Spiga
Showing posts with label John McCain. Show all posts
Showing posts with label John McCain. Show all posts

ประธานาธิบดีบุชกล่าวแสดงความยินดีต่อชัยชนะของบารัค โอบามา



President Bush Discusses Presidential Election
Rose Garden

10:20 A.M. EST

THE PRESIDENT: Good morning. Last night, I had a warm conversation with President-elect Barack Obama. I congratulated him and Senator Biden on their impressive victory. I told the President-elect he can count on complete cooperation from my administration as he makes the transition to the White House.

I also spoke to Senator John McCain. I congratulated him on a determined campaign that he and Governor Palin ran. The American people will always be grateful for the lifetime of service John McCain has devoted to this nation. And I know he'll continue to make tremendous contributions to our country.

No matter how they cast their ballots, all Americans can be proud of the history that was made yesterday. Across the country, citizens voted in large numbers. They showed a watching world the vitality of America's democracy, and the strides we have made toward a more perfect union. They chose a President whose journey represents a triumph of the American story -- a testament to hard work, optimism, and faith in the enduring promise of our nation.

Many of our citizens thought they would never live to see that day. This moment is especially uplifting for a generation of Americans who witnessed the struggle for civil rights with their own eyes -- and four decades later see a dream fulfilled.

A long campaign has now ended, and we move forward as one nation. We're embarking on a period of change in Washington, yet there are some things that will not change. The United States government will stay vigilant in meeting its most important responsibility -- protecting the American people. And the world can be certain this commitment will remain steadfast under our next Commander-in-Chief.

There's important work to do in the months ahead, and I will continue to conduct the people's business as long as this office remains in my trust. During this time of transition, I will keep the President-elect fully informed on important decisions. And when the time comes on January the 20th, Laura and I will return home to Texas with treasured memories of our time here -- and with profound gratitude for the honor of serving this amazing country.

It will be a stirring sight to watch President Obama, his wife, Michelle, and their beautiful girls step through the doors of the White House. I know millions of Americans will be overcome with pride at this inspiring moment that so many have awaited so long. I know Senator Obama's beloved mother and grandparents would have been thrilled to watch the child they raised ascend the steps of the Capitol -- and take his oath to uphold the Constitution of the greatest nation on the face of the earth.

Last night I extended an invitation to the President-elect and Mrs. Obama to come to the White House. And Laura and I are looking forward to welcoming them as soon as possible.

Thank you very much.

END 10:23 A.M. EST

Whitehouse


สุนทรพจน์ของผู้พ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ จอห์น ซิดนี่ย์ แมคเคน

การต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงได้แสดงให้คนทั่วโลกเห็นแล้วเมื่อวานนี้ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อผู้นำพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายแพ้อย่างจอห์น แมคเคน ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันได้แสดงสิปิริตของการเป็นนักการเมืองออกมากล่าวยอมรับความพ่ายแพ้และบอกกับผู้สนับสนุนที่ยืนฟังสุนทรพจน์ของเขาอยู่ให้สนับสนุนบารัค โอบามาและโจเซฟ ไบเดน คู่หูชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเพื่อให้อเมริกาสามัคคีอย่างแข็งขันภายหลังได้ผู้นำทำเนียบขาวคนใหม่และกล่าวปิดท้ายสุนทรพจน์ด้วยประโยคที่กินใจว่า:

“We never hide from history. We make history.”
“เราไม่เคยหลบซ่อนตัวจากประวัติศาสตร์ หากแต่เราสร้างประวัติศาสตร์”




ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนต้องเสียน้ำตาอีกวาระหนึ่งให้กับผู้ที่ตนสนับสนุนอีกครั้งแม้การเสียน้ำตาครั้งนี้จะต่างกับเมื่อสี่ปีที่แล้วเพราะเป็นน้ำตาแห่งความเศร้าเสียใจก็ตามแต่ความภูมิใจในฐานะผู้ให้การสนับสนุน พรรคของอับราฮัม ลินคอล์น แห่งนี้ไม่เคยเหือดแห้งและจางหายแม้รีพับลิกันในปี2008 จะแวดล้อมด้วยความไม่เป็นมิตรจากสื่อกระแสหลักและฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าปัญญาชนเสรีนิยมก็ตามเพราะตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมารีพับลิกันก็ไม่เคยได้รับดอกไม้ที่แสดงถึงความมีน้ำใจเป็นนักกีฬาแม้ผู้ที่ทำงานด้วยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอย่างประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช จะทำเพื่อคนอเมริกันมากเพียงใดก็ตามแต่พวกเขาก็จะชี้นิ้วและโยนความผิดมาให้ท่านอย่างไร้ความปราณีการเมืองมันเป็นเรื่องโหดร้ายแบบนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองอเมริกันหรือการเมืองไทย เพียงแต่ความต่างมันอยู่ที่ว่าการเมืองอเมริกันต่อสู้กันในระบอบประชาธิปไตยแต่การเมืองไทยต่อสู้กันโดยมี “ประชาธิปไตย” และ “เผด็จการ” เป็นเดิมพัน

แต่ในวันนี้ประธานาธิบดีบุชท่านเป็นชายที่มีความสุขที่สุดแล้วเพราะหมดภาระหน้าที่ที่ได้ทำมาตลอด 8 ปีแล้วไม่ต้องแบกภาระอันหนักอึ้งไว้บนบ่าในการรับใช้ประชาชนและปกป้องประเทศชาติอีกต่อไป

ก็เป็นหน้าที่ของประธานาธิบดีคนใหม่ที่จะต้องแสดงให้ประชาชนและชาวโลกเห็นว่า เขาเป็นประธานาธิบดีที่เข้มแข็งและสร้างผลงานได้ดีกว่า จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ผู้ที่เขาใช้เป็นจุดโจมตีตลอดการหาเสียงที่ผ่านมา การเดินทางของกาลเวลานั้นมันไม่ช้าหรอกและในอนาคตไม่ไกลจากนี้กาลเวลาจะพิสูจน์เองว่าเขาจะเป็น “ผู้เปลี่ยนแปลงโลก” หรือ “โลกจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลง” เขา

เพราะเมื่อ 8 ปีที่แล้วเหตุการณ์ 11 กันยาฯได้ "change" อเมริกาและ "change" โลกใบนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

จอห์น แมคเคนเมื่อคืนวันที่ 4 ที่ผ่านมาเป็นห้วงเวลาที่เขาเป็นตัวเขาเองมากที่สุดนี่แหละจอห์น แมคเคน วีรบุรุษอเมริกัน เขากล่าวสุนทรพจน์ได้อย่างสง่างามมาก

ไม่รู้ว่าจอห์น แมคเคนจะสังเกตุเห็นหรือเปล่าว่ามีผู้หญิงวัยรุ่นอยู่ 2-3 คนในกลุ่มผู้ฟังแถวเวทีเริ่มร่ำให้ ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นทีมงานหาเสียงที่ยืนอยู่ใกล้เวทีไม่สามารถระงับเสียงสะอื้นของเธอออกมาด้วยความเสียงดังได้ จนกลุ่มผู้ฟังต้องหันหน้าหันหลังมองรอบตัวว่าเสียงมาจากไหน ด้วยกังวลว่าเสียงร้องให้อย่างหนักของเธออาจทำให้แมคเคนได้ยินได้แต่ดูเหมือนแมคเคนไม่ได้สังเกตุ แถลงการณ์ยอมรับความพ่ายแพ้ของแมคเคนนั้นยอดเยี่ยมมากและเขาส่งมันออกไปได้อย่างตรึงใจต่อผู้ฟังที่อยู่หน้าสนามหญ้า Biltmore hotel ฟีนิกซ์ อริโซน่าและทางหน้าจอทีวี

และผู้เขียนก็เข้าใจความรู้สึกที่มีผู้สนับสนุนบางคนส่งเสียง Boo! ออกมาเมื่อแมคเคนพูดถึงโอบามาเพราะการต่อสู้ครั้งนี้มันเป็นการต่อสู้กันด้วยการตอบโต้ข้อมูลด้านลบออกมาโจมตีกันซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย บารัค โอบามามิได้เป็นผู้ถูกกระทำเสมอไปอย่างที่ออกตามหน้าสื่อ แต่แมคเคน-เพลินเองก็ตกเป็น “เป้าสังหาร” ของโอบามาแคมเปญผนึกกำลังกับลิเบอร์รัลมีเดียที่เป็นกองหนุนอยู่ข้างหลังด้วยจำนวนที่มากกว่าเท่าตัวอย่างเทียบไม่ติดตั้งแต่วันเปิดตัวซาร่าห์ เพ-ลินแล้ว

รีพับลิกันในวันนี้อาจพ่ายแพ้แต่อีก 4 ปีข้างหน้าเราจะกลับมาสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง ไม่แน่อีก 4 ปีข้างหน้าเราอาจจะได้เห็น “อเมริกันเชื้อสายอินเดีย” เป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ด้วยวัยเพียง 40 ปีก็เป็นได้

คำปราศรัยยอมรับความพ่ายแพ้ ของวุฒิสมาชิกแม็คเคน
November 6, 2008

มิตรสหายของผม, เรามาถึงจุดสิ้นสุดของการผจญภัยอันยาวนาน คนอเมริกันได้พูดออกมาแล้ว และพวกเขาพูดอย่างชัดเจน เมื่อสักครู่นี้ ผมได้โทรศัพท์เพื่อเป็นเกียรติแด่วุฒิสมาชิกโอบามา เพื่อแสดงความยินดีกับเขา เต็มใจยินดีกับเขาในฐานะที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของประเทศที่เราทั้งคู่รัก

ในการแข่งขันที่ยากลำบากและยาวนาน ดังที่การรณรงค์ครั้งนี้ได้ดำเนินไป ไม่เพียงแต่ความสำเร็จของเขาเพียงประการเดียว ที่ทำให้ผมต้องยอมรับในความสามารถและความอุตสาหะของเขา แต่ยังเป็นความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจในการให้ความหวังแก่คนอเมริกันนับล้าน ซึ่งครั้งหนึ่งได้เชื่ออย่างผิดๆว่า พวกเขามีส่วนเพียงเล็กน้อย หรือมีบทบาทเพียงเล็กน้อยต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นี่เป็นอะไรที่ผมรู้สึกเลื่อมใสจากส่วนลึก และชื่นชมสิ่งที่เขาได้ทำไป
นี่เป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ และผมจดจำความหมายพิเศษในฐานะแอฟริกัน-อเมริกัน และสำหรับความภาคภูมิใจเป็นพิเศษที่ตกเป็นของพวกเขาในค่ำคืนนี้

ผมเชื่อเสมอว่าอเมริกาได้ให้โอกาสแก่ทุกคนที่เป็นเจ้าของอุตสาหกรรม และผู้ที่สร้างมันขึ้นมา วุฒิสมาชิกโอบามาก็เชื่อเช่นนั้นด้วยเช่นกัน แต่เราทั้งคู่ก็จดจำได้ว่าเราได้เดินทางอย่างยาวไกลจากความอยุติธรรมในอดีต ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำให้ชื่อเสียงชาติเรามัวหมอง และปฏิเสธคนอเมริกันบางคนจากการได้รับการอวยพรให้เป็นพลเมืองอเมริกันเต็มตัว ความทรงจำเหล่านั้นยังคงมีพลังที่ทำให้เกิดบาดแผลได้

ร้อยปีก่อน ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ได้เชิญให้ บู๊คเกอร์ ที วอชิงตัน (Booker T. Washington, นักการศึกษาและผู้นำสิทธิมนุษยชนอเมริกันผิวดำ ในวัยเด็กเขาเคยเป็นทาสมาก่อน — ผู้แปล) ไปเยี่ยม เพื่อรับประทานอาหารค่ำที่ทำเนียบขาว เรื่องตอนนั้นเป็นที่โกรธแค้นเป็นเวลานานนับเดือน อเมริกาในวันนี้เป็นโลกที่ห่างไกลจากความโหดร้าย และความทรนงในความรั้นอันไม่มีเหตุผล จากเวลานั้นมากนัก ไม่มีอะไรที่จะเป็นประจักษ์พยานได้ดียิ่งกว่าการเลือกคนแอฟริกัน-อเมริกันให้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา มันจะไม่มีเหตุผล มันจะไม่มีเหตุผลในตอนนี้เลยสำหรับคนอเมริกัน ที่จะไม่ชื่นชมความเป็นพลเมืองของประเทศนี้ ชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพิภพ


ปัจจัยที่เอื้อโอกาสให้โอบามามีชัยเหนือแมคเคน

วันนี้วันที่ 4 พฤศจิกายนเป็นวันเลือกตั้งสหรัฐ ไม่ว่าใครได้เป็นประธานาธิบดีในวันนี้จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการเมืองอเมริกันไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก หรือ ประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดหรือรองประธานาธิบดีหญิงตนแรกของอเมริกา

เหลืออีกเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมงก็จะปิดหีบการเลือกตั้งแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้ส่วนตัวผู้เขียนในฐานะอิงการเมืองอนุรักษ์นิยมและรักรีพับลิกันไม่เสื่อมคลายขอสนับสนุนจอห์น แมคเคนนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐต่อจากประธานาธิบดีบุชแม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็น Democratic Year โอกาสที่แมคเคนจะเอาชนะโอบามาไม่มากก็ตามแต่เพื่อให้อุดมการณ์ของ conservatism ได้ถูกนำมาปฎิบัติใช้ในรูปของนโยบายเพื่อสนองตอบชาวอนุรักษ์นิยม อย่างไรเสียวันนี้ก็ต้องลุ้นแมคเคนเพราะยังไงแมคเคนก็ยังเป็นกระแสหลักอนุรักษ์นิยมอยู่

ยอมรับว่าจริตทางการเมืองของผู้เขียนนั้นกลืนอดุมการณ์เสรีนิยม(Liberal) และนโยบายของเดโมแครตไม่ลงจริงๆ โดยเฉพาะทัศนคติของพวกสื่อและนักวิชาการหัวเสรีนิยมสุดโต่งที่สนับสนุนเดโมแครตนั้นหากเทียบกับการเมืองไทยแล้ว ไม่ต่างจากสื่อและพวกนักวิชาการไทยหัวเสรีนิยมที่ส่วนใหญ่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ยังไงยังงั้น นักวิชาการไทยหัวเสรีนิยมพวกนี้ยังต้องเรียก “นักวิชาการหัวเสรีนิยมสุดโต่งในอเมริกา” ว่า “พี่” เลยแหละ แต่สิ่งที่ต่างกันคือ การเมืองในอเมริกาเป็นการต่อสู้กันในระบอบประชาธิปไตยและฝ่ายที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งยอมรับผลที่ออกมา แม้จะมีพวกไม่เคารพการตัดสินใจของคนส่วนใหญ่อยู่บ้างก็ตามแต่ก็ไม่ได้จัดการประท้วงยืดเยื้อเพื่อล้มฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งเหมือนที่เมืองไทยแต่อย่างใดแต่เลือกอพยพไปอยู่แคนาดาแทน :D มีให้เห็นมาแล้วที่พวกเชียร์เดโมแครตผิดหวังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2000 และ 2004 ทำใจไม่ได้และร้องให้คร่ำครวญอยากย้ายไปอยู่แคนาดา บางคนก็ทำจริงแต่บางคนก็พูดเฉยๆ

การต่อสู้ทางการเมืองของสหรัฐอเมริกานั้นเป็นการต่อสู้กันทางอุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ และเป็นสงครามวัฒนธรรมด้วยคือเป็นการต่อสู้ระหว่าง

คนเมืองรวมไปถึงพวกชนกลุ่มน้อย ดาราฮอลลีวู้ดอีโก้สูง นักวิชาการหัวเสรีนิยมที่ส่วนใหญ่จะสิงสถิตย์อยู่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆในอเมริกาและสื่อกระแสหลัก(ยกเว้นฟ็อกซ์ นิวส์) ที่นิยมพรรคเดโมแครต
VS.
คนชนบทในเมืองเล็กที่ไม่มีทั้งสื่อกระแสหลักและนักวิชาการในมหาวิทยาลัยเป็นพวกสนับสนุนแข็งขันที่นิยมพรรครีพับลิกัน


คำพูดที่ผู้เขียนมักจะได้ยินออกมาจากปากของพวกเสรีนิยมสุดโต่งที่นิยมพรรคเดโมแครตนั้นจะออกไปในแนวทางที่เป็นลบอย่างมากกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมเป็นต้นว่า

พวกอนุรักษ์นิยมบ้าศาสนา งมงายในศาสนาต่อต้านวิทยาศาสตร์
พวกอนุรักษ์นิยมส่วนใหญ่ที่เลือกรีพับลิกัน การศึกษาน้อย และไง่
พวกอนุรักษ์นิยมบ้าสงคราม
พวกอนุรักษ์นิยมชอบลดภาษีให้กับคนรวย ไม่สนใจชนชั้นกลาง
พวกอนุรักษ์นิยมเป็นพวกเหยียดผิว
พวกอนุรักษ์นิยมส่วนใหญ่เป็นพวกบ้านนอก
รีพับลิกันชอบโกงการเลือกตั้ง
และอื่นๆอีกมากมาย

ความคิดเห็นและประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เห็นได้ตามเว็บไซท์ บล็อคหรือเว็บบอร์ดทั้วไปของพวกหัวเอียงซ้ายหรือหัวเสรีนิยมในอเมริกานี่คือความคิดเห็นของพวก “เสรีนิยมสุดโต่ง” คือ มองว่าตัวเองเรียนสูง เก่ง ฉลาด อยู่ฝ่ายเดียวแต่คนที่เลือกพรรครีพับลิกันนั้น “โง่” และ “ไม่ถูก” ทั้งหมด

ข้อกล่าวหาที่มีต่ออนุรักษ์นิยมจากปากของพวกเสรีนิยมสุดโต่งที่ผู้เขียนลิสต์มาให้ดูข้างต้นนั้นไม่ใช่เป็นความคิดเห็นของอเมริกันชนส่วนใหญ่ หากอเมริกันชนส่วนใหญ่คิดแบบนี้ทั้งหมดเราคงไม่ได้เห็นประธานาธิบดีที่มาจากรีพับลิกันเป็นแน่แท้

การเลือกตั้งประธานาธิบดีแทบทุกครั้งที่ผ่านมาจะมีจำนวนคนที่ลงทะเบียนเป็นเดโมแครตมากกว่ารีพับลิกันมากแต่นั่นไม่ได้การันตีว่าเดโมแครตจะเป็นฝ่ายชนะเสมอไปเพราะเมื่อครั้งที่รีพับลิกันชนะการเลือกตั้งจำนวนคนที่ลงทะเบียนสังกัดเดโมแครตก็มากกว่ารีพับลิกันมาตลอด แต่หากถามว่าเป็นอนุรักษ์นิยมหรือลิเบอร์รัลคนอเมริกันส่วนใหญ่จะบอกว่าตนเป็นอนุรักษ์นิยมมากถึง 57 % ขณะที่มีเพียง 37% เท่านั้นที่บอกว่าตัวเองเป็นลิเบอร์รัล

โดยธรรมชาติแล้ว คนอเมริกันส่วนใหญ่เป็น center-right

แต่กระนั้นก็ตาม การเลือกประธานาธิบดีแต่ละครั้งมันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและสถานการณ์ด้วยเพราะบางครั้งวิกฤต หรือ สถานการณ์ก็สามารถสร้างความได้เปรียบให้กับผู้สมัครคนนั้นเช่นกัน ต้องบอกว่าในปีนี้บารัค โอมาบาโชคดีที่เกิดวิกฤตการเงินในอเมริกาก่อนจากที่คะแนนนิยมของเขายังไล่ตามแมคเคนอยู่ก็เบียดแซงหน้าไปได้เพราะวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นแค่ 4 สัปดาห์ที่ผ่านมานั่นเองหากไม่มีวิกฤตการเงินเกิดขึ้นในครั้งนี้ โอกาสที่โอบามาจะเอาชนะแมคเคนไปแบบง่ายๆนั้นแทบเป็นศูนย์

ด้วยเหตุนี้หากให้ผู้เขียนสรุปปัจจัยในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมาที่ทำให้โอบามาได้เปรียบแมคเคนอยู่มากคือ

1. ปัญหาวิกฤตการเงินในวอลสตรีทที่เมนสตรีทได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้นความรู้สึกของประชาชนคือ ต้องลงโทษพรรคที่เป็นรัฐบาลไว้ก่อนแม้ในสภาฯคองเกรสที่เป็นฝ่ายนิติบัญญ้ติและเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาฯจะมีบทบาทสำคัญมากที่สุดในการรับผิดชอบวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ตาม แต่การกล่าวโทษฝ่ายบริหารนั้นง่ายที่สุด ตรงนี้ไม่จำเป็นว่ารัฐบาลที่มาจากพรรครีพับลิกันต้องถูกกล่าวโทษเสมอไป หากรัฐบาลชุดปัจจุบันมาจากพรรคเดโมแครตพวกเขาก็ต้องตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากเช่นกัน เพราะประว้ติศาสตร์การเมืองอเมริกันพิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว

แต่ที่น่าสนใจที่คนนิยมเดโมแครตต้องกลับไปถามตัวเองคือ ที่โอ่ว่า บิล คลินตัน บริหารประเทศดี เศรษฐกิจดี เหตุใด อัลเบิร์ต กอร์ จึงไม่สามารถเอาชนะจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช จากพรรครีพับลิกันไปได้อย่างขาดลอยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2000 ในทางตรงกันข้ามยังแพ้ให้กับท่านบุชเสียด้วยซ้ำ

หากบิล คลินตันบริหารประเทศได้เยี่ยมยอดจริงตามคำกล่าวยกยอของพวกเดโมแครตและลิเบอร์รัล มีเดียในอเมริกาเชียร์อย่างสุดลิ่มทิ้มประตู ทำไมผลงานของเขาจึงไม่ทำให้กอร์ได้รับอานิสงค์สามารถเอาชนะจอร์จ บุชไปได้อย่างถล้มทลายในปีนั้น?

2. ทุนทรัพย์ เรียกว่าในปีนี้โอบามามีทุนทรัพย์ในการหาเสียงเลือกตั้งมากกว่าแมคเคนหลายเท่าตัวอันเป็นผลมาจากการแข่งขันในระดับไพรมารีที่ยาวนานของพรรคเดโมแครตด้วยนั่นเอง โอบามาใช้เงินในการหาเสียงครั้งนี้มากกว่าแมคเคนเกือบ 4 เท่าตัว

3. McCain Campaign นั้นไม่เก่งและทำงานได้มีประสิทธิภาพไม่เท่าแคมเปญของโอบามา ต้องยอมรับว่าโอบามาบริหารแคมเปญได้เก่งกว่าแมคเคนและทำผิดพลาดน้อย รวมไปถึงกองทัพสื่อที่ให้สัญญาณไฟเขียวให้โอบามาผ่านตลอดในขณะที่แมคเคน-เพลิน ต้องเจอไฟอแดงอยู่ทุกสี่แยก แต่การที่บริหารแคมเปญมีประสิทธิภาพไม่ได้หมายความว่านี่คือ “หลักฐาน” ที่พิสูจน์ว่าจะสามารถเป็นประธานาธิบดีได้และไม่ได้บอกว่าการบริหารแคมเปญเก่งจะเป็นประธานาธิบดีที่ดีได้

ที่ผู้เขียนเห็นผลงานชัดๆของโอบามาที่สร้างความประทับใจมีอยู่แค่สองอย่างคือ 1.บริหารแคมเปญได้มีประสิทธิภาพ และ 2.บรรยายชีวประวัติตัวเองลงในหนังสือ เป็นการสร้างภาพปูทางเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไว้ก่อนนั่นเอง

เพราะจริงๆแล้วเรื่องเศรษฐกิจและIdeology ของโอบามามีจุดอ่อนให้โจมตีเยอะแยะโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพความเป็นเสรีนิยมและนโยบายเศรษฐกิจที่ออกไปในทางสังคมนิยมของเขา แต่น่าเสียดายว่า McCain Campaign เพิ่งมามองเห็นก็เมื่อช่วงใกล้เลือกตั้งแล้ว จริงๆแล้วหาก McCain Campaign ยอมฟังคำแนะนำของบิล คริสตัลมากสักนิด พวกเขาคงไม่อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองขนาดนี้

4. แมคเคนผิดพลาดที่พยายามหาเสียงโดยยืนระยะห่างจากประธานาธิบดีบุช ตรงกันข้ามสิ่งที่เขาต้องทำคือ ต้องทำให้นโยบายบริหารของบุชนั้นได้รับความนิยมและสานต่อต่อไป เพราะนโยบายการบริหารของบุชโดยรวมแล้วคือแก่นสำคัญของ conservatism แมคเคนนั้นมีจุดยืนหลายอย่างที่ต่างจากบุชซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฐานเสียงรีพับลิกันไม่สนับสนุนเขามากเท่ากับสมัยบุชเมื่อ 4 ปีที่แล้วและเรามองย้อนกลับไปดูผู้ที่โหวตให้แมคเคนในรอบไพรมารี่นั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ออกเสียงอิสระและเดโมแครต แต่มิท รอมนีย์ และฮัคคาบีคือผู้ที่ได้เสียงจากอนุรักษ์นิยมมากที่สุด

หากแมคเคนต้องการมีชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ แคมเปญของเขาไม่ควรยืนระยะห่างจากนโยบายของบุชทุกเรื่องเพราะนโยบายส่วนใหญ่ของบุชคือแก่นกลางของอนุรักษ์นิยม การที่จะชนะเลือกตั้งให้ได้นั้นอย่างแรกคุณต้องยึดฐานเสียงอนุรักษ์นิยมไว้ก่อนแล้วจึงค่อยเอื้อมไปหาผู้ออกเสียงอิสระเพราะธรรมชาติของผู้ออกเสียงอิสระนั้นจะยืดหยุ่นกับทุกนโยบาย หากนโยบายไหนของเดโมแครตดีเขาก็เลือกผู้สมัครจากเดโมแครต แต่หากนโยบายไหนของรีพับลิกันที่เขาชอบใจ เขาก็เลือกรีพับลิกัน

แต่การที่แมคเคนแสดงตัวว่าเป็นมาเวอร์ริคนั้นเพราะนั่นคือคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นของเขาเพราะเขาทำงานได้กับทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน แต่ทว่ามันก็มีจุดอ่อนคือถูกต่อต้านทั้งจากผู้สนับสนุนทั้งสองพรรค

ประธานาธิบดีบุชคือตัวอย่างที่ดีที่สุดในการขอร่วมทำงานกับทั้งสองพรรคเมื่อเขาได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาใหม่ในปี 2004 ประธานาธิบดีบุชบอกกับผู้ไม่เลือกเขาและเลือกจอห์น เคอร์รี่ว่า

"วันนี้ ผมต้องการกล่าวกับทุกๆคนที่เลือกคู่ต่อสู้ของผมว่า เพื่อทำให้ชาติของเราแข็งแกร่งขึ้นและดีขึ้นกว่าเดิม ผมจำเป็นต้องการการสนับสนุนจากคุณทุกคนและผมจะทำงานเพื่อให้ได้มันมา ผมจะทำทุกอย่างที่ผมสามารถทำได้เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากพวกคุณ"

แต่ประธานาธิบดีบุชท่านต้องจ่าย "ความพยายามอย่างหนักในการทำงานร่วมกับสองพรรค" ด้วยราคาที่แสนแพงกับการได้รับการต่อต้านจากทั้งสองพรรค เพราะมันก็เหมือนกับ "คุณบอกรักผู้หญิงสองคน" ในเวลาเดียวกันนั่นเอง แต่นี่คือความเป็น compassionate conservative ของท่าน


ดังนั้นแมคเคนแคมเปญจึงผิดพลาดมากที่หาเสียงโดยตีตัวออกห่างจากประธานาธิบดีบุช ตรงกันข้ามเขาต้องชูโรงผลงานการบริหารที่ประสพความสำเร็จของบุช ไม่ใช่บอกว่ายืนตรงข้ามกับรัฐบาลบุชไปหมดทุกอย่างเพราะในความเป็นจริงนั้นการบริหารงานของบุชตลอด 8 ปีที่ผ่านมาถือว่าท่านทิ้งผลงานที่น่าประทับใจไว้ให้หลายชิ้นแต่อยู่ที่ว่าคนจะเลือกมองมุมไหนเท่านั้นเอง แม้จะมีนโยบายบางส่วนที่ทำแล้วไม่ประสพผลสำเร็จเท่าที่ควรแต่โดยรวมแล้วถือว่าใช้ได้เลยเพราะอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาในภาวะวิกฤตการเงินก็ยังโตกว่ายุโรปและแคนาดา

รัฐบาลบุชนี่เป็นรัฐบาลที่เจอบททดสอบอย่างหนักเรียกว่าเจอของแข็งทั้งจากภายในและนอกประเทศมากกว่ารัฐบาลคลินตันหลายเท่าตัวแต่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังขยายตัวแม้จะไม่โตมาก อัตราการว่างงานก็ถือว่าต่ำแค่ 7 % ไม่อาจเรียกว่าเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ได้เลยเพราะเกรทดีเพรสชั้นนั้นอัตราการว่างงานสูงถึงเกือบ 30 % แม้จะถูกรุมเร้าด้วยภาวะฟองสบู่แตกของธุรกิจดอทคอมที่เริ่มก่อตัวสมัยปลายรัฐบาลคลินตันและมาแตกตอนปี 2001, ไหนจะเหตุการณ์ 9-11 ที่มาเกิดในสมัยเปลี่ยนผ่านรัฐบาล(เพราะรัฐบาลคลินตันเก็บของสกปรกไว้ใต้พรมเยอะด้วยนโนยบายด้านความมั่นคงที่อ่อนแอ) พอบุชเข้ามาไม่ถึง 5 เดือนก็เกิดเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายถล่มอเมริกาเสียแล้ว รวมไปถึงสงครามอิรัคและอาฟกานิสถานและวิกฤตการเงินที่มีรากเหง่ามาจากนโยบาย “เอาใจผู้มีรายได้น้อยให้มีบ้านเป็นของตัวเอง” ของพรรคเดโมแครตแต่ไม่ยอมดูศักยภาพว่าคนจนที่อุ้มนั้นจะจ่ายได้หรือไม่

ชาวรีพับลิกันที่ส่วนใหญ่(แม้ไม่ทั้งหมด)นั้นไม่นิยมแมคเคนมากเท่าไหร่เพราะเขาดูไม่ใช่อนุรักษ์นิยมเต็มตัว ก่อนที่เขาจะเลือกซาร์ร่าห์ เพลินมาเป็นคู่รองประธานาธิบดีนั้นคะแนนนิยมเขาในหมู่อนุรักษ์นิยมนั้นต่ำกว่าคู่ชิงประธานาธิบดีที่มาจากรีพับลิกันในอดีตเกือบทั้งหมดแต่ซาร์ร่า เพลินได้เปลี่ยนใจอนุรักษ์นิยมหันมาสนับสนุนเขาอีกครั้งแม้จะเทียบไม่ได้กับที่อนุรักษ์นิยมสนับสนุนบุชเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ตัวผู้เขียนเองนั้นไม่เคยเชียร์แมคเคนเลยในตอนหยั่งเสียงขั้นต้นแต่คนที่ผู้เขียนเชียร์สุดๆคือ "มิท รอมนีย์" แต่น่าเสียดายว่า เขาไม่ชนะเพราะคะแนนถูกแบ่งไปให้ไมค์ ฮัคคาบีด้วยเพราะมิท รอมนีย์คือตัวแทนของอนุรักษ์นิยมจริงๆ แต่พื่อให้อุดมการณ์ของ conservatism ได้ถูกนำมาปฎิบัติใช้ในรูปของนโยบายเพื่อสนองตอบชาวอนุรักษ์นิยมในประเทศ อย่างไรเสียก็ต้องให้การสนับสนุนแมคเคนต่อไปเพราะยังไงแมคเคนก็ยังเป็นกระแสหลักอนุรักษ์นิยมอยู่

5. เนื่องด้วยโอบามาเป็นนักการเมืองหน้าใหม่(ถึงจะไม่ใหม่แบบถอดด้าม)และยังไม่มีผลงานอันโดดเด่นและไม่เคยบริหารประเทศมาก่อน ดังนั้นเมื่อประกอบเข้ากับสถานการณ์วิกฤติการเงินที่เกิดขึ้น เขาจึงอยู่ในฐานะได้เปรียบเพราะ “ไม่มีผลงาน ไม่มีความผิด” เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ในเมืองไทยนั่นล่ะค่ะ...อิอิ ซึ่งต่างกับประธานาธิบดีบุชที่บริหารประเทศมาสองสมัยก็มีทั้งผลงานที่ประสพความสำเร็จและสำเร็จน้อยให้ฝ่ายตรงข้ามได้นำไปวิพากษ์วิจารณ์โจมตีได้

เหมือนอย่างที่แมคเคนตอกโอบามาให้หน้าหงายเมื่อตอนดีเบทครั้งที่สามนั่นแหละว่าหากโอบามาต้องการผูกโยงเขาเข้ากับประธานาธิบดีบุชแล้ว หากเขาต้องการโจมตีบุชหรือ ideology ของบุชเขาควรลงสมัครประธานาธิบดีตั้งแต่ 4 ปีที่แล้วแข่งกับบุช(ซึ่งหากโอบามาลงสมัคร 4 ปีที่แล้วก็ไม่มีทางชนะบุชหรอก) แต่ก็แปลกใจว่าทำไมค่ายแมคเคนถึงเพิ่งมานึกออกทั้งที่ประโยค “I'm not George Bush, if you wanted to run against George Bush, you should have run for President Four Years Ago” ทั้งที่ชาวคอนเซอร์เวทีฟเน็ตเรานึกการโต้ตอบโอบามาแบบนี้ออกมานานแล้ว

แต่หากโอบามาชนะอีก 4 ปีข้างหน้าเขาก็จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีบุชในตอนนี้นั่นแหละเพราะได้บริหารประเทศไปแล้วจุดเด่น จุดด้อย และ Judgement ย่อมมีออกมาให้เห็นชัดเจน

6. แมคเคนสื่อสารเรื่องแผนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่ชัดเจน ในเรื่องของการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจนั้นแผนเศรษฐกิจของโอบามาไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย เพราะผู้ที่เป็นมันสมองให้กับแผนเศรษฐกิจของเขาก็คือทีมเศรษฐกิจจากสมัยรัฐบาลคลินตันที่เน้น Big government เน้นมาตรการเพิ่มภาษี และเป็นพวกกีดกันทางการค้าตัวยง คือการปกป้องผลประโยชน์ตัวเองทางด้านภาษีและการค้า และต่อต้านการค้าเสรี (Freetrade)

รีพับลิกันอย่างแมคเคนที่มีจุดเด่นในเรื่องการลดภาษี(ทุกระดับชั้น) กลับไม่สามารถอธิบายจุดอ่อนของนโยบายเศรษฐกิจของโอบามาได้อย่างชัดเจนเท่าที่ควรจะเป็น แมคเคนควรเน้นให้ประชาชนอเมริกันเห็นว่านโยบายแผนลดภาษีให้กับคนชั้นกลางที่โอบามาบอกนั้น ในทางปฎิบัติมันเป็นไปได้จริงหรือไม่มากน้อยเพียงใดเพราะโครงการของโอบามาหลายอย่างต้องอาศัยเงินงบประมาณเป็นจำนวนเงินสูงถึงแสนล้านเหรียญฯ ดังนั้นเขาจะหาเงินมาจากไหนหากไม่ใช่การเพิ่มอัตราภาษีในที่สุด แต่จุดอ่อนของแมคเคนนั้นคือเขาสื่อสารเรื่องแผนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่ชัดเจน ที่ผ่านมาเขายังไม่สามารถชี้ให้คนอเมริกันเห็นชัดถึง ข้อด้อยในนโยบายเศรษฐกิจของโอบามาได้เท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งในสมัยจอร์จ บุชผู้พ่อนั้นที่เขาแพ้ให้กับบิล คลินตันก็เรื่องภาษีนี่แหละเพราะตอนหาเสียงไว้บอกว่าจะลดภาษีแต่บริหารไปได้สักระยะกลับเพิ่มภาษีซึ่งทำให้ฐานเสียงเสียงรีพับลิกันโกรธมากเพราะดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ทำตามที่สัญญาไว้

เมือกล่าวถึงความเป็น Protectionist ของเดโมแครตนั้นจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ประธานาธิบดีบุชมาเยือนไทยครั้งล่าสุดนี้ในสุนทรพจน์ของท่านความตอนหนึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

“Unfortunately, our country sometimes sends mixed signals about the openness of our economy. Voices of economic isolationism do not represent the interests of the American people”

“โชคไม่ดีที่บางครั้งประเทศ(สหรัฐอเมริกา)ของเราก็ให้สัญญาณที่สับสนเกี่ยวกับการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ ความต้องการในลัทธิโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจไม่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนแห่งผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน"

ตรงนี้ประธานาธิบดีบุชท่านกล่าวถึงนโยบายกีดกันทางการค้าของพรรคเดโมแครตที่ผ่านมาเพราะผลการเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อปี 2006 ที่ทำให้พรรคเดโมแครตได้เสียงข้างมากเหนือพรรครีพับลิกันในสภาบนและสภาล่างนั้นทำให้รัฐบาลบุชเผชิญภาวะลำบากที่ไม่อาจจะเดินหน้าเรื่อง FTA ได้คล่องแคล่วเหมือนเดิม

และสุนทรพจน์ท่อนนี้เป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าว่าหากรัฐบาลอเมริกันในอนาคตมาจากพรรคเดโมแครตการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐก็จะลดน้อยลงเพราะ เพราะพรรคเดโมแครตหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยจุดยืนต่อต้านการค้าเสรีมาตลอด ทั้งในระดับทวิภาคี และระดับโลกเพราะปรัชญาการเมืองของเดโมแครตซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกเสรีนิยมนั้นแนวนโยบายทางการค้าคือ การปกป้องผลประโยชน์ตัวเองทางด้านภาษีและการค้าที่เรียกกันในภาษาการเมืองระหว่างประเทศว่า protectionist platforms นั่นเอง

หากแมคเคนตีเรื่อง spread the wealth around ของโอบามาซึ่งเป็นแนวความคิดพื้นฐานของพวกสังคมนิยมตั้งแต่ 2 เดือนที่ผ่านมานั้นแมคเคนจะไม่ดูเป็นรองมากขนาดนี้เพราะพื้นฐานประเทศและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศอเมริกาไม่ใช่ การดำเนินนโยบาย spread the wealth around อย่างที่โอบามาพูดแต่เป็นการ Create new wealth อุดมการณ์ของพวกซ้ายและลัทธิเสรีนิยม(Liberalism) หรือ อุดมการณ์เสรีนิยมสมัยใหม่(Modern Liberalism) นี้ต้องการสังคมยูโธเปียหรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า นักคิดสังคมนิยมเพ้อฝัน ที่ต้องการให้คนทุกคนเท่าเทียมกันหมดแต่ผู้ก่อตั้งประเทศอเมริกานี้ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นพวกเขาต้องการให้สหรัฐอเมริกาดินแดนแห่งความหวังและโอกาสแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ซึ่งทุกคนได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในการประสพความสำเร็จซึ่งเป็นแก่นของลัทธิอนุรักษ์นิยม(conservatism) หรือ อุดมการณ์เสรีนิยมคลาสสิค(Classical Liberalism)

ดังนั้นนโยบายภาษีของโอบามาที่ต้องการเอาเงินของคนที่ทำงานหนักมีรายได้มากกว่าไปให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยกว่าหรือผู้ที่ไม่ทำงานและเสียภาษีมันก็คือนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมนั่นเองซึ่งต่างกับนโยบายภาษีของรีพับลิกันที่ลดภาษีทุกระดับชั้นเพื่อเป็นการขยายฐานภาษีให้มีขนาดใหญ่ ส่งเสริมอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่านโยบายภาษีของโอบามาแต่เดโมแครตตีความการลดภาษีภาคธุรกิจนี้ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับคนรวยนั่นเองซึ่งเป็นการกล่าวเท็จที่สุดเพราะภายใต้นโยบายภาษีของแมคเคนนั้นจะก่อให้เกิดการจ้างงานถึง 2.13 ล้านตำแหน่งต่อปีขณะที่ภายใต้นโยบายภาษีของโอบามานั้นจะทำให้เกิดการสูญเสียงานกว่า 1 ล้านตำแหน่ง

นโยบายรีพับลิกันคือ Create new wealth และทุกคนได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในการประสพความสำเร็จอันเป็นเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งประเทศแต่ไม่ใช่ spread the wealth around อันเป็นแนวคิดแบบสังคมนิยมซึ่งไม่ใช่พื้นฐานเศรษฐกิจของอเมริกา

7. แมคเคนต้องไม่สนับสนุนแผน Bailout ของประธานาธิบดีบุช เขาจึงจะได้รับความนิยมจากฐานเสียงอนุรักษ์นิยมเพิ่มมากขึ้นเพราะ Bailout Plan 700 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้นมันขัดกับอดุมการณ์เรื่องกลไกตลาดเสรีของคอนเซอร์เวทีฟและสร้างความแตกต่างระหว่างเขาและโอบามาได้อย่างชัดเจน โอบามาจะยิ่งดูเป็น Socialist มากขึ้น แต่แมคเคนก็คือ แมคเคนเพราะเขาเชื่อว่าการสนับสนุน Bailout ก็คือ put country first นั่นเอง ขณะที่โอบามายังไม่ยอมแสดงท่าทีแต่รอดูสถานการณ์ก่อนซึ่งก็เป็นลักษณะเ)พาะตัวของโอบามาคือ "คลุมเคลือไว้ก่อนและสามารต่อรองได้ทุกนโยบาย" ดูแล้วเหมือนนายชวน หลีกภัยของไทยเล่นการเมืองยังไงยังงั้น

หากผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ออกมาคนอเมริกันส่วนใหญ่เลือกเดโมแครต ผู้เขียนก็คงต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ค่ะ คงไม่ไปกล่าวหาว่าคนที่เลือกเดโมแครตโง่หรือวุฒิทางปัญญาต่ำแม้ “คนอเมริกันผิวดำ” ส่วนใหญ่ที่เลือกโอบามาเพียงเพราะว่าเป็น “คนดำ” เหมือนกันเท่านั้นเอง

เหมือนอย่าง 4 ปีที่แล้วที่พวกสนับสนุนเดโมแครตที่ต่อต้านบุชชอบพูดดูถูกคนเลือกหรือสนับสนุนบุชว่าการศึกษาน้อย โง่ บ้านนอก เนี่ยล่ะค่ะผู้นิยมพรรคเดโมแครตที่เรียกพรรคตัวเองว่าเป็นตัวแทนของชนชั้นล่าง เป็นตัวแทนของอเมริกันชนชั้นกรรมาชีพ ชนชั้นกลางแต่จริงๆแล้วซ่อนความ hypocrite ไว้มากค่ะพวกเดโมแครตที่ต่อต้านบุชนี้(ไม่ใช่ชาวเดโมแครตทั้งหมด ต้องย้ำค่ะ) ชอบพูดเป็นทำนองว่าตัวเองฉลาดกว่า มีความรู้สูงกว่าคนที่เลือกพรรครีพลับลิกัน นี่เมื่อ 4 ปีที่แล้วโดนพลเมืองชนชั้นกึ่งรากหญ้าถึงชนชั้นกลางสั่งสอนน่วมไปหมดแล้ว

หรือบางคนอกหักมากบอกว่าหากเคอร์รี่แพ้จะย้ายไปอยู่แคนาดา แต่ตอนนี้คงย้ายไปไม่ได้แล้วล่ะเพราะพรรคอนุรักษ์นิยมแคนาดาชนะเลือกตั้งรั้งตำแหน่งนายกฯอีกสมัยไปครอง

สำหรับผู้เขียนแล้วคนที่ไม่เคารพการตัดสินใจของเสียงส่วนใหญ่นั้นไร้ซึ่งเกียรติสิ้นดี


จอห์น แมคเคน-ซาร่าห์ เพลิน,บารัค โอบามา-โจ ไบเดนเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว

ซาร่าห์ เพลิน(Sarah Palin)และทอด เพลิน(Todd)ผู้เป็นสามี ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งด้วยกันวันนี้ที่ Wasilla, Alaska เมืองที่เธอเคยเป็นนายกเทศมนตรีอยู่และพูดคุยทักทายกับนักข่าว


โจ ไบเดน(Joe Biden) ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่ Wilmington, Delaware


บารัค โอบามา(Barack Obama) และภรรยาออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่ Chicago เมื่อเช้านี้พร้อมพาลูกสาวไปสังเกตุการใช้สิทธิเลือกตั้งด้วย


แมคเคน,โอบามาเร่งหาเสียงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งสหรัฐ 4 พย.นี้

วันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ในวันนี้ทั้งจอห์น แมคเคนและบารัค โอบามาต่างก็เร่งหาเสียงในรัฐที่เป็น battleground states ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าระหว่างแมคเคนและโอบามาใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไปต่อจากประธานาธิบดีบุช

สำหรับผู้เขียนแล้วในฐานะอนุรักษ์นิยมคนหนึ่งและรักรีพับลิกันไม่เปลี่ยนแปลงขอสนับสนุนจอห์น แมคเคนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐแม้การเลือกตั้งครั้งนี้โอกาสที่แมคเคนจะชนะจะมีไม่มากก็ตามแต่เพื่อให้อุดมการณ์ของ conservatism ได้ถูกนำมาปฎิบัติใช้ในรูปของนโยบายเพื่อสนองตอบชาวอนุรักษ์นิยม อย่างไรเสียวันนี้ก็ต้องลุ้นแมคเคนเพราะยังไงแมคเคนก็ยังเป็นกระแสหลักอนุรักษ์นิยมอยู่

จอห์น แมคเคนหาเสียงที่ Tampa, Florida ช่วงที่ 1


จอห์น แมคเคนหาเสียงที่ Tampa, Florida ช่วงที่ 2


จอห์น แมคเคนหาเสียงที่เมือง Blountville, Tennessee


จอห์น แมคเคนหาเสียงช่วงค่ำที่ Miami, Florida


บารัค โอบามาหาเสียงที่ Jacksonville, Florida



การหาเสียงที่แจคสันวิลล์ ฟลอริด้านี้โอบามาได้กล่าวโจมตีแมคเคนด้วยการย้ำว่าที่แมคเคนเคยมาหาเสียงที่เมืองนี้แล้วบอกว่า "U.S. economy is fundamentally sound " นั้นเป็นการกล่าวอย่างไม่เข้าใจสภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาในตอนนี้ โอบามาเรียกแมคเคนว่าเป็นคนหลุดโลก แต่จริงๆแล้วคำพูดตรงนี้โอบามและพรรคเดโมแครตพูดบิดเบือนมาตลอดจริงๆแล้วแมคเคนกล่าวว่า

"there's been tremendous turmoil in our financial markets and Wall Street and it is -- people are frightened by these events. Our economy, I think, still the fundamentals of our economy are strong. But these are very, very difficult time. And I promise you, we will never put America in this position again. We will clean up Wall Street. We will reform government."

ในส่วนตรงนี้แมคเคนได้กล่าวตอบโต้คำกล่าวหาของโอบามาว่าคำว่า "fundamentals of our economy are strong" "รากฐานเศรษฐกิจของเรานั้นแข็งแกร่ง" นั้น คำว่า "รากฐาน" ในที่นี้เขาหมายถึง American worker โดยกล่าวว่า

"My opponents may disagree, but those fundamentals of America are strong, No one can match an American worker. Our workers sell more goods to more markets than any other on earth. Our workers have always been the strength of our economy, and they remain the strength of our economy today."

เพราะจริงๆแล้วประเทศก็เปรียบเหมือนบ้านหลังหนึ่ง foundation ยังแข็งแรงอยู่เพียงแต่มี ไม่กี่ห้องในบ้านเท่านั้นที่เละเทะ ตรงนี้ไม่ได้ทำให้บ้านพังไปได้ ในช่วงที่อเมริกาเกิดวิกฤตการเงินโอบามาจึงใช้โอกาสนี้หาเสียงโดยใช้ "ความกลัว" เข้าครอบงำคนอเมริกันนั่นเอง

จริงๆแล้วในภาวะเช่นนี้ การที่คนจะเป็น "ผู้นำที่ดี" ได้ สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรกล่าวกับประชาชนในสถานการณ์ที่ยากลำบากคือ ต้องไม่สร้างความตื่นตระหนกขึ้นในสังคมแต่ให้ความเชื่อมั่นแทน ผู้เขียนคิดว่าการพูดของแมคเคนนั้นเป็นคำพูดที่จริงและเหมาะสมที่สุดแล้วในสภาวะเช่นนี้ ในขณะที่โอบามาเวลาหาเสียงโทนของเขาจะออกในแนวสร้างความหวาดวิตกกับภาวะเศรษฐกิจให้ดูน่ากลัวเกินจริงออกไปในทำนองว่า our economy is falling apart and soon there will be a depression and no more auto loans or student loans and millions of people are going to lose their homes. แม้มันออกจะดูเป็นลบอย่างมากแต่ในทางการเมืองแล้วมันใช้ได้ผลจริงๆ

ใครบอกว่าโอบามาดูซื่อ เขานี่แหละที่เป็นนักการเมืองที่เล่นการเมืองเก่งหาตัวจับยากคนหนึ่ง

ผู้เขียนจึงรู้สึกตลกและ "เอียน" มากที่ฟังหลายคนกล่าวว่า อเมริกาคงไม่เลือกโอบามาหรอกเพราะยังมีการเหยียดผิวอยู่ แน่นอนว่าการเหยียดผิวนั้นมันไม่หมดไปจากโลกหรอก แน่นอนว่าอเมริกาเองก็ยังมีการเหยียดผิวอยู่แต่เป็นการเหยียดผิวที่คนผิวดำเหยียดผิวขาวมากที่สุดมีการทำวิจัยออกมาแล้วว่า "อเมริกันผิวดำ" คือพวกที่เหยียดผิวมากที่สุดในอเมริกา ตัวอย่างง่ายๆก็ดูได้จากการเปรียบเทียบคะแนนที่คนผิวดำเลือกโอบามา กับ คนผิวขาวที่เลือกฮิลลารี่และแมคเคน มันต่างกันเยอะมาก คือ คนผิวดำเลือกโอบามามากกว่า 90 % ส่วนคนผิวขาวที่เลือกแมคเคนและฮิลลารี่คิดเป็นสัดส่วนแล้วไม่เกิน 60 % เลยด้วยซ้ำ

ผู้เขียนจึงไม่เคยเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “คนอเมริกันยังไงก็ไม่ยอมรับประธานาธิบดีผิวดำเพราะอเมริกายังเหยียดผิวอยู่” หากไม่เป็นการโกหกกันเกินไปต้องบอกว่าเรื่องเหยียดผิว เหยียดชนชั้นนี่มันไม่หมดไปจากโลกหรอก คนผิวเหลืองที่เป็น "ชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์" และชนชั้นกลางในเมืองอย่างคนไทยยังดูถูก "คนรากหญ้า" ว่าการศึกษาต่ำ ไม่เข้าใจประชาธิปไตยดีพอเลย หรือที่เห็นได้ชัดอีกก็คือ หากหญิงไทยคนไหนได้สามีเป็นชาวต่างประเทศ(ฝรั่ง) ก็จะได้รับการมองอย่างดูถูกว่าเป็น "ผู้หญิงไม่ดี" ไปหมด ค่านิยมการดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหล่านี้ยังมีอยู่มากในสังคมไทย

แน่นอนว่าการเหยียดผิวในอเมริกานั้นยังมีอยู่จริงแต่ก็น้อยลงไปมากอย่างเทียบไม่ได้ในอดีตและไม่ใช่ "ขาวเหยียดดำ" อย่างเดียวเหมือนแต่ก่อนแล้วแต่เป็น "ดำที่เหยียดขาว" ด้วยแต่เมื่อเทียบระหว่างคนดำกับคนขาวแล้วอเมริกาในศตวรรษที่ 21 นี้ อาฟริกัน-อเมริกันคือพวกที่เหยียดผิวมากที่สุด ทัศนคติของคนเหล่านี้สอนกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษว่า "อย่าลืมว่าในอดีตเราถูกกระทำอย่างไร" ดังนั้น เวลาที่คนผิวขาวมีเรื่องกับคนผิวดำ จึงมักจะถูกตั้งข้อหาว่าเป็นพวกเหยียดผิวไปหมด การสอนเช่นนี้ไม่ผิดในแง่ของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แต่การที่นำเรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มาขอความเป็น "อภิสิทธิ์ชน" เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง

อเมริกาในปัจจุบันคนผิวดำมีสิทธิ มีเสียงหรืออาจมีสิทธิพิเศษมากกว่าคนผิวขาวในบางเรื่องเสียด้วยซ้ำ การเหยียดผิว(racial discrimination)ในอเมริกาถือเป็นเรื่องผิดกฏหมาย หากอเมริกันยังนิยมการเหยียดผิวอยู่เราคงไม่ได้เห็น กฏหมายที่ห้ามการเหยียดผิวออกมา เราคงไม่ได้เห็น African-Americans ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ผู้ว่าการรัฐทั้งในรัฐทางเหนือและทางใต้ หรือในระดับชาติอย่างผู้พิพากษาศาลฏีกา สมาชิกชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิกและในคณะรัฐมนตรี

และทีสำคัญเราคงไม่ได้เห็นโอบามามาถึงจุดนี้ คือ อาจจะได้เห็นประธานาธิบดีที่เป็นอาฟริกัน-อเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน หากโอบามาไม่ได้รับคะแนนเสียงจากคนผิวขาวด้วย

ในทางตรงกันข้ามคำพูดที่ไม่ระมัดระวังของโอบามาที่ออกมาในเชิงดูหมิ่นคนถ้องถิ่น(ประกอบด้วยคนผิวขาวเป็นส่วนใหญ่) ระหว่างปราศรัยหาเสียงในช่วงไพรมารี่ว่า "ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆในเพนซิลเวเนียและที่อื่นๆกำลังแสดงออกอย่างเคียดแค้นขมขื่นเพราะตกงานเลยต้องหันไปพึ่งพาวัฒนธรรมแบบเดิมๆอย่างปืนและศาสนาและแสดงการต่อต้านผู้อพยพเข้าเมือง" ซึ่งคำพูดนี้ทำให้คนผิวขาวท้องถิ่นคนหนึ่งเปรยความรู้สึกออกมาว่าโอบามากำลังบอกพวกเขาว่า ประชาชนอ่อนแอ โง่และซื่อและต้องใช้หนทางศาสนาเพื่อเป็นแนวทางในการผ่านอุปสรรค เป็นคำพูดที่ดูถูกคนในเมืองเล็กมาก

ตลอดการหาเสียงของโอบามาและพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งครั้งนี้ แคมเปญหาเสียงของเขาและองค์กรที่สนับสนุนเขาชอบใช้เรื่อง “ผิว” มาเป็นประเด็นและข่มขู่ผู้ออกเสียงทุกครั้ง เช่นหากคนผิวขาวไม่เลือกโอบามาก็จะถูกกล่าวหาว่ากลายเป็นพวกเหยียดผิวไปในที่สุด อย่างนาย John Murtha คองเกรสแมนจากพรรคเดโมแครตก็ใช้ประเด็นเรื่องผิวมาข่มขู่ผู้ออกเสียงในเขตของตนว่า "ชาวเพนซิลเวเนียในเขตตะวันตกล้วนเป็นพวกเหยียดผิว"

ข้อกล่าวหาเรื่อง "เหยียดผิว" นี้มีแต่ออกมาจากคนรอบตัวของโอบามาและตัวโอบามาเองทั้งนั้น ไม่มีใครเขาไปปลุกหรอก

การเมืองสหรัฐก้าวข้ามพ้นเรื่อง "ผิว" มานานแล้ว ไม่มีนักการเมืองคนดำหรือนักการเมืองคนขาวหรอก มีแต่คำว่า "นักการเมือง" เท่านั้น


อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์หาเสียงช่วยจอห์น แมคเคนที่โอไฮโอ

Schwarzenegger Rallies Support for McCain in Ohio

อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียหาเสียงช่วยจอห์น แมคเคนที่โอไฮโอเมื่อวัน ฮาโลวีน 31 ตุลาคมที่ผ่านมา


เมื่อได้ฟังชวาร์เซเนกเกอร์กล่าวปราศรัยหาเสียงช่วยจอห์น แมคเคนแล้ว ผู้เขียนคิดว่าน่าเสียดายที่ ชวาร์เซเนกเกอร์ ไม่ได้เกิดที่สหรัฐอเมริกาไม่อย่างนั้นเขาต้องมีโอกาสมากพอสมควรในการเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะชวาร์เซเนกเกอร์นับว่าเป็นนักปราศรัยที่เก่งมากคนหนึ่งทีเดียว คำพูดของเขามีพลังแม้สำเนียงอังกฤษของเขาจะไม่ใช่ native speaker เหมือนคนอเมริกันที่เกิดและเติบโตในอเมริกาดังที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า "Naturally, when I came to this country, my accent was very bad, and my accent was also very strong, which was an obstacle as I began to pursue acting."

แต่ชวาร์เซเนกเกอร์นับเป็นตัวอย่างของผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน(จากยุโรป)ที่ดีมากคนหนึ่งในเชิงสัญญลักษณ์ เพราะผู้ย้ายถิ่นฐานเช่นเขาที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็น ผู้ย้ายถิ่นฐานที่เคยอยู่ในอเมริกาแบบผิดกฎหมาย(illegal immigrant) ในศตวรรษที่ 20 เพื่อเสาะแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าเดิม สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวเริ่มต้นจากการเป็นนักแสดงจนก้าวเข้ามาสู่แวดวงการเมืองอมริกันที่ประสพความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง

การปราศรัยของชวาร์เซเนกเกอร์มีเสน่ห์และดูมีพลัง มีเซนต์ของอารมณ์ขันเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากผู้ฟังได้ มีนักการเมืองไม่มากที่ทำแบบนี้ได้ ที่สำคัญมันมีแรงบันดาลใจอยู่ในตัวเหมือนเช่นที่เขาหาเสียงช่วยประธานาธิบดีบุชในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2004 เพราะสิ่งที่เขาพูดมันมาจากประสพการณ์ตรงในชีวิตของเขาเมื่อเขายังอาศัยอยู่ในยุโรป ฟังแล้วมันจึงดูเป็นของจริงไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อหรือตีสำนวนโวหาร

ฟังชวาร์เซเนกเกอร์พูดถึงนโยบายเศรษฐกิจของโอบามาแล้วทำให้ผู้เขียนนึกถึงบทความชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า The Europeanization of America:What's ahead if Obama becomes president ที่ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เดอะ วอลสตรีท เจอร์นัลเมื่อเร็วๆนี้ บทความชิ้นนี้เป็นส่วนเสริมคำพูดของชวาร์เซเนกเกอร์ได้ชัดเจนที่สุดในแง่ที่ว่า อเมริกาในยุคโอบามาจะย้อนกลับไปสู่การเป็นรัฐสวัสดิการที่อิงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมมากขึ้นที่คล้ายแนวทางแบบประเทศในแถบยุโรปสมัยก่อน(ปัจจุบันยุโรปมีการปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจคล้ายกับอเมริกาบ้างบางส่วนในบางประเทศ) คือ

-มีการจัดเก็บภาษีรายได้เพิ่มขึ้นในส่วนของ ชนชั้นกลาง ชนชั้นกลางสูงและในภาคธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่และในระดับปัจเจกบุคคลจะต้องเสียภาษีประกันสังคม(Social Security Taxes) ที่สูงขึ้น มาตราการทางด้านภาษีใหม่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ "spreading the wealth around" คือนำเงินของคนที่ทำงานหนักไปโปะให้กับคนที่มีรายได้น้อยและไม่เสียภาษีของท่านประธานาธิบดีคนใหม่นั่นเอง

ซึ่งมาตราการการจัดเก็บภาษีของโอบามานี้ธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบมาก และธุรกิจขนาดเล็กคือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอเมริกาที่ครองสัดส่วนถึง 60% และก่อให่เกิดจ้างงานเกือบ 100 %

- ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาล(government spending) จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลถึง 300 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปีภายใต้นโยบายของโอบามา เมื่อเทียบ government spending ของโอบามาและรัฐบาลในอดีตแล้วถือว่าเยอะกว่ามาก ภายใต้แผนของโอบามาต้องใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นกว่า 10% ต่อปีในขณะที่ government spending สมัยรัฐบาลบุชผู้พ่อเพิ่มขึ้น 6.7 สมัยคลินตัน 3.3% และสมัยจอร์จ บุชปัจจุบันที่หลายๆคนกล่าวหาเขาว่าใช้งบประมาณสิ้นเปลืองไปกับสงครามอิรัคเพิ่มขึ้นเพียง 6.4 %

-กฎระเบียบกลางของรัฐที่มีต่อภาคเศรษฐกิจจะขยายตัวกว้างขึ้นเข้าควบคุมในทุกส่วนตั้งแต่บริษัทบริหารด้านการเงินไปจนถึงสถานีผลิตไฟฟ้าและการใช้พลังงานส่วนบุคคล

และนอกเหนือจากนั้นลัทธิปกป้องผลประโยชน์ทางการค้า(Protectionism) จะกลับมาเป็นนโยบายทางการค้าหลักเหมือนเดิม และข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับชาติอื่นๆ(รวมถึงประเทศไทย)จะถูกจำกัดและลดลงตามมา

ยุโรปและแคนาดาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การมีรัฐบาลลิเบอร์รัลที่ปกครองประเทศอยู่เป็นเวลานานนั้นทำให้ประเทศเสื่อมถอยลงขนาดไหน และถูกจำกัดทั้งโอกาสการแข่งขันทางธุรกิจและการสร้างงาน ซึ่งในตอนนี้แคนาดาหลังจากที่พรรคอนุรักษ์นิยมสามารถรั้งเก้าอี้นายกฯไว้ได้อีกสมัยก็เปลี่ยนทิศทางการบริหารประเทศที่ออกห่างแนวคิดเสรีนิยม(ลิเบอร์รัล)มากขึ้น พรรคเดโมแครตใช้วิกฤตการเงินที่่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้มาเป็นข้ออ้างในการผลักดันนโยบายรัฐสวัสดิการและระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมนั่นเองแม้รากเหง้าแห่งการเกิดวิกฤติการเงินนั้นจะมาจากนโยบายที่เน้นความเป็นสังคมนิยมและขาดกฎระเบียบควบคุมที่ดีนั่นเอง

และเมื่อได้ฟังชวาร์เซเนกเกอร์พูดถึง คาแรคเตอร์ของโอบามาและความเป็นเสรีนิยมของเขาเปรียบเทียบกับจอห์น แมคเคนที่ถือคติ "ประเทศชาติต้องมาก่อน(put country first)" ตลอดชีวิตของเขาแล้วแม้กระทั่งประกาศว่า "ผมยอมสูญเสียชัยชนะในการเลือกตั้งดีกว่าที่จะเห็นประเทศอเมริกาของผมต้องพ่ายแพ้ในสงครามอิรัค" นี่แหละคาแรคเตอร์ของแมคเคน เมื่อครั้งที่เขาในฐานะนักการเมืองรีพับลิกันอาจจะเรียกว่าเป็นสมาชิกสภาคองเกรสจากรีพับลิกันคนเดียวก็ได้ที่สนับสนุนนโยบาย Bush's surge strategy อย่างแข็งขันคู่กับ โจ ลิเบอร์จากพรรคเดโมแครต ขณะที่ Republican lawmakers คนอื่นๆไม่เห็นด้วย ผู้เขียนขอเรียกว่านี่คือ ความผิดพลาดของรีพับลิกันเองก็ได้ในเรื่องสงครามอิรัคที่ไม่ยอมยืนอยู่เคียงข้างประธานาธิบดีของตนให้ตลอดรอดฝั่ง เพราะในตอนนี้ความไม่สงบในอิรัคแทบจะไม่มีให้เห็นและระดับความรุนแรงลดลงไปน้อยมากหลังจากที่ "ยุทธศาสตร์การเพิ่มทหารในอิรัคของประธานาธิบดีบุช"หรือ Bush's surge strategy ถูกนำไปใช้ในทางปฎิบัติ ล่าสุดสำนักข่าวเอพีได้รายงานถึงสถานการณ์การรักษาความปลอดภัยในอิรัคว่าพัฒนาไปในทางทีดีขึ้นทั้วทัั้งประเทศโดยระบุว่า

"The sharp drop in American fatalities in Iraq reflects the overall security improvements across the country following the Sunni revolt against al-Qaida and the rout suffered by Shiite extremists in fighting last spring in Basra and Baghdad."

ซึ่งแม้แต่บารัค โอบามายังยอมรับว่า surge ประสพผลสำเร็จในหนทางที่ไม่มีใครเคยคาดหวังไว้ว่ามันจะได้ผลโดยกล่าวว่า "I think that the surge has succeeded in ways that nobody anticipated" แต่แน่อนอนว่านักการเมืองที่เล่นการเมืองเก่งแบบโอบามาคือ "คลุมเครือไว้ก่อนและพร้อมต่อรองได้ในทุกนโยบาย" ย่อมที่จะหลีกเลี่ยงใช้คำว่า "ชัยชนะ" ในสงครามอิรัคแต่ขอพูดว่าเขาจะเป็นผู้ "จบ" สงครามในอิรัคแทนตลอดแคมเปญหาเสียงของเขาเพื่อไม่ต้องการให้เครดิตกับประธานาธิบดีบุช(แม้มันจะเป็นเรื่องของชาติก็ตามแต่พรรคเดโมแครตต้องมาก่อน)

แต่ล่าสุดนี่โอบามากลับออกมาออกมาพูดยืนยันว่า
Throughout this campaign I’ve argued that we need more troops and more resources to win the war in Iraq. But we also need a new strategy that deals with Pakistan that deals with issues of corruption that deals with issues of narco-terrorism. We need a comprehensive strategy and approach to confront the growing threat from al Qaeda along the Pakistani border”

แล้วที่เคยหาเสียงบอกว่าหากได้เป็นประธานาธิบดีแล้วตนเองจะ “จบ” สงครามในอิรัค( "end" war in Iraq) และ “เอาชนะ” ในสงครามต่อต้านก่อการร้ายในอาฟกานิสถานมาตลอดล่ะหายไปไหน ผู้เขียนฟังแล้วรู้สึกแปลกใจว่า “จุดยืนเดิม” ของโอบามาเรื่องอิรัคและอาฟกานิสถานหายไปไหนแล้ว? เพราะผู้เขียนฟังเขาหาเสียงเรื่องอิรัคและอาฟกานิสถานทีไรเขาก็บอกว่า การเพิ่มกำลังทหารและทรัพยากรจะนำไปสู่ความสำเร็จในอาฟกานิสถาน แต่หากใช้นโยบายเดียวกันนี้คือเพิ่มกำลังทหารและทรัพยากรจะนำไปสู่ความล้มเหลวในอิรัค

แต่ในวันนี้มาบอกว่า “ตลอดการหาเสียงของผม ผมอภิปรายอยู่เสมอว่าเราต้องการกำลังทหารมากขึ้นและทรัพยากรมากขึ้นเพื่อให้ได้รับชัยชนะในอิรัค” แบบนี้เรียกว่าก็อปนโยบาย Bush's 'surge' strategy มาก็คงไม่ผิดนัก นี่อาจเป็นครั้งแรกในการหาเสียงของเขาที่ยอมใช้คำว่า “ชัยชนะ” ในอิรัคจากที่เคยใช้ต้อง “จบ” สงครามในอิรัค

หากโอบามาไม่พูดผิดก็คงเปลี่ยนจุดยืนกระทันหันแต่ลิเบอร์รัลมีเดียไม่กล้านำไปขยายความเพราะกลัวโอบามาจะถูกดิสเครดิตแต่หากเป็นแมคเคนพูดอย่างนี้เขาต้องถูกลิเบอร์รัลมีเดียเล่นข่าวนี้ไปอีกเป็นอาทิตย์

หากโอบามาไม่มุ่งชัยชนะในอิรัคเมื่อเป็นประธานาธิบดี อีก 4 ปีข้างหน้าเขาจะไม่สามารถป้องกันตำแหน่งได้แน่นอน ปีนี้ถือว่าโชคดีที่อเมริกาเกิดวิกฤตการเงินก่อน เขาเลยอยู่ในฐานะได้เปรียบแมคเคน แม้สื่อจะพยายามบอกว่าคนอเมริกันไม่ชอบ “war” แต่คนอเมริกันนั้นไม่ต้องการ “lose this war” แน่นอน ตรงนี้สิสำคัญ

เห็นนักต่อต้านสงครามอิรัคโดยเฉพาะพวกหัวเอียงซ้ายบอกว่าหากเลือกโอบามามาแล้ว คงไม่มีสงคราม แต่จริงๆแล้ว หากเราลองตรองดูสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นนั้น จะเห็นว่าประธานาธิบดีบุชไม่ได้เป็นฝ่ายที่นำสงครามมาให้อเมริกาแต่กลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงต่างหากที่เป็นผู้นำสงครามมาให้อเมริกา อาจเรียกได้ว่าทั้งสงครามปราบผู้ก่อการร้ายในอาฟกานิสถานและอิรัคนี่คือ การ self defense นั่นเอง

โอบามาเองนั้นเมื่อตอนดีเบทเขาพูดชัดเจนว่า หากเขาพบว่ามีข่าวกรองที่แม่นยำและเชื่อถือได้ว่าอัลไคด้าต้องการโจมตีอเมริกาแต่ปากีสถานยังไม่ยอมดำเนินการ เขาจะส่งกองทัพอเมริกาไปถล่มผู้ก่อการร้ายในปากีสถานเองโดยไม่สนใจหลักอำนาจอธิปไตยของปากีสถานเพราะถือว่าเป็นการปกป้องชาวอเมริกันโดยตรง ตรงนี้มันก็ไม่ต่างจากการที่ประธานาธิบดีบุชนำกองทัพบุกอิรัคโค่นล้มซัดดัมเมื่อซัดดัมไม่ปฎิบัติตามมติสหประชาชาติและอาศัยข่าวกรองที่ได้รับจากสมัยรัฐบาลคลินตันนั่นเองและก็เป็นคลินตันนี่แหละที่เป็นผู้กล่าวว่า "อัลไคด้าเริ่มสานสัมพันธ์กับอดีตผู้นำอิรัคซัดดัม ฮุสเซ็น" แต่สิ่งที่ต่างกันระหว่างปากีสถานและอิรัคคือ รัฐบาลปากีสถานหาได้เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอเมริกาแต่รัฐบาลอิรัคภายใต้การนำของซัดดัม ฮุสเซ็นนั้นนอกจากจะเป็นภัยคุกคามแล้วยังเคยรบกับอเมริกามาก่อนด้วย

เมื่อกล่าวถึงประธานาธิบดีบุช นักวิจารณ์หัวเสรีนิยมมักจะยกเรื่อง Job Approval Ratings ของประธานาธิบดีบุชที่ต่ำกว่า 35 เปอร์เซ็นในตอนนี้มาเป็นตัววัดว่านี่คือการบริหารงานที่ล้มเหลว ผู้เขียนขอเห็นตรงข้ามว่านี่คือการวิเคราะห์อย่างหยาบและสายตาสั้นในหมู่ที่เป็นอนุรักษ์นิยมนั้นประธานาธิบดีบุชก็ยังได้รับความนิยมมากกว่า 70 %

ไม่มี wartime president คนไหนหรอกที่ได้รับความนิยมสูงเกินกว่า 40 % ประธานาธิบดีเฮนรี่ ทรูแมนจากพรรคเดโมแครตเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมหลังจบเทอมต่ำสุดเมื่อปี 1952 แต่เมื่อเวลาผ่านมาหลายปีผู้เขียนก็ยังเห็นคนอเมริกันโดยเฉพาะเดโมแครตชื่นชมและยกย่องทรูแมนอยู่ในหลายเรื่องมากเลยทีเดียว job approval ratings ใช้เป็นปัจจัยชี้ความนิยมเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะผลงานบางอย่างในการบริหารมันต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์และมีสิ่งที่เปรียบเทียบในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคล้ายกัน

ประธานาธิบดีบุชก็เช่นกันในวันนี้ approval ratings อาจต่ำแต่ไม่เกิน 15 ปีหรอกกาลเวลาจะพิสูจน์เองว่าประธานาธิบดีบุชนี่แหละที่โลกจะต้องขอบคุณเขาในการสร้างประชาธิปไตยในอิรัคเพราะสถานการณ์ในอิรัคตอนนี้ เสรีภาพและประชาธิปไตย ค่อยๆก้าวย่างไปข้างหน้าในทางทีดีขึ้นทุกวันแม้จะเป็นก้าวที่ไม่โตนักแต่ถือว่าเริ่มต้นตั้งไข่และเดินได้แล้วและชาวอเมริกันจะต้องนึกถึงประธานาธิบดีบุชเหมือนที่พวกเขาต้องขอบคุณอับราฮัม ลินคอล์น(จากรีพับลิกัน)มาแล้ว

และใครจะไปรู้อีกไม่เกินยี่สิบปีข้างหน้าประชาธิปไตยในอิรัคอาจหยั่งรากลึกลงในสังคมอิรัคมากกว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยก็เป็นได้เพราะอิรัคขาดซึ่ง "มือที่มองไม่เห็น" นั่นเอง ... คิก คิก :D


เปรียบเทียบนโยบายภาษีของแมคเคนและโอบามา

การดีเบทครั้งที่สามซึ่งเป็นการดีเบทครั้งสุดท้ายของคู่ชิงประธานาธิบดีระหว่างจอห์น แมคเคนจากพรรครีพับลิกันและบารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครตเมื่อคืนวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมาเรียกว่าเป็นการดีเบทที่มีสีสันและดูสนุกที่สุดเมื่อเทียบกับสองครั้งแรกค่ะเพราะ โจ ช่างประปา(Joe the Plumber) คือ ไฮไลท์ของการดีเบทครั้งนี้เพราะเขาเป็นผู้ที่เปิดประเด็นถึงนโยบายภาษีของโอบามาว่าในทางปฎิบัติแล้วคนชั้นกลางโดยรวมได้รับประโยชน์จริงอย่างที่เขาหาเสียงไว้หรือไม่

โจ ช่างประปามีชื่อจริงว่า โจ เวอร์สเอลเบอเกอร์(Joe Wurzelbacher) เขาต้องการซื้อกิจการขนาดเล็กๆซึ่งเขาทำงานอยู่และอยากจะขยายกิจการเพื่อที่ว่าเขาสามารถที่จะจ้างคนงานเพิ่มขึ้นหรือพูดอีกนัยหนึ่งในทางการเมืองคือ “สร้างงานให้กับชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น” นั่นเอง

ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาโจ ช่างประปาได้เผชิญหน้าตัวต่อตัวกับโอบามาที่โอไฮโอเมื่อตอนที่โอบามาไปหาเสียงที่นั่น เขาบอกกับโอบามาว่าภายใต้แผนภาษีของโอบามาทำให้เขาต้องเสียภาษีมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นมันจึงเป็นการยากสำหรับเขาในการขยายกิจการ

โจ ช่างประปาช่วยเปลี่ยนโฉมการโต้วาทีครั้งนี้เป็นประเด็นเรื่อง “ภาษี” ที่ทำให้หลายคนต้องจับตามองและเจาะลึกอย่างละเอียดและเป็นการตอกย้ำถึงแนวความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจของโอบามาว่าเขามีความเชื่อออกไปในทาง"สังคมนิยม"เมื่อเขาตอบคำถามโจ ช่างประปาว่าเขาต้องการ "spreading the wealth around would help everyone" คือกระจายความมั่งคั่งออกไปเพื่อช่วยทุกคน นี่เป็นคอนเซ็ปท์พื้นฐานของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม

ตรงนี้คือความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่าง "เดโมแครต" ที่เชื่อว่าความร่ำรวยที่ถูกสร้างขึ้นโดยปัจเจกบุคคล(ที่ทำงานหนัก)จำเป็นต้องถูกจัดสรรออกไปให้กับคนในสังคมอย่างทั่วถึงกัน แม้กระทั่งตรงนี้มันหมายความว่าเป็นการจำกัดโอกาสในการ "สร้างเศรษฐีใหม่หรือความมั่งคั่งขึ้นใหม่" ในสังคมก็ตาม และ "รีพับลิกัน" ที่เชื่ออย่างแรงกล้าว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าหากปล่อยให้ธุรกิจขนาดเล็กได้เก็บเงินส่วนนี้ไว้(ไม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มให้กับรัฐ)ในการขยายกิจการให้เติบโตต่อไปและว่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น

มาตราการการจัดเก็บภาษีของโอบามานี้ธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบมากและธุรกิจขนาดเล็กคือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอเมริกาที่ครองสัดส่วนถึง 60% และก่อให้เกิดจ้างงานเกือบ 100 %

ดังนั้นนโยบายจัดเก็บภาษีของโอบามาที่ต้องการนำเงินของคนที่ทำงานหนักมีรายได้มากกว่าไปให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยกว่าหรือผู้ที่ไม่เสียภาษีมันก็คือนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมนั่นเองซึ่งต่างกับนโยบายภาษีของรีพับลิกันที่ลดภาษีทุกระดับชั้นเป็นการขยายฐานภาษีให้มีขนาดใหญ่ ส่งเสริมอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(Pro-Growth, )และการจ้างงานมากกว่านโยบายภาษีของโอบามา

ภายใต้นโยบายภาษีของแมคเคนนั้นจะก่อให้เกิดการจ้างงานถึง 2.13 ล้านตำแหน่งต่อปีขณะที่ภายใต้นโยบายภาษีของโอบามานั้นจะทำให้เกิดการสูญเสียงานกว่า 1 ล้านตำแหน่ง เพราะนโยบายรีพับลิกันคือการสร้างเศรษฐีใหม่หรือความมั่งคั้งขึ้นใหม่(Creating new wealth) ในสังคมและให้ทุกคนได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในการประสพความสำเร็จอันเป็นเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งประเทศแต่ไม่ใช่ spread the wealth around อันเป็นแนวคิดแบบสังคมนิยมซึ่งไม่ใช่พื้นฐานเศรษฐกิจของอเมริกา

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการเปรียบเทียบแผนภาษีของผู้สมัครทั้งสองว่าเป็นอย่างไร?
นโยบายด้านภาษีของผู้สมัครคนใดที่ดีต่อเศรษฐกิจและก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นมากกว่ากัน?

เรย์ เฮเดอร์แมน นักวิเคราะห์นโยบายอาวุโสและผู้ช่วยผู้อำนวยการ ณ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลของสถาบัน Heritage ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างแผนภาษีของแมคเคนและโอบามา เฮเดอร์แมนได้เขียนบทความวิเคราะห์แผนภาษีที่ถูกนำเสนอโดยผู้สมัครทั้งสองคนเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

ผู้อ่านท่านใดสนใจอยากทราบรายละเอียดของนโยบายทางด้านภาษีของผู้สมัครทั้งสองคนหรืออยากทราบไว้เพื่อประดับความรู้ สามารถรับชมได้จากวีดีโอ คลิปข้างล่างนี้


หากต้องการอ่านการวิเคราะห์แผนภาษีของผู้สมัครทั้งสองโดยละเอียด บทความ
The Obama and McCain Tax Plans: How Do They Compare? จะตอบข้อสงสัยและให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบายภาษีของผู้สมัครทั้งสองคนได้ชัดเจนที่สุดบทความหนึ่งเท่าที่ผู้เขียนเคยอ่านมา


The Final Presidential Debate

การโต้วาทีของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาครั้งสุดท้าย(The Final Presidential Debate)

การโต้วาทีของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาครั้งที่สาม(ตอนจบ)ระหว่างวุฒิสมาชิกบารัค โอบามาจากพรรคเดโมแครตและวุฒิสมาชิกจอห์น แม็คเคนจากพรรครีพับลิกันเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2008 การโต้วาทีครั้งนี้จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยฮอฟตร้า เฮมสเตท มลรัฐนิวยอร์ก ดำเนินรายการโดยบ็อบ ชีเฟอร์แห่งสถานีโทรทัศน์ CBS

the third presidential debate between Republican nominee Sen. John McCain and Democratic nominee Sen. Barack Obama. The debate was held at Hofstra University in Hempstead, New York. It was moderated by Bob Schieffer CBS.


ผู้สมัครทั้งสองกล่าวถึง โจ ช่างประปา ในการอภิปรายนโยบายภาษี

ในการดีเบทคู่ชิงประธานาธิบดีครั้งที่สามที่เฮมสเตท นิวยอร์ค จอห์น แมคเคนและบารัค โอบามาอภิปรายเกี่ยวกับ สถานการณ์ภาษีที่โจ เวอร์สเอลเบอเกอร์ ช่างประปาจากโทเลโด โอไฮโอกำลังเผชิญอยู่ภายใต้แผนการจัดเก็บภาษีของโอบามา

Candidates Talk About Joe the Plumber

at the third presidential debate in Hempstead, New York, John McCain and Barack Obama discussed the tax situation confronting Joe Wurzelbacher, a plumber in Toledo, Ohio.


โจ ช่างประปาตัวจริงพูดถึงการดีเบทเมื่อคืน

นี่เป็นวีดีโอเทปที่โจ เวอร์สเอลเบอเกอร์ ให้ความเห็นในคืนวันโต้วาทีคู่ชิงประธานาธิบดีครั้งสุดท้าย ชื่อของนายเวอร์สเอลเบอเกอร์ ถูกอ้างถึงหลายครั้งในการอภิปรายเกี่ยวกับนโยบายภาษีในคืนวันดีเบท

Joe the Plumber on the Debate

Here is video of Joe Wurzelbacher reacting to last night's final presidential debate. Mr. Wurzelbacher was mentioned multiple times last night in a discussion of tax policy.


แมคเคน: "ผมไม่ใช่ประธานาธิบดีบุช"

ในการดีเบทคู่ชิงประธานาธิบดีครั้งที่สามที่เฮมสเตท นิวยอร์ค จอห์น แมคเคนบอกกับบารัค โอบามาว่า "วุฒิสมาชิกโอบามา ผมไม่ใช่ประธานาธิบดีบุช หากคุณต้องการลงสมัครแข่งขันชิงกับประธานาธิบดีบุช คุณควรลงสมัครฯเมื่อ 4 ปีที่แล้ว"

McCain: "I'm not President Bush"

at the third presidential debate in Hempstead, New York, John McCain told Barack Obama, "Sen. Obama I'm not President Bush. If you wanted to run against President Bush you should have run four years ago."


คำแปลการโต้วาทีของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาครั้งที่สาม

การโต้วาทีของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาครั้งที่สาม ตอนที่1
การโต้วาทีของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาครั้งที่สาม ตอนที่2

การโต้วาทีของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาครั้งที่สาม ตอนที่3
การโต้วาทีของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาครั้งที่สาม ตอนจบ

ประชาไท


The First Presidential Debate: จอห์น แมคเคน Vs. บารัค โอบามา

First Presidential Debate Videos



The first presidential debate between Republican nominee Sen. John McCain and Democratic nominee Sen. Barack Obama was held on September 26, 2008. The debate was held at the University of Mississippi in Oxford, Mississippi. It was moderated by Jim Lehrer of PBS.


Fact checking the first presidential debate

By CALVIN WOODWARD and JIM KUHNHENN, Associated Press Writers
Sat Sep 27, 1:11 AM ET

WASHINGTON - Democrat Barack Obama and Republican John McCain stretched the facts in accusing each other of kowtowing to the oil industry and sprinkled other dubious assertions across the landscape of public policy in their first presidential debate.

McCain's plan to cut the corporate tax rate to 25 percent from 35 percent across the board so as to spur job creation was boiled down by Obama into a $4 billion tax break for Big Oil, as if no other companies or workers would benefit.

McCain similarly cut corners with context when he accused Obama of voting for huge subsidies for the oil industry. Obama voted to strip away those subsidies and, when that failed, backed broad energy legislation that contained them.

So it went during 90 minutes of debate, a reality warp at times.

Some examples:

OBAMA: "Sen. McCain mentioned Henry Kissinger, who is one of his advisers, who along with five recent secretaries of state just said we should meet with Iran — guess what? — without preconditions."

MCCAIN: "Dr. Kissinger did not say that he would approve face-to-face meetings between the president of the United States and (Iranian President Mahmoud) Ahmadinejad. He did not say that. He said there could be secretary-level and lower-level meetings. I've always encouraged that."

THE FACTS: Obama was right that Kissinger called for meetings without preconditions. McCain was right that Kissinger did not call for such meetings to be between the two presidents.

In a foreign policy forum on Sept. 15, Kissinger said: "I am in favor of negotiating with Iran." He went on to say, "I actually have preferred doing it at the secretary of state level" and the U.S. should go into the talks with "a clear understanding of what is it we're trying to prevent. What is it going to do if we can't achieve what we're talking about? But I do not believe that we can make conditions for the opening of negotiations. We ought, however, to be very clear about the content of negotiations and work it out with other countries and with our own government."

UPDATE**

The McCain camp sends along the following statement from Henry Kissinger: "Senator McCain is right. I would not recommend the next President of the United States engage in talks with Iran at the Presidential level. My views on this issue are entirely compatible with the views of my friend Senator John McCain. We do not agree on everything, but we do agree that any negotiations with Iran must be geared to reality.

___

OBAMA: "John, you want to give oil companies another $4 billion" in tax breaks.

THE FACTS: The $4 billion in tax breaks for the oil companies is simply part of McCain's overall corporate tax reduction plan and does not represent an additional tax benefit. In other words, the corporate tax reduction applies to all corporations, oil companies included. Both Obama and McCain have proposed eliminating oil and gas tax loopholes.

___

MCCAIN: Said the country has lost the sense of accountability exemplified by Allied commander Dwight Eisenhower on the eve of D-Day. He said Eisenhower wrote one letter to be released in the event of victory, which praised the troops, "and he wrote out another letter, and that was a letter of resignation from the United States Army for the failure of the landings at Normandy."

THE FACTS: Eisenhower prepared to take responsibility in the note to be delivered in the event of D-Day disaster but did not offer to resign.

The full text:

"Our landings in the Cherbourg-Le Havre area have failed to gain a satisfactory foothold and I have withdrawn the troops. My decision to attack at this time and place was based on the best information available. The troops, the air and the navy did all that bravery and devotion to duty could do. If any blame or fault attaches to the attempt, it is mine alone."

___

OBAMA: Said he would make sure that the health care system "allows everyone to have basic coverage."

THE FACTS: If that sounds like universal health coverage, it's not. Obama picked his words carefully — stopping short of claiming outright that his plan provides health care for all. He promises to make health insurance affordable but would only require that children, not adults, have coverage. Estimates of how many would remain without insurance vary. Sen. Hillary Rodham Clinton said during the primaries that Obama's plan would leave 15 million people uninsured.

___

MCCAIN: "We had an energy bill before the United States Senate. It was festooned with Christmas tree ornaments. It had all kinds of breaks for the oil companies, I mean, billions of dollars worth. I voted against it; Sen. Obama voted for it."

THE FACTS: Obama did vote for a 2005 energy bill supported by President Bush that included billions in subsidies for oil and natural gas production. McCain opposed the bill on grounds it included unnecessary tax breaks for the oil industry. Obama voted to strip the legislation of the oil and gas industry tax breaks. When that failed, he voted for the overall measure. Obama has said he supported the legislation because it provided money for renewable energy.

___

OBAMA: "We're also going to have to look at, how is it that we shredded so many regulations? We did not set up a 21st-century regulatory framework to deal with these problems. And that in part has to do with an economic philosophy that says that regulation is always bad."

THE FACTS: Some of the abuses that occurred stemmed from the 1999 repeal of a Depression-era law that separated banks from brokerages. In legislation supported by former President Clinton and Robert Rubin, now a top Obama adviser and treasury secretary in the Clinton administration, this separation was ended — allowing banks and insurance companies to sell securities.

But while regular banks were strictly regulated by the government, Wall Street banks and other non-bank institutions — many of the same institutions whose abuses led to the current crisis — were allowed to operate with less regulation.

___

MCCAIN: McCain said Obama voted to cut off money for the troops in Iraq.

THE FACTS: Despite opposing the war, Obama has, with one exception, voted for Iraq troop financing. In 2007, he voted against a troop funding bill because it did not contain language calling for a troop withdrawal. The Illinois senator backed another bill that had such language — and money for the troops.

___

MCCAIN: In a discussion of how the government could shrink spending, he said: "Look, we are sending $700 billion a year overseas to countries that don't like us very much."

THE FACTS: The comment echoes one he made in his acceptance speech at the Republican National Convention earlier this month, when he was talking about money the U.S. spends on foreign oil. FactCheck.org says the U.S. this year is on track to spend $536 billion on imported oil — not $700 billion — and nearly one-third of that comes from friendly nations: Canada, Mexico and Britain.

___

MCCAIN: "Sen. Obama twice said in debates he would sit down with Ahmadinejad, (Venezuelan President Hugo) Chavez and (Cuban President) Raul Castro without precondition."

OBAMA: "Now, understand what this means, 'without preconditions.' It doesn't mean that you invite them over for tea one day. ... There's a difference between preconditions and preparation. Of course we've got to do preparations, starting with low-level diplomatic talks, and it may not work, because Iran is a rogue regime."

THE FACTS: Obama was asked in a July 2007 debate whether he would be willing to meet "without precondition" with the leaders of Iran, Syria, Cuba and other countries the U.S. regards as rogue nations. Obama replied, "I would," adding that it was ridiculous to think that America is punishing such nations by refusing to speak with them. Time and again since then he has been forced to defend the statement, both by Democrats during the primaries and by Republicans.

Obama has tried to draw a distinction between a precondition and preparation. He has argued that he wouldn't demand that a foreign leader give in on some fundamental issue before the two sides met to discuss the dispute. But he has said "preparations" would require diplomatic contacts to gauge whether a formal meeting would be useful and to lay the groundwork for those talks.

___

MCCAIN: "You know, we spent $3 million to study the DNA of bears in Montana. I don't know if that was a criminal issue or a paternal issue, but the fact is that it was $3 million of our taxpayers' money. And it has got to be brought under control."

THE FACTS: A study regularly mocked by McCain as pork barrel spending could help ease restrictions on logging, development and even the oil and gas drilling that McCain wants to expand. Montana ranchers, farmers and Republican leaders pushed for the study as a step toward taking the grizzly bear off the endangered species list. Former Montana Gov. Judy Martz, a Republican and a McCain supporter, said the bear had been used to block the use of the state's abundant natural resources, when all along the animal was plentiful. "If it is going to remove it from the list, it is money well spent," Martz said.


”พรรคเดโมแครต”สร้างวิกฤติการเงินในอเมริกาขึ้นอย่างไร?

"พรรคเดโมแครต" สร้างวิกฤติการเงินในอเมริกาขึ้นอย่างไร?

วีดีโอ คลิปชุดนี้เป็นการกล่าวถึง "รากเหง้าแห่งการเกิดวิกฤติซับไพรม์จนนำไปสู่วิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริกา" ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในขณะนี้ ได้อย่างครอบคลุมมากที่สุดอันหนึ่ง

ปรัชญาเศรษฐกิจที่เชื่อในตลาดเสรีของพรรครีพับลิกันไม่ได้ล้มเหลวอย่างที่บารัค โอบามา ผู้เชื่อในระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (socialism) กล่าวหรอก แต่นโยบายที่สนับสนุนเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมแบบ Big government โดยหย่อนยานในเรื่องกฎระเบียบของภาคการเงินและการประกันภัยในอดีตต่างหากที่นำเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบัน

หรือหากจะกล่าวให้แฟร์ที่สุดทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตต้องมีส่วนรับผิดชอบในวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ แต่หากจะมาบอกว่าเป็นความผิดของพรรครีพับลิกันและรัฐบาลบุชแต่เพียงฝ่ายเดียวเป็นเรื่องที่กล่าวเท็จอย่างน่าตกใจที่สุด นี่ไม่ใช่แบบฉบับของคนที่จะมา shake up Washington ได้



ขณะที่นายบารัค โอบามา ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวโจมตีจอห์น แมคเคนตัวแทนจากพรรครีพับลิกันในศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ 2008 อย่างเผ็ดร้อนระหว่างการหาเสียงว่า แม้แม็คเคนครั้งหนึ่งเคยประกาศจะผ่อนปรนกฎระเบียบของภาคการเงินและการประกันภัยแต่แม้แม็คเคนจะเปลี่ยนท่าทีในช่วง 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่ก็ไม่สามารถบดบังจุดยืนแท้จริงที่เขายึดติดมาตลอด 26 ปีที่ทำหน้าที่วุฒิสมาชิกได้ นอกจากนี้ โอบาม่ายังออกโฆษณาหาเสียงโดยใช้วิธีพูดกับกล้องโดยตรงแบบเดียวกับการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี ย้ำว่า ประเทศกำลังต้องการการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเพื่อแก้ไขวิกฤติครั้งนี้

แน่นอนว่าในช่วงฤดูกาลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนั้น "เกมการกล่าวโทษหรือ blame game" ดูเหมือนจะเป็นกลยุทธที่ง่ายที่สุดที่แต่ละฝ่ายนำออกมาใช้โดยเฉพาะจากพรรคเดโมแครตที่จ้องเก้าอี้ทำเนียบขาวตาเป็นมันในเวลานี้หลังจากที่ถูกพรรครีพับลิกันยึดเก้าอี้ในทำเนียบขาวมานานถึง 8 ปี

แต่การที่พรรคเดโมแครตและบารัค โอบามาต้องการชี้นิ้วไปที่พรรครีพับลิกันและรัฐบาลบุชว่าสมควรเป็นผู้รับผิดอย่างเดียวกับวิกฤติการเงินในตลาดหุ้นวอลสตรีทจนกระทบเมนสตรีทในครั้งนี้พร้อมยกความดีความชอบให้กับตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น ดูเหมือนจะเป็นการกล่าวโทษที่ง่ายเกินไป ในขณะที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสและตัวบารัค โอบามาเองที่กล่าวโจมตีรัฐบาลบุชและพรรครีพับลิกันว่าเป็นแชมเปี้ยนในการผ่อนปรนกฎระเบียบของภาคการเงินและการประกันภัย ตัวเขาเองและพรรคเดโมแครตกลับโหวตคัดค้าน "ร่างกฎหมายที่เพิ่มกฎระเบียบแก่การเงินเพื่อเคหการที่มีอสังหาริมทรัพย์จำนองเป็นประกันอันดับสอง(The regulation of secondary mortgage market enterprises, and for other purposes - Federal Housing Enterprise Regulatory Reform Act of 2005) หรือ S.190" ที่เสนอโดย ชัค เฮเกล วุฒิสมาชิกรัฐเนบราสก้าจากพรรครีพับลิกัน และได้รับการสนับสนุนโดย จอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกจากรัฐเอริโซนา อลิซาเบธ โด วุฒิสมาชิกจากรัฐนอร์ธ แคโรไลนาและจอห์น ซูนูนู่ วุฒิสมาชิกจากรัฐนิวแฮมเชียร์ แต่ในที่สุดแล้วร่างกฏหมายฉบับนี้ก็ไม่ผ่านสภาคองเกรส

อีกทั้งวุฒิสมาชิกคริสโตเฟอร์ ดอดจ์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงประธาน คณะกรรมาธิการการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐและบารัค โอบามาก็รับเงินสนับสนุนจากบริษัทแฟนนี เม(Fannie Mae)และเฟรดดี แมค(Freddie Mac) สองสถาบันการเงินเสาหลักในการแปลงสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เป็นหลักทรัพย์ (Mortgage-Backed Securities) ซึ่งประสบกับปัญหาความเพียงพอของเงินกองทุนจนรัฐบาลสหรัฐฯเข้าไปให้ความช่วยเหลือและเป็นสาเหตุหลักต่อวิกฤติการเงินในครั้งนี้ด้วย

บารัค โอบามาและพรรคเดโมแครตไม่สามารถเดินออกจากวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในครั้งได้โดยบอกว่าตนไม่มีส่วนรับผิดชอบกับวิกฤติการเงินในครั้งนี้ได้หรอก เพราะเรื่องรากเหง้าแห่งการเกิดวิกฤติซับไพรม์นี้ต้องมองย้อนไปในอดีตหลายสิบปีอย่างที่เฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังได้กล่าวไว้ ต้องกลับไปดูสมัยพรรคเดโมแครตภายใต้รัฐบาลจิมมี่ คาเตอร์ที่บริหารในสไตล์สังคมนิยมแบบ Big Government โน่นเลยที่ต้องการอุ้มคนจน คนที่มีรายได้น้อยให้มีบ้านเป็นของตัวเองจนนำไปสู่ การออกกฏหมายที่เรียกว่า The Community Reinvestment Act จริงๆก็เป็นไอเดียที่ดีแต่ก็ช่วยคนจนได้น้อยมาก

ทว่าเมื่อมาถึงสมัยรัฐบาลคลินตันเมื่อปี 1995 กฏหมายฉบับนี้ถูกแก้ไขอีกครั้งเพื่อปล่อยเงินกู้จำนวนมหาศาลให้กับธุรกิจขนาดเล็กและสินเชื่อบ้านให้กับผู้มีรายได้ต่ำ จนธนาคารต้องถูกบังคับให้ปล่อยเงินกู้เป็นจำนวนเงินกว่า หนึ่งแสนล้านดอลล่าร์สำหรับ "Subprime loans" จนก่อให้เกิดหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันด้วยสินเชื่อที่อยู่อาศัยคุณภาพต่ำ(subprime mortgage securities) และ Bear Stern ก็เป็นสถาบันการเงินรายแรกที่มีความเกี่ยวข้องกับการออกสินเชื่อซับไพรม์

ในทางตรงกันข้ามรัฐบาลบุชและจอห์น แมคเคนกลับเป็นผู้ที่สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฏหมาย The Community Reinvestment Act ให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นแต่เดโมแครตกลับคัดค้านโดย Representative Barney Frank (D-MA) ประธาน House Financial Services Committee กล่าวว่า

"These two entities -- Fannie Mae and Freddie Mac -- are not facing any kind of financial crisis, the more people exaggerate these problems, the more pressure there is on these companies, the less we will see in terms of affordable housing."

"สองสถาบันการเงินนี้ แฟนนี่ เมย์และเฟรดดี้ แมค ไม่มีทางเจอกับวิกฤติการเงินหรอก ยิ่งคนตื่นตูมกับปัญหาเหล่านี้มากเท่าไหร่ ยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับสถาบันการเงินเหล่านี้มากยิ่งขึ้น เรายิ่งเห็นบ้านในโครงการเคหะแห่งชาติน้อยลง "

นี่เป็นเพียงการกล่าวโโยย่อถึงรากเหง้าแห่งการเกิดวิกฤติการเงินในอเมริกาเท่านั้น ในครั้งหน้าผู้เขียนจะขอกล่าวเพิ่มเติมโดยละเอียดถึงรากเหง้าแห่งการเกิดวิกฤติการเงินที่มาจากวิกฤตสินเชื่อที่อยู่อาศัยคุณภาพต่ำ (Sub-Prime Mortgages) ในคราวต่อไป


ผลสำรวจชี้คนดู"แม็คเคน"สปีชมากกว่า"โอบาม่า"

ดูเหมือน จอห์น แม็คเคน จะชนะยกแรก เมื่อสุนทรพจน์ของเขาเรียกคนดูทางโทรทัศน์ได้มากกว่าคู่แข่งรุ่นลูก บารัค โอบาม่า

(6ก.ย.) ผลสำรวจของบริษัทจัดอันดับ เนลเซ่น มีเดีย รีเสิร์ช พบว่า มีผู้ชมแม็คเคนกล่าวสุนทรพจน์รับการรับรองอย่างเป็นทางการเพื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐในวันสุดท้ายของการประชุมใหญ่พรรคเมื่อวานนี้ 38 ล้าน 9 แสนคน ขณะที่มีผู้ชมโอบาม่า กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 38 ล้าน 4 แสนคน

ขณะที่มีผู้ชมการกล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันพุธของนางซาราห์ เพ-ลิน คู่หูชิงรองประธานาธิบดีของแม็คเคน 37 ล้าน 2 แสนคน มากกว่าจำนวนคนที่ติดตามสุนทรพจน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วของโจเซฟ ไบเดน คู่ชิงรองประธานาธิบดีของโอบาม่า ซึ่งอยู่ที่ 24 ล้านคน

แต่ผลสำรวจของเนลเซ่น มีเดีย รีเสิร์ช ต่างจากของสถานีโทรทัศน์ พีบีเอส ซึ่งคาดว่ามีผู้ชมแม็คเคน3 ล้าน 5 แสนคน น้อยกว่าโอบาม่าซึ่งมีผู้ติดตามมากถึง 4 ล้านคน

คม ชัด ลึก


"จอห์น แมคเคน"ตัดสินใจเลือกคู่ชิงรองปธน.สหรัฐฯแล้ว

วุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน เลือกคู่ชิงรองประธานาธิบดีแล้ว จะปรากฎตัวคู่กันที่รัฐโอไฮโอในวันศุกร์


(29ส.ค.) คณะที่ปรึกษาของวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ว่าที่ตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯเปิดเผยว่า แมคเคนได้ตัดสินใจเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น เลือกตัวผู้ที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับเขาแล้ว และเขาจะปรากฎตัวคู่กับคนที่เขาเลือกในการหาเสียงที่รัฐโอไฮโอ ในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางรายงานข่าวที่ว่า ฝ่ายของเขาตั้งใจจะทำข่าวรั่วไหลภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

ก่อนหน้าที่จะประกาศอย่างเป็นทางการ เพื่อเบนความสนใจไปจากคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต คือบารัก โอบาม่า ผู้

มีกำหนดจะกล่าวสุนทรพจน์ตอบรับการที่พรรคเดโมแครตเสนอชื่อเขาเป็นตัวแทนไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่สนามฟุตบอล"อินเวสต์โก้ ฟิลด์" ของนครเดนเวอร์ ซึ่งจุคนได้ 75000 คนในคืนวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น อันจะเป็นไคลแมกซ์ปิดท้ายการประชุมแห่งชาติพรรคเดโมแครตนาน 4 วัน

บรรดาที่ปรึกษาของแมคเคนไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียด แต่สำนักข่าวเอพีตั้งข้อสังเกตว่า หนึ่งในสองตัวเก็ง คือ ทิม พาวเลนตี้ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซต้า ผู้มีวัย 47 ปีเท่ากับนายโอบาม่า ได้ขอยกเลิกการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีอย่างกระทันทันโดยไม่แจ้งสาเหตุ รวมทั้งได้งดการให้สัมภาษณ์สื่ออื่นๆที่นครเดนเวอร์ ซึ่งกำลังเป็นสถานที่จัดการประชุมแห่งชาติของพรรคเดโมแครตด้วย

ขณะที่ตัวเก็งอีกคน คือมิตต์ รอมนี่ย์ อดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาจูเซ็ทส์ กำลังออกพบปะกับผู้บริจาคทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนอีกสองชื่อที่อยู่ในข่ายคือ วุฒิสมาชิก โจ ลิเบอร์แมน แห่งรัฐคอนเนคติกัต กับทอม ริดจ์ อดีตรัฐมนตรีความมั่นคงภายในคนแรกและอดีตผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนียนั้น มีข่าวว่าตกไปเพราะสองคนหลังสนับสนุนการทำแท้งเสรี ซึ่งผลสำรวจระบุว่า ร้อยละ 20 ของผู้สนับสนุนแมคเคนบอกว่าจะไม่ลงคะแนนให้เขา หากเขาเลือกคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้

คม ชัด ลึก