยพลังงานทดแทนทุกรูปแบบเพื่อเป็นทางเลือกแก่ประชาชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในการตัดสินใจพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและพลังงานที่สอดคล้องกับท้องถิ่น

3.4.4 ส่งเสริมการอนุรักษ์และประหยัดพลังงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคประชาชน โดยมีมาตรการจูงใจที่เหมาะสม

3.4.5 ส่งเสริมการพัฒนา ผลิต และใช้พลังงานควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมกลไกการพัฒนาพลังงานที่สะอาด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการจัดการก๊าซเรือนกระจกเพื่อช่วยบรรเทาสภาวะโลกร้อน

3.5 นโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศ

3.5.1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น โครงข่ายสื่อสารความเร็วสูงให้ทั่วถึง เพียงพอ ในราคาที่เหมาะสม เป็นธรรม และแข่งขันได้ เพื่อเป็นโครงข่ายหลักสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยไปสู่สังคมแห่งภูมิปัญญา ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเขตเมืองและชนบท และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ

3.5.2 พัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องด้านบริการความรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และจัดให้มีกลไกสนับสนุนแหล่งทุนสำหรับผู้ประกอบธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพได้มาตรฐานและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในภูมิภาค

3.5.3 สนับสนุนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาระบบบริหารจัดการและบริการภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ การเชื่อมโยงข้อมูล การบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการ การเตือนภัยและความมั่นคงของรัฐ บริการการศึกษาและสาธารณสุข ตลอดจนการพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศและเทคโนโลยีอวกาศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ

4. นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

รัฐบาลให้ความสำคัญแก่บทบาทของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการสร้างความสุขของประชาชนและสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยให้ความสำคัญแก่การบริหารจัดการอย่างบูรณาการระหว่างมิติของเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพิ่มการมีบทบาทร่วมของประชาชนและชุมชน โดยจะดำเนินการ ดังนี้

4.1 อนุรักษ์ พัฒนา และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญแก่การใช้ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลอดจนความปลอดภัยทางชีวภาพเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารและสุขภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มสู่เศรษฐกิจระดับประเทศและสากลในระยะต่อไป

4.2 เร่งรัดการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ให้มีความสมดุลของการใช้ประโยชน์ การถือครอง และการอนุรักษ์ฐานทรัพยากร ที่ดิน ป่าไม้ สัตว์ป่า ทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และทรัพยากรธรณี โดยการใช้ระบบภูมิสารสนเทศ ควบคู่กับการปรับปรุงและบังคับใช้กฎหมายตลอดจนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเร่งรัดปราบปรามการทำลายป่า สัตว์ป่า และทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง รวมทั้งการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

4.3 อนุรักษ์ทรัพยากรดินและป่าไม้ โดยการยุติการเผาไร่นาและทำลายหน้าดิน การลดการใช้สารเคมีเพื่อการเกษตร รวมทั้งการฟื้นฟูดินและป้องกันการชะล้างทำลายดิน โดยการปลูกหญ้าแฝกตามแนวพระราชดำริ รวมทั้งมีการกระจายและจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดินอย่างเป็นธรรม อนุรักษ์และป้องกันรักษาป่าที่สมบูรณ์ สนับสนุนให้มีการปลูกและฟื้นฟูป่าตามแนวพระราชดำริ สนับสนุนการจัดการป่าชุมชนและส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในพื้นที่ที่เหมาะสมตามหลักวิชาการ และการสนับสนุนบทบาทของชุมชนในการบริหารจัดการน้ำ เช่น การทำฝายต้นน้ำลำธารหรือฝายชะลอน้ำตามแนวพระราชดำริ

4.4 จัดให้มีมาตรการป้องกันและพัฒนาระบบข้อมูลและเตือนภัยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น อุทกภัย ภัยแล้ง ธรณีพิบัติ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และดำเนินมาตรการลดผลกระทบและความเดือดร้อนของประชาชนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ

4.5 เร่งรัดการควบคุมมลพิษทางอากาศ ขยะ น้ำเสีย กลิ่น และเสียง ที่เกิดจากการผลิตและบริโภค โดยเฉพาะเร่งรัดการสร้างระบบบำบัดน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากสังคมเมืองและการผลิตในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม การจัดทำระบบกำจัดขยะโดยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการกำจัดขยะและบำบัดน้ำเสีย

4.6 ส่งเสริมให้ภาครัฐและภาคเอกชนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อารอนุรักษ์พลังงาน การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การผลิตวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ การหมุนเวียนการใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีที่สะอาด และการใช้หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลดการก่อมลพิษและลดภาระของสังคมตามธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม

4.7 ส่งเสริมการสร้างความตระหนักทางด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการดำเนินกิจกรรมและการปรับพฤติกรรมการผลิตและการบริโภค เพื่อบรรเทาผลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนสนับสนุนการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่จะนำมาสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

5. นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในฐานะที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการยกระดับคุณภาพชีวิต โดยรัฐบาลจะดำเนินการ ดังนี้

5.1 ส่งเสริมการนำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาระบบวิจัยและพัฒนาเชิงนวัตกรรมที่มีอยู่ให้สนองความต้องการของภาคการผลิตและบริการ โดยให้ความสำคัญแก่การเชื่อมโยงระหว่างภาคเอกชน สถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัย ตลอดจนพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การวิจัย และพัฒนาต่อยอดและมีการใช้ประโยชน์องค์ความรู้และเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์

5.2 สร้างเสริมความรู้ความคิดของประชาชนทางด้านวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งเร่งผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพและคุณธรรมให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของภาคการผลิตและบริการ ตลอดจนพัฒนาเส้นทางอาชีพเพื่อรักษาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไว้ในระบบ รวมทั้งจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ขั้นสูงจากต่างประเทศเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากรไทย
5.3 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้มีคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ และสนับสนุนการสร้างทรัพย์สินทางปัญญาของคนไทยเพื่อป้องกันมิให้ไทยถูกเอาเปรียบทางเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยพัฒนาระบบการจัดการทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบรับรองมาตรฐานให้ทันสมัย รวมทั้งพัฒนาศูนย์บ่มเพาะธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยี อุทยานวิทยาศาสตร์ และศูนย์แห่งความเป็นเลิศในสาขาเทคโนโลยีที่สำคัญ
5.4 ปรับปรุงระบบการวิจัยของประเทศให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยพัฒนามาตรการจูงใจ และกฎหมายให้เอื้อต่อการลงทุนวิจัยและพัฒนาของภาคธุรกิจเอกชน และส่งเสริมการลงทุนจัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์จากต่างประเทศมาใช้ประโยชน์

6. นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

รัฐบาลจะดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อตอบสนองผลประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน โดยจะดำเนินบทบาทเชิงรุกในการส่งเสริมความร่วมมือและขยายความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และยึดมั่นในพันธกรณีที่มีอยู่กับต่างประเทศตามสนธิสัญญาและความตกลงต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งกฎบัตรสหประชาชาติและปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน พร้อมกับการสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาเศรษฐกิจไทยทุกสาขาให้ได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และสานต่อนโยบายทีมประเทศไทย (Team Thailand) เพื่อให้การดำเนินงานด้านต่างประเทศมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมีเอกภาพ โดยจะดำเนินการ ดังนี้

6.1 ส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยส่งเสริมความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน และสื่อมวลชน เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและความใกล้ชิดระหว่างกัน อันจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การส่งเสริมการท่องเที่ยว การขยายการคมนาคมขนส่ง และความร่วมมือด้านอื่น ๆ ภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาค เช่น ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) และความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) เป็นต้น

6.2 ส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศในเอเชีย กรอบความร่วมมือเอเชีย และเพิ่มบทบาทในการสร้างความแข็งแกร่งของอาเซียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการจัดตั้งประชาคมอาเซียน และผลักดันบทบาทอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศในวาระที่ไทยเป็นประธานอาเซียน

6.3 มีบทบาทที่สร้างสรรค์ในองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเวทีสหประชาชาติและองค์กรระดับภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อรักษาสันติภาพ ความมั่นคง ส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม ตลอดจนร่วมมือในการแก้ไขประเด็นปัญหาข้ามชาติทุกด้านที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของมนุษย์

6.4 กระชับความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับประเทศและกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญของโลก จัดทำข้อตกลงการค้าเสรีในกรอบพหุภาคีและกับประเทศต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศโดยรวม สร้างกลไกเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวรับผลกระทบและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี

6.5 ดำเนินงานเชิงรุกทางการทูตเพื่อประชาชน วัฒนธรรม และการศึกษา ตลอดจนการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชนกับนานาประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการกับประเทศกำลังพัฒนา และสานต่อความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อความเข้าใจอันดีกับองค์กรทางศาสนาอื่น ๆ

6.6 คุ้มครองผลประโยชน์ของคนไทย ดูแลคนไทยและแรงงานไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะคนไทยที่ประกอบอาชีพและมีถิ่นฐานในต่างประเทศ ส่งเสริมบทบาทของชุมชนชาวไทยในการรักษาเอกลักษณ์และความเป็นไทย

7. นโยบายความมั่นคงของรัฐ

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

รัฐบาลจะรักษาความมั่นคงของประเทศ สถาบันพระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ เตรียมความพร้อมในการเผชิญภัยคุกคามทุกรูปแบบ ทั้งภัยธรรมชาติและความขัดแย้งที่อาจส่งผลกระทบถึงประเทศไทย แก้ไขความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้และสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขสามัคคี สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศ และต่อต้านภัยสังคมในทุกรูปแบบ โดยจะดำเนินการ ดังนี้

7.1 เทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำรงรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์มิให้ผู้ใดล่วงละเมิดได้ รวมทั้งเสริมสร้างจิตสำนึกประชาชนในชาติให้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนสร้างบรรยากาศให้เกิดความรัก ความสามัคคี และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของคนในชาติ

7.2 เสริมสร้างระบบป้องกันประเทศให้มีความมั่นคง มีศักยภาพในการรักษาเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และผลประโยชน์ของชาติ โดยมุ่งพัฒนาความทันสมัยของอาวุธยุทโธปกรณ์ และเตรียมความพร้อมของกำลังพลในกองทัพ ตลอดจนการผนึกกำลังประชาชนให้มีส่วนร่วมในการรักษาความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนภารกิจในการพัฒนาประเทศและการรักษาสันติภาพภายใต้กรอบกติกาของสหประชาชาติ

7.3 เร่งพัฒนาระบบการจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมือง แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และบุคคลที่ยังไม่มีสถานะที่ชัดเจน เน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับขบวนการลักลอบเข้าเมืองที่ผู้มีอิทธิพลให้การสนับสนุน เพื่อลดขนาดและผลกระทบของปัญหาความมั่นคงระยะยาวให้เหลือน้อยที่สุด ควบคู่ไปกับการจัดการแก้ไขปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลที่ไม่มีสถานภาพที่ชัดเจนภายใต้ความสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงของชาติกับการดูแลสิทธิขั้นพื้นฐาน

7.4 พัฒนาและเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งมุ่งพัฒนาระบบบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาความมั่นคง ตลอดจนการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และเร่งขจัดเงื่อนไขความไม่เข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านความมั่นคง

7.5 ปฏิรูประบบข่าวกรองให้เกิดประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงและการเสริมสร้างผลประโยชน์ของชาติ โดยจัดระบบบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานพลเรือน ตำรวจ ทหาร และให้ความสำคัญแก่ข้อมูลเชิงลึกด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาของชาติได้อย่างแท้จริง

7.6 พัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติ โดยเน้นการบริหารวิกฤติการณ์ทั้งที่เกิดจากภัยธรรมชาติและภัยที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยมุ่งระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนให้สามารถดำเนินงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกัน แก้ไข บรรเทา และฟื้นฟูความเสียหายของชาติที่เกิดจากภัยต่าง ๆ

8. นโยบายการบริหารจัดการที่ดี

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

รัฐบาลจะพัฒนาและปรับปรุงระบบการบริหารงานภาครัฐเพื่อให้ส่วนราชการมีความพร้อมและกำลังคนที่มีขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล มีความคุ้มค่า และเกิดความเป็นธรรมในการให้บริการสาธารณะ และจะปรับปรุงกฎหมายและการยุติธรรม สนับสนุนการพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินนโยบายสาธารณะ เพื่อให้เกิดการบริหารราชการแผ่นดินที่ดี โดยจะดำเนินการดังต่อไปนี้

8.1 ประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน

8.1.1 ปรับปรุงการให้บริการประชาชน ด้วยการสร้างนวัตกรรมและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการให้บริการรูปแบบต่าง ๆ เพื่อลดภาระและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน

8.1.2 พัฒนาระบบและกำหนดมาตรการเพื่อดึงดูดผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามารับราชการ ด้วยการปรับปรุงระบบค่าตอบแทนและสิ่งจูงใจให้เทียบเคียงหรือแข่งขันได้ในตลาดแรงงาน เพื่อให้ระบบราชการเป็นนายจ้างอันเป็นที่หมายปองของผู้สมัครงาน รวมทั้งสนับสนุนให้มีการเคลื่อนย้ายถ่ายโอนกำลังคนทั้งภายในระบบราชการและระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับภาคส่วนอื่น ๆ

8.1.3 พัฒนาระบบงานและสมรรถนะของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติราชการและการส่งมอบบริการสาธารณะ โดยจะเน้นการพัฒนาข้าราชการในตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ และสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการ รวมทั้งจะวางมาตรการสำหรับประเมินผลการปฏิบัติงานและจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมตามผลงาน เพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจและแรงจูงใจในการพัฒนาผลงาน

8.1.4 พัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ดีขึ้นเพื่อให้สามารถดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี โดยการเพิ่มเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการให้เหมาะสมกับสภาพการทำงานและสถานการณ์ค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งปรับปรุงสวัสดิภาพการทำงานและภาระหนี้สิน เพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว

8.1.5 เสริมสร้างมาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม ให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และพัฒนาความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ พร้อมทั้งป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างจริงจัง เพื่อให้ภาคราชการเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจแก่ประชาชน

8.1.6 ส่งเสริมการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง โดยสร้างดุลยภาพระหว่างการกำกับดูแลและความเป็นอิสระของท้องถิ่น โดยไม่กระทบความสามารถในการตัดสินใจดำเนินงานตามความต้องการของท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งและขีดความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณและบุคลากรของท้องถิ่นเพิ่มขึ้น ตลอดจนพึ่งพาตนเองด้วยฐานรายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเองได้มากขึ้น

8.1.7 สนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดบริการสาธารณะของท้องถิ่นเพิ่มขึ้น โดยคำนึงถึงความจำเป็นและความเหมาะสมตามศักยภาพของท้องถิ่น รวมทั้งความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนขยายการให้บริการที่ครอบคลุมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เชื่อมโยงและบูรณาการกับแผนชุมชนและแผนระดับต่าง ๆ ในพื้นที่

8.1.8 เร่งรัดดำเนินการถ่ายโอนภารกิจของราชการส่วนกลางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการจัดสรรรายได้ให้ท้องถิ่นแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม

8.1.9 สนับสนุนระบบการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการของผู้ว่าราชการจังหวัด ผ่านกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และการจัดทำงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดวางยุทธศาสตร์การพัฒนาและทิศทางการพัฒนาพื้นที่ในอนาคตที่สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ศักยภาพของพื้นที่ และความต้องการของประชาชน

8.2 กฎหมายและการยุติธรรม

8.2.1 ดูแลให้มีการปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และทั่วถึง และส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่มีผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจ รวมตลอดถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน

8.2.2 พัฒนากฎหมายให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงและความจำเป็นของสังคม รวมทั้งจัดให้มี “องค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมาย” และ “องค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม” ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศและกระบวนการยุติธรรม

8.2.3 ส่งเสริมและพัฒนาระบบงานยุติธรรมทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันอาชญากรรมและสร้างความเป็นธรรมในสังคม การพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม การใช้เครื่องมือและหลักวิชาการนิติวิทยาศาสตร์ การส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอำนวยความยุติธรรม เช่น การพัฒนาระบบยุติธรรมชุมชนและยุติธรรมจังหวัด การพัฒนาและจัดให้มีกระบวนการยุติธรรมทางเลือก (ซึ่งเป็นกระบวนการชะลอการลงโทษ เช่น ใช้วิธีการทำงานบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม เป็นต้น) ควบคู่กับกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก รวมทั้งการพัฒนาระบบและวิธีปฏิบัติเพื่อแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดให้เหมาะสมต่อกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม

8.2.4 เสริมสร้างความยุติธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมุ่งพัฒนากฎหมายและระบบงานยุติธรรมที่สอดคล้องกับพื้นที่ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมท้องถิ่น บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ขจัดเงื่อนไขความไม่ยุติธรรม และพัฒนาระบบการพิสูจน์การกระทำความผิดที่มีประสิทธิภาพ

8.3 ส่งเสริมให้ประชาชนมีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากทางราชการและสื่อสาธารณะอื่นได้อย่างกว้างขวาง ถูกต้อง เป็นธรรม และรวดเร็ว

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลขอชี้แจงว่า การกำหนดนโยบายของรัฐบาลที่ได้กราบเรียนมาแล้วนี้ จะเป็นแนวทางดำเนินการในระยะเวลา 4 ปี ตามความเร่งด่วนของการแก้ไขปัญหาของประเทศ รวมทั้งจะเป็นการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามบทบัญญัติในหมวด 5 ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นอกจากนี้ เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และดำเนินนโยบายจนบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ได้ รัฐบาลจะดำเนินการปรับปรุงหรือกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐ พัฒนาระบบการบริหารจัดการ เสนอร่างกฎหมาย ตลอดจนดำเนินการทุกประการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพ และสามารถบรรลุผลในทางปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่การพัฒนาประเทศ โดยถือเป็นนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนี้ด้วย

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

การกำหนดนโยบายบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีตามที่กล่าวมา ได้วางอยู่บนพื้นฐานข้อมูลตามความเป็นจริงของประเทศ และความต่อเนื่องกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตลอดจนการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมใหม่ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อการแถลงนโยบายนี้เสร็จสิ้นแล้ว รัฐบาลจะได้เร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรม โดยจัดทำรายละเอียดของแผนปฏิบัติการ ประกอบด้วยแผนการบริหารราชการแผ่นดิน แผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการต่าง ๆ และแผนการตรากฎหมาย ที่จะใช้เป็นคู่มือและแนวทางการทำงานต่อไป

อนึ่ง รัฐบาลขอเรียนว่า รัฐบาลนี้ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยถือว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นรากฐานสำคัญในการวางระบบการบริหารประเทศให้เกิดความมั่นคงและสร้างเสริมหลักประชาธิปไตยที่ถูกต้องและเหมาะสมเป็นที่ยอมรับของชนในชาติ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ให้ประชาชนออกเสียงลงประชามติให้ความเห็นชอบ แต่โดยที่ยังปรากฏว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอยู่มาก รัฐบาลนี้จึงจะสนับสนุนให้มีการศึกษาทบทวนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารประเทศให้ดียิ่งขึ้นในเวลาอันควรต่อไป

รัฐบาลขอให้ความเชื่อมั่นแก่รัฐสภาอันเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินว่า จะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีความมุ่งมั่นที่จะบริหารประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า ทัดเทียมอารยประเทศ สร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคมที่มีความสมดุลมากขึ้น และให้คนไทยมีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ทั้งนี้ โดยยึดประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยเป็นที่ตั้งอย่างแท้จริง

ขอบคุณครับ


Thailand's new PM unveils policies

BANGKOK, Thailand (AP) -- Thailand's new prime minister presented parliament Monday with his coalition government's proposed policies, a plan denounced by critics as a resurrection of deposed leader Thaksin Shinawatra's populist agenda.

Prime Minister Samak Sundaravej's plans to revive cheap health care for the poor, debt suspension for farmers and other hallmarks of the Thaksin administration were expected to win parliamentary approval after a three-day debate.

Samak's coalition government holds two-thirds of the seats in the 480-member lower house of parliament.

Source: CNN


McCain wants Thai FTA, Obama opposes it

Democratic presidential contender Barack Obama this week renewed his opposition to the proposed free-trade agreement between the United States and South Korea, as well as other free-trade agreements in the Pacific region.

The junior senator from Illinois entered a statement into the congressional record on Monday, citing his “firm and unyielding” opposition to the Korean agreement until there is full denuclearisation of the Korean Peninsula.

Republican frontrunner John McCain, former senator from Arizona, in a speech last February, lauded the FTA with South Korea, and specifically mentioned Thailand.

“Completing FTAs with Thailand, Malaysia and South Korea, in concert with the
agreements we have already struck with Australia and Singapore, should set the
stage for an ambitious Pacific-wide effort to liberalize trade,” he said. “Such
efforts have very tangible impacts.”

Talks on a US-Thailand FTA stuck before the Sept 19, 2006, military coup, over a variety of topics. Thailand has sought to protect key industries, and also is sensitive about the rice trade.
Obama, while opposing free-trade pacts, did say that an accord with Korea was important to American industries, including beef.

“I look forward … to supporting ways to increase our bilateral trade and
investment ties through agreements paying proper attention to our key industries
and agricultural sectors, such as autos, rice and beef, and to protection of
labour and environmental standards,” he said.


He added that the FTA’s current iteration “does not meet this standard.”

Sen Hillary Clinton, the other potential democratic presidential nominee, also has opposed the FTA, although she has not spoken recently on the subject. In a statement released last summer, Clinton said, “I will oppose the pending trade agreements with South Korea…. [T] he South Korean agreement does not create a level playing field for American carmakers.”

Clinton also has opposed liberalising trade with Thailand, particularly in the auto industry.

(BangkokPost.com with Agency reports)


Interview with Samak Sundaravej / สัมภาษณ์สมัคร สุนทรเวชทางCNN



Thailand’s new Prime Minister Samak Sundaravej is the first to be democratically elected since the nation’s bloodless coup in 2006. A veteran politician and former governor of Bangkok, Samak is accused of being a nominee of friend and former Prime Minister Thaksin Shinawatra.As he prepares to take office, he joins Talk Asia’s Dan Rivers to discuss his allegiance to his ousted predecessor, corruption, and his alleged role in the Thammasat massacre of 1976.
The following are portions of a recent interview of Prime Minister Samak Sundaravej by CNN Talk Asia correspondent Dan Rivers.

BANGKOK, Thailand (CNN) — Thailand’s new Prime Minister Samak Sundaravej is the first to be democratically elected since the nation’s bloodless coup in 2006. A veteran politician and former governor of Bangkok, Samak is accused of being a nominee of friend and former Prime Minister Thaksin Shinawatra. As he prepares to take office, he joins Talk Asia’s Dan Rivers to discuss his allegiance to his ousted predecessor, corruption, and his alleged role in the Thammasat massacre of 1976.

BLOCK A

Taking power at a special ceremony, Thailand’s new prime minister receives an endorsement from the King. He gives thanks to the monarch, then issues a firm message to critics: “I want to tell those who have held me in contempt, saying in writing and in vilifying speech that I am inept and I don’t know anything, to give me time to do this job.”

His election as prime minister comes at a pivotal time for democracy in Thailand. In 2006, the military launched a bloodless coup against the government of billionaire Thaksin Shinawatra. The junta accused Thaksin of corruption, and dissolved Thailand’s parliament. Samak, a Thaksin loyalist, lost his senate seat. The outspoken veteran politician continued a second career as a celebrity chef. But Samak soon returned to politics. His People’s Power Party made a strong showing in December’s elections. It was formed after Thaksin’s own Thai Rak Thai party was banned, but it shares many of the same policies and people. Samak has vowed to turn the clock back to before the last coup. We meet at his residence in Bangkok.

DR: Prime Minister Kun Samak, thank you very much for talking to Talk Asia. You came to power really on the back, many would say, of Thaksin Shinawatra, the exiled former prime minister, who was exiled in the coup a year and a half ago. You made no… You haven’t really hidden your allegiance to him. Explain now how you intend to go forward. Will Thaksin play a role in your government?

SS: He ran the country for five years very successfully, and then there is a coup. It’s ok. They say, a coup is a coup. And then they want to destroy Thaksin, it’s ok, it’s up to them. But he says that the party is killed. He just asked me, is it possible if you set up a party and bring the leftover MPs to enroll in the party? And then…

DR: So Thaksin asked you to set up your People’s Power Party?

SS: He said, is it possible or not? I say I can do because I lost my opportunity too. I ran as a senate, five months, so the coup d’etat group, they just kicked me out.

DR: What kind of role will Thaksin play now that you are in power?

SS: Oh, he’s the owner of the former party. And then he might get some support by giving ideas to this or that. Five years such a success, so why not if he gives some advice?

DR: So you will take advice from Thaksin?

SS: Not I myself, but the one who do the, especially on the economic group, so they might consult, so I think there’s nothing wrong with this.

DR: Because people say you’re merely a puppet, some people have said, of Thaksin.

SS: You may say, anybody is a puppet of anybody.

DR: So you deny that you’re a puppet?

SS: No, I am myself. I’m the leader of the party. I run this country, it’s me, I have my own thinking.

DR: Not Thaksin?

SS: Not Thaksin.

DR: Let’s talk about the cabinet lineup. One of the key posts in the cabinet is defense minister. Obviously with the history of so many coups in Thailand, whoever has the defense minister portfolio effectively controls the army. There’s been speculation you will have the defense minister post as well as being prime minister. Is that going to be the case?

SS: Yeah, well, I intend to do that because in the olden days, there’s an argument always between the military and the government. And the military serves the monarch, we serve the monarch. An argument that happen will not, the King will not feel quite so good if any argument always occur. So we need a neutral by this time. So now we have a good, a good commander-in-chief of the army.

DR: How can you guarantee there’s going to be no more coups in Thailand?

SS: I cannot guarantee. Last time, when they staged a coup, there’s no reason. Rebel without a cause.

DR: Well, the reason they gave was that Thaksin was hugely corrupt.

SS: Sixteen months, it doesn’t prove. Not a single case. They set up a committee and see to it, and until now, just two cases go to the prosecutor, not to the court yet.

DR: Central to the charges against Thaksin, his tax-free sale of a controlling stake in telecommunications giant Shin Corporation to a Singaporean company. Thaksin changed financial rules just days before the sale, allowing foreign entities to own up to 49 percent in telecoms firms, from 25 percent previously. Critics accused him of forgoing national interests to reap personal benefits. His wife Pojamarn Shinawatra also faces a series of graft charges and is accused of concealing millions of dollars in stock market shares. She returned to Thailand earlier this month to appear at court for the first charge. At the heart of the case is this plot of land — it may look like a wildlife sanctuary, but this is in fact prime real estate on the edge of Bangkok. Pojamarn Shinawatra bought this from a government institution in 2003, while her husband was prime minister. Her critics say she got a huge discount, paying only one third of the initial evaluation. If convicted, the Shinawatras could face more than 10 years in prison. They both deny the charges.

DR: Do you think he’s guilty?

SS: Oh, anyone can do something guilty if anyone can prove, but for me, not a friend, not the one who know each other…

DR: You don’t think he’s guilty?

SS: I don’t think that anyone may do something wrong, that doesn’t think that that is wrong. Such is the first case, he let his wife to buy in the bidding, so they say this is wrong, so this case must go to the court. This is a good example. So ask Thaksin, or ask his wife, they never think that they committed anything wrong.

DR: Well, I’m asking you. Do you think Thaksin was corrupt?

SS: Oh. For me, why must he? But if he do something and the business that he has done for his friend, for his colleague, and it create some better income than others. Put it this way, corrupt or not corrupt, huh, in the olden days, when anyone invests in this country, you can hold the share only 25 percent, for the rest must be nominee, or any kind of thing. But he decide to change from 25 to 49 percent. Now when he made a change of this from 25 to 49 and then he can sell his share, it costs 73 billion, and then pay no tax because by law pay no tax. This is corrupt or not?

DR: Well, I’m asking you. Do you think he’s corrupt?

SS: Somebody say it’s corrupt, but for me I say no, this is by law. This is, he might take this opportunity. It must be his wisdom that he can do the trade.

DR: But should prime ministers be allowed to make money? Shouldn’t they be concentrating on the job of prime minister?

SS: For me, for me, I have nothing kind of that. But for him, it’s his business. He do the business and he want to get rid of the share that he hold. To be or not be right or wrong is up to him.

DR: Well is it right or wrong?

SS: I think it’s right, because it draw intention for the investor to come, that you can have 49 percent, you have a proxy only 2, so you can run the company.

DR: Will Thaksin come back? And if so, when?

SS: It’s up to him, up to the case. His wife just mentioned to the court that he will come in May. So the court do agree. He will come or not, it’s up to him. But one thing I must say is that he must come back to face the charge. It’s not dangerous.

DR: How much damage was done do you think to Thailand by the coup?

SS: Oh, I cannot. It doesn’t come by figures. It comes by the feeling of the people. The damage that come… I’m not an expert in economy, but they say that just from the grassroots to the top, they also have problems. Restaurants say the business 100 percent is going down to 50 percent. They’re buying and selling everything.

DR: If the country was so damaged by the coup, what will you do to those who led the coup? Should they not be punished?

SS: No, no, no.

DR: Why not?

SS: Do believe me. That we call a revenge, a reprisal, a retortion. We have no need to do that. They must feel ashamed by themselves, that is much enough.

BLOCK B

DR: October 1976, this grainy footage shows one of Thailand’s darkest episodes — the Thammasat massacre. Soldiers killed dozens of left-wing students during a frenzy of anti-communist fervor, and Samak was at the scene. He was Deputy Interior Minister — his enemies accused him of goading the lynch-mobs. The massacre triggered a military coup and remains an emotionally-charged subject in Thailand.

DR: Some people are very critical of your past in Thailand, some people have even said you’ve got blood on your hands. What would you say to that?

SS: Oh, I deny the whole thing. I have no concern on that business. And I have nothing to do, to deal with that at all. I’m an outsider by that time. And then the Governor of Bangkok, he is the Secretary General of the Democratic Party and the Deputy. So, the chief of the group asked him to see, so I go along with him. That evening, he talk to the chief of the group, I talk to the military. The guy asked me, what do you think Kun Samak, we close all the newspaper? I said, it’s impossible. Next morning who will know who is the one who is a reform group, who are they. So next morning, they make the first committee, five. One military, four civilians just to open, to back to normal for all the newspaper. That was what I do.

DR: Would you like to take the opportunity now to condemn what happened in 1976?

SS: Actually it’s a movement of some students. They don’t like the government.

DR: But dozens of people, maybe hundreds of people died.

SS: No, just only one died. There are 3,000 students in the Thammasat University.

DR: The official death toll was 46, and many people say it was much higher than that.

SS: No. For me, no deaths, one unlucky guy being beaten and being burned in Sanam Luang. Only one guy by that day.

DR: So there was no massacre?

SS: No not at all, but taking pictures, 3,000 students, boys and girls lined up, they say that is the death toll. 3,000.

DR: People say that your very right-wing rhetoric inflamed the situation.
SS: What’s wrong to be the right-wing if it is? The right-wing is with the King. The left-wing is communist.

DR: So do you think Thailand was in danger of falling to communism in 1976?

SS: Well, a guy called Lomax, he write a book, the book is called, “Thailand: The War that is, the War that will be.” And he says that this is a domino theory. He says that there will be 10 dominoes around this area. So if Cambodia will be, Vietnam will be, Laos will be, and Thailand will be the number four domino. And from Thailand, it will be Burma, it will be Malaysia, Singapore. Small islands like Singapore. So many islands like Indonesia and later, big islands like Australia and even two tiny islands down under. Ten countries will be communist. We are domino number four.

DR: Do you think it’s excusable to kill innocent students in the name of defending the country from communism?

SS: Oh, who kill the students? If the fighting between the military, the military is to defend for the country. Somebody tried to bring communism into our country, it’s up to them. The casualty, you must go to check what had happened.

DR: In 1992, more bloodshed. An estimated 200,000 people took to the streets of Bangkok to protest against the appointment of a military coup leader as prime minister. Unrest escalated — A state of emergency was declared and troops opened fire on crowds. Dozens of people were killed, and thousands arrested. Samak was deputy prime minister at the time. The army eventually retreated, ushering in a period of civilian rule, but the event is forever known as “Black May.”

DR: Again protest against the military government, again your name is linked to the bloodshed that followed. What would you say to that?

SS: I was deputy prime minister for three times, nobody mentioned anything. When I resigned and I run as a governor of Bangkok, oh, it’s a murder with blood in hand, you cannot be governor. So I bring the case to the court. And when the vote come, nobody kept over 1 million, I got 1 million something, why?

DR: But that doesn’t answer the question. Were you involved in 1992?

SS: No. Even any time, I have no involvement. At any time. At any time of…

DR: Your conscience is clear?

SS: If I do something wrong, I cannot come this far. I think my hand is clean and then I can live with it. The people of this country know me, who I am, so I am not afraid. But why they put a stamp on me? Because I don’t like the press. I don’t like the media. I think actually when they talk good to me, they talk good to them. When they put something slash out to me, I just slash back to them. When you punch me, I punch back. There is no written document that says by human feeling that the prime minister should be a good guy, should talk soft…

DR: I mean, are you a good guy? How would you describe yourself?

SS: Somebody must describe me, I cannot describe myself. But for me, if I have something wrong, I cannot come this far. But the hatred of some people, yes, but for me yeah, I don’t hate them, I just feel pity that they have an ill feeling to me.

BLOCK C

DR: Indulging in a lifelong passion, cooking. Samak became a celebrity chef with his show “Tasting while Grumbling” in 2000, extolling the virtues of Thai cuisine and trips to the local market. He immersed himself in the show after losing office during the 2006 coup, but it’s currently off-air since its broadcaster was taken over by Thailand’s previous military-appointed government.

DR: You have a lot of passions in life, not only politics. Cooking is one of your great passions, interests.

SS: Actually I have a normal life. I started with a little bit difficulty family. We cannot say poor, we can manage to earn, but father, mother have nine children, I’m number seven.

DR: So your poor background to start with?

SS: Yeah, poor background, and by this way, I have to select everyone — This one do the cleaning, this one do the washing, I do the cooking at 7 years old. That’s why I cook from that time on, and I think it’s right. And I think cooking is an art, and I have done this until now. So for the family first, and then for my own family afterwards, and then now. Ten years ago, when I was an MP, they give one hour on Saturday evening 5-6, just to talk politics. So I spend about two years, it’s a bore, politics is a bore. I said, politics is a bore, why not we talk about some cooking? So I just start talking about cooking from that time on. I have a book called “Tasting while Grumbling.”

DR: Tasting while grumbling?

SS: It’s about 28 good things to eat. So it’s a good book.

DR: And you’ve had a TV series…

SS: “Cooking While Grumbling,” no “Tasting While Grumbling.”

DR: And will that program come back on air?

SS: Somebody says that as a prime minister, I have time, but you should not do such a thing like that. I said, No. I checked the constitution already, there’s no obstruction with that. But I’ll do something like this, now with my house, the camera would come and talk. So I will talk about any kind of food of thing, and you’re going to do cooking.

DR: Your image is very much a man of the people, very down-to-earth, very outspoken, some would say, acerbic. Would you agree with that?

SS: I always say that a man who speaks from the mind, you can go along with him.

DR: I want to ask you one last question, because we’re running out of time. What about the kind of central theme of much of the criticism against you is simply that you are not statesman material, that there would be better leaders of Thailand than you? For example, Kun Abhisit, the leader of the Democrat Party here. How would you respond to people who say you’re simply not diplomatic enough to be prime minister?

SS: No. No. Why the ambassador came to see me? Ten ambassadors came to see me, I have no position then. Ten came already, now the American ambassador, why? The American embassy here must report who I am. He can come to talk to me.

DR: And would you say that the people like you?

SS: The people, one million vote for me. Why? Because they know who I am. Until now, why when I was the leader of PPP, they say it’s because of Thaksin, it might be for some reason, but you can bring anyone to be the leader, not me. What will happen to the PPP? So it’s a combination, the best of everything that I have done. What they have performed five years ago. But it must be the quality of the leader, like I, who lead the party, so who come this far? So I was accepted by the people everywhere but not the media. This is ok, it’s up to you. You do your duty, I will do mine.

DR: So the country is safe with you?

SS: It must be, and this is my opportunity. Actually to run the country there are all the permanent secretaries of all the military, they have done their job. We are the one just to drive the engine. Now we know how to do that. But one good thing is that, no corrupt. For me, if I corrupt, I cannot come this far. If Thaksin did it, he must go to the court, and you must prove.

DR: What will you say will be your top priority in government?

SS: Just bring the country back to normal. When they staged the coup, United States turned back to us, EC turned back to us, China turned by the side, Japan turned by the side. So now, when we have a government from election, so they must turn back and then everything will come back to normal.

DR: Let’s finish, I know you want to talk about your interest in the naval ships. Tell us about that before…

SS: America has 130 ships like this, 129 sank in the world war. Only one left over to Thailand. United States asked this for 10 years, but my colleagues, he says that it’s better to give back, so the procession have done two months ago, we brought it down to Hong Kong and put it in a dry dock and pull to San Francisco. So you’re returning this ship… to America. Returning the ship and then they will keep the name, Nakha, keep the name. Keep the garuda, it’s a good omen.

DR: On that good omen, I’m afraid we’re going to have to leave it. Thank you very much for talking to us here on Talk Asia. You’re watching CNN. Join us next time.

Source: CNN


Thaksin could return to politics if he clears charges

BANGKOK, Feb. 15 (Xinhua) -- Thailand's Air Force Commander-in-Chief Chalit Pukphasuk, one of the military officers who launched a military coup in 2006, said Friday former Prime Minister Thaksin Shinawatra could return to politics if he clears the charges against him.

During a press conference held on Friday, when asked whether Thaksin could return to the political arena if he is able to clear the legal charges against him, Chalit said "Yes, he can because all Thais can join politics."

He also said Thaksin should return to the kingdom soon to defend himself in court, local news network The Nation reported.

It is the first time for a military officer who involved in the coup said Thaksin could return to politics conditionally after Thaksin was banned from politics for five year by the court in May, 2007.

Just one week ago, Chalit announced the disbandment for Council for National Security (CNS) of Thailand, the real power authority after the coup in 2006, saying since the new government has set up, there was no necessary for the CNS to cling the power.

Source: chinaview.cn


What next for new Thai cabinet?

By Jonathan Head BBC News, Bangkok

The past two years in Thailand have been a strange interlude.

They have seen it knocked off its pedestal as one of Asia's most promising democracies, and revealed deep divisions between those who aligned themselves with populist Prime Minister Thaksin Shinawatra, and those who distrusted his seemingly boundless ambition to reshape Thai politics.
There have been few moments of real drama.

Even the military coup that deposed Mr Thaksin was quickly accepted; normal life resumed after 24 hours.

And after more than a year of shadow boxing between the pro- and anti- Thaksin camps, a democratic government has been restored, with the pro-Thaksin camp once again on top.
So has anything changed, or been resolved?

At first glance, the new cabinet appears to be a dispiriting relapse to the messy and inept coalition politics that led Thailand into the Asian financial meltdown of 1997.

Many of the faces in the new government are in fact very old faces, veterans of previous administrations with little to recommend them except an insatiable appetite for political office.
Others appear to be mere nominees of politicians who either cannot hold office or prefer to stay in the background.

There are four wives, one husband, one younger brother and even one father of more powerful figures present in this cabinet, and a host of other ministers with no obvious qualifications for their jobs.

Thaksin ambitions
This is probably just as the military and royalist figures who mounted the coup would like it.
In their 15 months in power, they failed to dent Mr Thaksin's popularity in rural Thailand, neither proving the allegations of corruption against him, nor providing the better governance they had promised.

But they did manage to get Mr Thaksin and 110 of his key lieutenants banned for five years from holding political office for past electoral abuses - hence the need for less experienced nominees in this cabinet.

They brought in a new constitution which weakens the power of elected prime ministers.
And in their last weeks in office they passed a law limiting the prime minister's influence over military promotions - an influence Mr Thaksin had used to get his own people in key army posts.
All these measures, they hope, will prevent any future elected government from concentrating power in its hands to the degree Mr Thaksin did.

There is little doubt Mr Thaksin still harbours an ambition to run Thailand again, despite his frequent claims that he has given up on politics.

He has clearly chosen many of the new cabinet ministers; in recent weeks key People Power Party (PPP) figures have been seen flying back and forth to Hong Kong, from where Mr Thaksin was monitoring developments in Thailand.

He still has huge sums of money he can call on, although around two billion dollars remain frozen by the courts here - unfreezing it will be one of his first priorities.

Getting the five-year ban on himself and his colleagues lifted is another priority.

He could also use the majority his coalition now has in parliament to push for amendments to the constitution.

He might even push for some kind of retribution against those behind the coup.

They in turn can keep the pressure up on him through the courts, where Mr Thaksin still faces charges of corruption, and by trying to peel members of the coalition away from the PPP. It seems very unlikely that they would try another coup.

Royal influence

The new Prime Minister, Samak Sundaravej, is a possible wild card. Although was appointed by Mr Thaksin to head the PPP, he is an ambitious and independent politician, with strong ties to the military and the monarchy.

He could well defy Mr Thaksin's authority and try to plough his own path on some issues.

So who is it that Mr Thaksin and his loyalists are up against? It is an informal network of top military officers, business figures and bureaucrats who align themselves closely with Thailand's monarchy.

They see Mr Thaksin, a self-made billionaire, as a threat to the established hierarchy in Thailand which is loosely based on proximity to the monarchy.

His most powerful opponent is Prem Tinsulanonda, a former prime minister and army commander who is now the king's most trusted adviser.

Because of tight restrictions on what you can say about the monarchy in Thailand, there is no open debate over this contest, but it amounts to an almost existential struggle over who rules the country in the future.

After more than a dozen military coups and no less than 17 constitutions, Thailand has endured the sort of upheavals which would bring other countries to their knees.

Yet it has enjoyed peace and economic growth for most of the past 50 years.

The reason this system has held together so well is that just about everyone here has agreed to keep the king at its apex, revered and untouched by politics, but still able at times of acute crisis to step in and guide the country to a new compromise between competing groups.

But the king is now 80 years old, his health fragile. There is no blueprint for the succession.
When that moment comes, the rules determining the distribution of wealth and power could change dramatically.

The struggle we are witnessing now, between the pro- and anti-Thaksin camps, is almost certainly fuelled by the knowledge that that moment may not be far away.

Source: BBC


EDITORIAL: Thai politics

02/06/2008

After a prolonged period of uncertainty, Thailand's political situation has finally started moving back toward normal. Samak Sundaravej, head of the People Power Party, which won a plurality of votes in general elections in December, was elected by Parliament as prime minister at the end of last month. A coalition government led by Samak will soon be in place.

Over the past several years, Thailand has been repeatedly rocked by outbursts of discontent because of the strong-arm tactics adopted by former Prime Minister Thaksin Shinawatra. He accumulated massive wealth through his business activities. The political confusion culminated in a military coup in September 2006. It took more than a year for Thailand to return to democratic rule.

We certainly hope the new government will put Thailand firmly back on the path toward true democratization. Given its clout as a key member of the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN), Thailand carries a heavy international responsibility. The country's politicians, generals and people must realize that.

The political situation, however, does not warrant optimism.

Five of the six parties that will take part in the coalition were created by bigwigs of Thaksin's Thai Rak Thai party after he was ousted by the generals who staged the coup. In effect, pro-Thaksin parties managed to take back power from the junta.

During his election campaign, Samak described himself as a proxy of Thaksin. There is no denying that Samak's party won the electoral victory by trading on the former prime minister's popularity and influence.

Even after he went into exile following the coup, Thaksin has continued to attract attention by flexing his financial muscle to buy a British football club and making frequent media appearances. His efforts to avoid sliding into political oblivion have apparently paid off.

Thaksin, who has been indicted on corruption charges, is said to be ready to return to Thailand as early as May to face trial. There is a lot of talk in Bangkok now about whether he will try to stage a political comeback. The world watches his moves.

There is concern that for all the tough talk about restoring democratic rule, the new government will only succeed in restoring the status quo that existed before the coup.

A military coup that subverts democracy cannot be tolerated. But a revival of Thaksin-style politics, which triggered the coup, would amount to nothing more than a step backward.

Thaksin built a huge support base by doling out programs focused on poverty reduction in rural areas while using forceful means to suppress criticism against him. The Thaksin administration was characterized by story after story of political corruption.

It is true that Thaksin remained in power legally by winning a parliamentary majority through elections. But his government faced growing criticism, especially among urban residents, for its money-driven, pork-barrel and iron-fisted politics.

A legion of anti-Thaksin citizen groups mounted anti-government demonstrations. Even King Bhumibol Adulyadej reportedly gave his nod to the military coup. This appears to suggest that the dark sides of Thaksin's rule had become too visible and tangible to be ignored.

The nation's new government must not make the same mistake. It is up to the Thai people to decide whether to welcome Thaksin's return to the nation's political scene. Unless Thailand clearly breaks with the political style that invites military intervention, it will have a hard time trying to regain international trust.

The new government should focus on restoring discipline and stability in politics while taking effective measures to tackle such urgent problems as the wide gap in rural and urban incomes.

The nation needs to march toward political maturity to expel from its political lexicon the term "Thai-style democracy," which means the king is finally asked to step in whenever the situation becomes intractable.

--The Asahi Shimbun


Thai defence minister warns PM not to meddle with military


BANGKOK - OUTGOING Thai defence minister Boonrawd Somtas said on Monday the military would not object to newly elected premier Samak Sundaravej taking over his post, if Mr Samak stays out of security matters.

Mr Samak announced on Sunday that he would become defence minister in his new cabinet, which is expected to be unveiled this week, saying that he wanted to handle contacts with the military personally to avoid another coup.

Mr Samak is a close ally of ousted prime minister Thaksin Shinawatra, who was toppled by the military in a bloodless coup in September 2006.

He would become only the third civilian ever to take the job in Thailand.

Gen Boonrawd told reporters that the military would accept Mr Samak as defence minister, as long as he did not try to interfere in military affairs.

'I am convinced that he has a clear mission for our country and for the military. If he leaves the military alone and lets it take responsibility for security, I think everything will be fine,' he said.

'The military does not want any political interference,' he said.

Gen Boonrawd said that if Mr Samak tried to interfere in military affairs, he could be sacked and jailed.

'Now that the law has taken effect, if the government interferes, it is illegal and punishable, even by sacking or jailing him,' he said.

In the final days before the December 23 elections to restore democracy, the military-appointed parliament rushed through a slate of laws that will severely hamper efforts by Mr Samak to control the military.

One new law specifically bars the prime minister and the defence minister from conducting military reshuffles, leaving decisions on top posts within the armed forces firmly in the hands of the generals.

Mr Samak told reporters on Sunday that he would not try to circumvent the law, but said he would force the generals to explain their decisions in the annual reshuffles.

'I will not interfere in the reshuffles, but at the same time I will not automatically sign off on them. The army has to explain why people are suitable for their posts,' he said. -- AFP

Source: Straits Times


U.S. congratulates new Thai PM

WASHINGTON, Feb. 4 (Xinhua) -- U.S. President George W. Bush telephoned Thai Prime Minister Samak Sundaravej on Monday to congratulate him on becoming prime minister, White House spokeswoman Dana Perino said.

"They briefly discussed the importance of U.S.-Thai relations, and President Bush said he looks forward to seeing the Prime Minister in the future," she told reporters.

Thailand's newly elected House of Representatives or Lower House in late January voted People Power Party (PPP) leader Samak Sundaravej as the country's new prime minister.

Samak, 72, is an outspoken veteran politician. He is Thailand's25th prime minister after the military top brass toppled the former elected government led by Thaksin Shinawatra in a military coup on September 19, 2006 and appointed an interim government led by a retired general Surayud Chulanont.

The United States has been in good relations with Thailand, which is believed a key U.S. diplomatic and non-NATO ally.


ประธานาธิบดีบุชกล่าวแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย

โฆษกทำเนียบขาวเผย ผู้นำสหรัฐโทรศัพท์แสดงความยินดีกับสมัคร นายกฯคยใหม่ของไทย
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานอ้างคำกล่าวของ ดานา เปริโน โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชของสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดีกับนายสมัคร สุนทรเวช ในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนใหม่ของไทย โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความสำคัญในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างคร่าวๆ ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้แสดงความหวังว่าจะได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรี ของไทยในอนาคต

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานด้วยว่า พรรคพลังประชาชนของนายสมัครชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งทำให้ประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีผู้นำเป็นพลเรือนอีกครั้ง หลังการรัฐประหารโค่นล้มอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เมื่อเดือนกันยายนปี 2006 ขณะที่ก่อนหน้านี้นายสมัครได้ประกาศตัวเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างชัดเจน พร้อมให้คำมั่นว่าจะนำอดีตนายกฯ ของไทยกลับประเทศไทยหลังลี้ภัยอยู่ในอังกฤษในช่วงที่ผ่านมา.
------------------------

อ่านข่าวนี้แล้วก็รู้สึกเรียกรอยยิ้มให้กับผู้เขียนได้ยิ้มกว้างๆอีกครั้งค่ะ... หลังจากที่ประเทศไทยต้องตกอยู่ภายใต้สถานการณ์รัฐประหารมายาวนานถึง 16 เดือนเต็ม เป็นที่อับอายขายหน้าไปทั่วโลก - โลกในยุคศตวรรษที่21 ที่ประชาธิปไตยได้รับการยอมรับและเชิดชูว่าเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุดในโลก - โลกในยุคศตวรรษที่ 21 ที่การปฏิวัติรัฐประหารถือเป็นสิ่งที่แปลกปลอมและน่ารังเกียจเดียจฉันท์ในประชาคมโลก เพราะสถานการณ์การเมืองโลกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอุดมการณ์ทางการเมืองประชาธิปไตย เป็นความหวังของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามในการที่จะสร้างกรอบทางการเมืองที่ให้มนุษย์แก้ปัญหาด้วยเหตุผลในรัฐชาติตน การยึดอำนาจการปกครองมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยการปฏิวัติรัฐประหารจึงเท่ากับเป็นการทำลายความเชื่อที่ว่าการแก้ปัญหาทางการเมืองที่เป็นอารยะต้องดำเนินไปสันติภาพและยึดหลักในอำนาจอธิปไตยของปวงชน

และย่อมเป็นธรรมดาค่ะที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชจากพรรครีพลับลิกันในฐานะผู้นำอเมริกันที่ยืนหยัดในนโยบายส่งเสริมเสรีภาพและประชาธิปไตยในฐานะเมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง( seeds of hope) ในการส่งเสริมสันติภาพโลก โดยเน้นการต่อสู้กับระบอบเผด็จการซึ่งถือว่าไม่ชอบธรรมอันเป็นแก่นสำคัญของพรรคอนุรักษ์นิยมอเมริกันและรัฐบาลบุชแต่ไหนแต่ไรมา จนมาถึงสงครามอิรัคโค่นล้มเผด็จการซัดดัม ฮุสเซ็นเพื่อเสริมสร้าง “ประชาธิปไตยในตะวันออกกลาง” อันเป็นสุดยอดอาวุธที่ผู้ก่อการร้ายอย่างมือขวาของบินลาเดนมีความประหวั่นพรั่นพรึงถึงกับกล่าวว่า “ประชาธิปไตยคือปีศาจร้าย” จะต่อสายแสดงความยินดีกับนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างท่านนายกฯสมัคร สุนทรเวช เพราะเป็นการพิสูจน์ให้ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ท่านบุชอย่างหนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเห็นประจักษ์ชัดถึงคำพูดที่ประธานาธิบดีบุชได้เคยพูดไว้อย่างชัดเจนว่า


"Freedom is not America's gift to the world, it is the Almighty God's gift to every man and woman in this world." -- George W. Bush

"เสรีภาพหาใช่ของขวัญที่อเมริกามอบให้กับโลกแต่ เสรีภาพคือของขวัญอันล้ำค่าที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้กับมนุษย์ชาย-หญิงทุกคนบนโลกนี้ต่างหากเล่า" -- จอร์จ บุช


นั้นเป็นจริงเสมอ

เพราะที่ผ่านมาท่านบุชมักจะถูกนักวิจารณ์การเมืองที่ต่อต้านสงครามอิรัคทั้งในและนอกบ้านตนโจมตีอยู่เสมอว่า “รัฐบาลอเมริกันชอบยัดเยียดประชาธิปไตยให้กับประเทศอื่น” ซึ่งหากเรามองด้วยใจที่ปราศจากอคติ หรือ มองประวัติศาสตร์การเมืองที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ชัดเจนว่า สถานการณ์โลกมีความเปลี่ยนแปลง มีความท้าทายใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในลักษณะที่เป็นไดนามิค จาก feudal obligation มาเป็น representative institutions หรือจาก ภัยคอมมิวนิสต์(เผด็จการ) มาเป็น ภัยจากการก่อการร้าย(ถือเป็นเผด็จการอีกรูปแบบหนึ่ง) แต่ "เสรีภาพและประชาธิปไตย" ที่เหล่าผู้เผด็จการหวาดกลัวหาใช่ของขวัญที่อเมริกายัดเยียดให้กับประชาคมโลกไม่ แต่เสรีภาพและประชาธิปไตยเป็น "คุณค่าสากล" ที่มนุษย์ทุกคนพึงปรารถนา ดังที่บุชกล่าวว่า เสรีภาพคือของขวัญอันล้ำค่าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ชาย-หญิงทุกคนบนโลกนี้ นั่นเอง

ระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่มีค่าและพึงปรารถนาสำหรับประชาชนทุกแห่งในโลก ดังประจักษ์ชัดให้เห็นชัดเจนแล้วที่ “ประเทศไทย” หลังเกิดรัฐประหาร 19 กันยา ที่อเมริกามิได้เข้ามาแทรกแซงหรือยัดเยียดความเป็นประชาธิปไตยให้แก่คนไทย แต่คนไทยส่วนใหญ่อยากเห็นการหวนคืนของระบอบประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศไทยด้วยตนเองเป็นสำคัญ ซึ่งก็ไม่ต่างจาก ที่เราได้เห็นพัฒนาการทางการเมืองในตะวันออกกลาง เช่นการเดินขบวนขับไล่ผู้นำของเลบานอน การเลือกตั้งในอียิปต์ การปฎิรูประบบการเมืองในซาอุดีอาระเบีย การเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า และการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของชาวปากีสถานและการเลือกตั้งในอิรัคที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ แม้การเลือกตั้งจะไม่ได้แปลว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะสิ้นสุดลงในชั่วพริบตาแต่มันก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า กำลังมีประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามหลักรัฐธรรมนูญในใจกลางดินแดนตะวันออกลางเกิดขึ้นและการเลือกตั้งที่ผ่านมาหมายความว่าประชาคมโลกได้มีพันธมิตรที่เข้มแข็งในการร่วมกันต่อสู้กับการก่อการร้ายเกิดขึ้นแล้ว

ซึ่งก็เป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้นทุกวันว่าความรุนแรงในอิรัคได้ลดลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาหลังจาก Bush's Surge Strategy ถูกนำไปใช้จนเห็นผลทันตา ลิเบอร์รัลมีเดียแทบไม่มีการเสนอข่าวในอิรัคให้ได้เล่นโจมตีรัฐบาลบุชเหมือนเช่น2-3 ปีที่ผ่านมา ที่แม้กระทั่งในตอนนี้ฝ่ายที่ต่อต้าน Bush's Surge Strategy ต้องเงียบเสียงลงและเน้นมาให้ความสำคัญในประเด็นเรื่อง "เศรษฐกิจ" แทนในช่วงการรณรงค์หาเสียงของผู้สมัครเพื่อชิงชัยเป็นตัวแทนพรรคในการลงสู้ศึกเลือกตั้งทั่วไปเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนี้

จึงเป็นที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าประธานาธิบดีบุชย่อมให้ความสำคัญกับการหวนคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยครั้งนี้ของไทย และนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะมันเป็นแก่นของแนวความคิดอนุรักษ์นิยมอเมริกันและเป็นสิ่งที่บุชต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่โจมตีเขาเรื่องแนวคิดการส่งเสริมประชาธิปไตยทั่วโลกตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา

เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย เห็นพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมฯที่ออกมาล่าสุด ยิ่งตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่าพ.ร.บ. ฉบับนี้คือ บทพิสูจน์หนึ่งของการปรากฏตัวของ 'อำนาจที่4'
แม้นว่าในตอนนี้ประเทศไทยจะมีรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้วแต่ก้าวถัดไปที่ผู้เขียนอยากจะเห็นและคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คนไทยไม่ควรลืมก็คือ “การเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปกองทัพขนานใหญ่” หลักความสูงสุดของพลเรือนเหนือทหาร (Supremacy of Civilian over Military Personnel) อย่างในประเทศที่มีประชาธิปไตยเข้มแข็งควรจะถูกผลักดันให้นำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของไทยซึ่งสมควรที่รัฐธรรมนูญไทยจะรับรองหลัก “พลเรือนเหนือทหาร” ด้วย เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกให้แก่วงการทหารว่า ทหารไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง แนวโน้มที่กองทัพไทยจะบ่ายหน้าพัฒนากองทัพไปสู่การเป็น “ทหารอาชีพ” และ “ทหารของประชาชน” จะค่อยๆพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ที่หลัก“ความสูงสุดของพลเรือนเหนือทหาร” ได้หยั่งรากลึกลงในวัฒนธรรมการเมืองของประเทศเกาหลีใต้ในชั่วเวลาเพียงสองทศวรรษ

เพราะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาประเทศไทยมีการปฏิวัติรัฐประหารรวมทั้งหมดประมาณ 17 ครั้งเฉลี่ยแล้วทำการรัฐประหาร 4 ปีครั้ง เห็นได้ชัดว่าการเมืองไทยไม่เคยสลัดอำนาจของทหารพ้นไปได้เลย การเมืองไทยไม่พัฒนาก็เพราะทหารชอบทำตัวเป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติมาฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทุกครั้งอยู่ร่ำไปนั่นเอง