Spiga

Love in Spring: รักในฤดูใบไม้ผลิ


Image: Pino Daeni - Love

Love is like a flower
Such beauty shines so true
It warms my heart and makes me smile
When I think of only you.

Love is like a bloom in spring
That grows and colors hearts
I saw this special love in you
And I hope we never apart.

S.A.
2006


๑ ใน ๑๖ ล้านเสียงนี้ขอมอบให้แด่ พ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตร

ในทางรัฐศาสตร์นัยสำคัญของตัวเลขจากผลการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยถือว่ามีความสำคัญมากค่ะเนื่องเพราัะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้น้ำหนักกับตัวเลขที่วัดจากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา๒๐๑ ได้ระบุไว้ว่า "นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งโดยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร" พรรคที่ได้จำนวน ส.ส. สูงสุดก็จะมีโอกาสเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า ความสำคัญของตัวเลขก็เกิดขึ้นทันที การที่ท่านนายกฯทักษิณได้กล่าวย้ำเตือนถึงความสำคัญของตัวเลข ๑๖ ล้านเสียง หรือ ๑๙ ล้านเสียงให้นักวิพากษ์วิจารณ์ฟังจึงเป็นการกล่าวที่ถูกต้องและชอบด้วยกฏหมายด้วยประการทั้งปวงค่ะ สำหรับผู้เขียนแล้วนายกรัฐมนตรีที่สง่างามต้องมาจากประชาชนเท่านั้นค่ะ

อย่างที่หลายๆคนคงจะทราบจากข่าวแล้วว่า ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรทั่วประเทศ ในปี ๒๕๔๙ ทั้งแบบบัญชีราชชื่อ (party list) และแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง (ส.ส.เขต) ก็ปรากฏผลออกมาแล้วค่ะ จากการรายงานสรุปคะแนนเลือกตั้งของกระทรวงมหาดไทยมีรายละเอียดสรุปย่อดังนี้:

ในระบบบัญชีรายชื่อ(ปาร์ตี้ลิสต์) โดยให้เลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งบัญชีเดียว และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง

- คะแนนของพรรคไทยรักไทย ในระบบบัญชีรายชื่อ ได้คะแนนทั้งสิ้น: 16,246,368 คะแนน
- จำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใคร(No Vote) ในระบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้งสิ้น: 8,399,144 บัตร
- ยอดผู้ใช้สิทธิ์ทั่วประเทศทั้งสิ้น: 28,765,506 คน

จากผลการเลือกตั้งข้างบนสรุปได้ว่าพรรคไทยรักไทยได้คะแนนแบบบัญชีรายชื่อ คิดเป็น 60.1 % ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด (คิดจากบัตรดีทั้งหมด)

ส่วนในระบบแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละหนึ่งคน

- คะแนนของพรรคไทยรักไทย ในระบบแบบแบ่งเขตทั่วประเทศพรรคไทยรักไทยได้ทั้งหมดรวม: 15,387,223 คะแนน
- จำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครในระบบแบ่งเขตรวมทั้งสิ้น: 9,207,230 บัตร
- ยอดผู้ใช้สิทธิ์ทั่วประเทศทั้งสิ้น: 28,765,506 คน

จากผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตสรุปได้ว่าพรรคไทยรักไทยได้คะแนนแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง(ส.ส.เขต) คิดเป็น 57 % ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด (คิดจากบัตรดีทั้งหมด)

จากผลการเลือกตั้งที่ออกมาในครั้งนี้ผู้เีขียนต้องขอแสดงความยินดีกับ สมาชิกพรรคไทยรักไทยและพ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตร นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่น้ำใจนักกีฬาคนนี้ด้วยค่ะที่ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งทั่วประเทศได้อย่างสง่างาม ครองใจมติมหาชน 16 ล้านเสียงท่ามกลางแรงเสียดทานจากหลายๆปัจจัยไม่ว่าจะเป็น:

1. ในสภาวะการการเมืองที่ไม่นิ่งตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากการชุมนุมขับไล่ท่านนายกฯทักษิณของกลุ่มพันธมิตรประชาชนฯ แต่พรรคไทยรักไทย และนายกฯทักษิณก็ยังคงไ้ด้รับความยินยอมและความไว้วางใจจากประชาชนถึง 16 ล้านเสียงมากกว่าจำนวนผู้ประสงค์ไม่ลงคะแนน(No Vote) กว่าเท่าตัวซึ่งคะแนน No Vote ในครั้งนี้มีประมาณ 8 ล้านเสียง

ซึ่งจริงๆช่อง "ไม่ประสงค์ลงคะแนนหรือ No Vote" ก็คือ การรวมตัวกันของฐานเสียงพรรค ปชป. + ชาติไทย + มหาชน + พรรคอื่นๆ + ผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้พรรคใดทั้งสิ้น (อาจจะเกลียดนายกฯ และเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับม็อบพันธมิตรฯ) ในรูปแบบของการงดออกเสียงเท่านั้นเองค่ะ

การเลือกตั้งเมื่อปี 2548 มีประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ประมาณ 32 ล้านคน โดยการเลือกตั้งในครั้งนั้น พรรค ปชป. + ชาติไทย + มหาชน + พรรคอื่นๆ + ผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนได้ มา 13.6 ล้านเสียง มาถึงการเลือกตั้งในครั้งนี้มีผู้ออกไปใช้สิทธิ์ประมาณ 28 ล้านคน พรรคไทยรักไทยได้ 16 ล้านเสียง หายไปประมาณ 2 ล้านเสียง แต่พรรคอื่นในรูปแบบการงดออกเสียงเหลือ 8 ล้านเสียง หายไปมากกว่า เพราะในภาพรวมผู้มาใช้สิทธิ์น้อยลงกว่าเดิม 4 ล้านคน คะแนนเสียงของพรรคไทยรักไทยจึงหายไปเพียงแค่ 2.8 ล้าน และหากนำคะแนนเสียงไม่เลือกใครในปีนี้ที่คิดเป็น 31 % ไปเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ที่ คะแนนพรรค ปชป. + ชาติไทย + มหาชน + No Vote + พรรคอื่นๆ รวมทั้งสิ้นคิดเป็น 34% ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดนั้น เทียบกับคะแนนเสียงไม่เลือกใครในปีนี้ยังถือว่าสูงกว่่าด้วยซ้ำไปค่ะ

2. ก่อนการเลือกตั้งในครั้งนี้ท่านนายกฯต้องเผชิญกับ การทำสงครามกับสื่อไทยที่ไร้จรรยาบรรณหลายสำนักที่ช่วยกันในการประโคมข่าวซึ่งมีแต่ข้อกล่าวหา การปล่อยข่าวลือ รวมทั้งการเต้าข่าว กุข่าวอย่างไม่ขาดสาย ผู้เขียนเห็นด้วยกับคำสัมภาษณ์ของท่านนายกฯ กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้มากค่ะเมื่อนักข่าวคนหนึ่งยิงคำถามเรื่องความแตกแยกในสังคมไทยที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวตอบไปว่า:

" ... ต้องขอร้องให้สื่อช่วยให้ความสมดุลในการนำเสนอข่าว หากยังมุ่งเน้นเรื่องการขายสินค้า ตนรู้ว่ายอดขายของสื่อดีขึ้น ต้องการนำเสนอภาพการประท้วงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอยากให้ทุกคนหันกลับมามอง ต้องดูว่าชาติบ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไร ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย"

และหากเราหาเหตุแห่ง "ต้นตอการสร้างความร้าวฉานในสังคม" ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อย่่างมีสติ เราจะเห็นได้ชัดเจนค่ะว่ามันมีต้นตอมาจาก "สื่อที่ไร้จรรณยาบรรณ" นั่นเองค่ะ เหมือนที่นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งได้เคยเขียนบทความเรื่อง "ผู้ร้ายทางข่าว" ไว้ว่า "ผู้เขียนข่าว" เปรียบเหมือนผู้เนรมิต ถ้าเขียนข่าวออกมาในข้อเท็จจริง เรียกว่าผู้เนรมิตของจริง แต่ถ้าเขียนในลักษณะที่บิดเบือนข้อเท็จจริง คือประเภทเขียนระบายสี ก็เรียกว่าเนรมิตบิดเบือนข้อเท็จจริง. การสกู๊ปข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริงจากขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวนั้นมีประจำและการเขียนข่าวที่ให้สัมภาษณ์อย่างหนึ่ง แต่กลับไปเขียนอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถูกต่อว่าต่อขานจากผู้ให้สัมภาษณ์มีอยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นเรื่องที่ระอากันทั่ว ๆ ไป นี่ก็เป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้วงการหนังสือพิมพ์ของไทยเราด้อยศักดิ์ศรีลงไปมาก ที่เป็นเช่นนี้ก็พอสันนิษฐานได้ว่าการไม่มีจรรยาบรรณคุ้มครองการมี "อคติ" เป็นเจ้าเรือน การเกลียดใครชังใครไม่ชอบใจใครเป็นส่วนตัว เมื่อมีปากกาอยู่ในมือเขียนข่าวบิดเบือนตามอารมณ์ของคนเขียนจึงไม่ส่งผลดีกับสังคมแน่นอน ทำให้ประโยชน์ส่วนใหญ่เสียหายไปด้วย ผลสุดท้ายสถาบันอันสำคัญนี้ก็มีแต่ง่อนแง่คลอนแคลน ไม่มีใครเชื่อถือ "

นี่จึงอาจกล่าวได้ว่า ปากกานั้นร้ายกว่าหอกปลายปืนหากผู้ที่ถือปากกาไม่ใช้ปากกานั้นด้วยความรับผิดชอบ

3. การประกาศคว่ำบาตรไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อต้องการให้สภาตกอยู่ในสภาวะสูญญากาศ หลังการเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมษายน

4. ก่อนการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์นำโดย 'อภิสิทธิ์-ชวน' หนีกระเจิง ถูกชาวเชียงใหม่บางกลุ่มโห่ไล่ หลังจากขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีพรรคไทยรักไทยอย่างหนักหน่วง เหตุความวุ่นวายที่เชียงใหม่นี้เมื่อมองอีกมุม อาจเป็นการเดินเกมส์ทางการเมืองไว้อย่างแนบเนียนของ พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ค่ะ เพื่อสร้างความไม่พอใจให้กับคนทางภาคใต้ที่นิยมพรรคประชาธปัตย์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพื่อสกัดเงื่อนไขผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 20% กรณีมีผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยลงสมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว

5. การวิพากษณ์วิจารณ์หรือโจมตีแนวทางบริหารงานของพรรคไทยรักไทยและแนวความคิดทางการเมือง ของนายกฯทักษิณของนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ราษฎรอาวุโสบางส่วนที่ต่อต้าน "ระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์" อย่างหนักหน่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากนี้บรรดานักวิชาการเหล่านี้ยังได้สูญเสียสถานภาพและความน่าเชื่อจากรัฐบาลชุดนี้มากทีเดียว เพราะรัฐบาลไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่ไม่ให้ความสำคัญนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยมากไปกว่าทีมที่ปรึกษาและทีมวิจัยของรัฐบาลเอง

จะเห็นได้ว่าถึงแม้การเลือกตั้งทีผ่านมาจะมีกระแสต่อต้านจากคนส่วนหนึ่ง แทบทุกสื่อรุมด่าแต่รัฐบาลนายกฯทักษิณและพรรคไทยรักไทยก็ยังได้รับความไว้วางใจจากประชาชนไทยมากถึง 16 ล้านเสียง หรือ 60.1% ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยค่ะ อาจกล่าวได้ว่าน่าอัศจรรย์เสียด้วยซ้ำทั้งที่ยืนเป็นกระสอบทรายให้ต่อยมานานหลายเดือน

ผลจากการเลือกตั้งในครั้งนี้จึงเสมือนกับเป็น "การลงประชามติของประชาชน" ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยว่า มติมหาชนส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า:

- พวกเขาต้องการชี้ให้เห็นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยมิใช่ของคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ปฏิเสธกฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย
- พวกเขายังเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย
- ต้องการให้ พ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตรกลับเข้ามาเป็นผู้นำรัฐนาวา เดินหน้าปฎิรูปการเมือง และบริหารประเทศต่อไปเหมือนเดิม
- ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอันเป็นที่มาของความขัดแย้ง
- ต้องการให้บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะสงบสุขและสันติโดยเร็วที่สุด
- ต้องการนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
- ไม่เห็นด้วยกับพรรคฝ่ายค้านที่คว่ำบาตรการเลือกตั้ง และพยายามขัดขวางการเลือกตั้งไม่ให้เกิดขึ้น
- ไม่เห็นด้วยกับสื่อที่คอยชี้นำว่าการเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมษาไม่มีวันเกิดขึ้น
- ไม่เห็นด้วยกับพวกนักวิชาการที่เดินสวนทางกับระบอบประชาธิปไตยที่สบประมาทเสียงของคนไทยทั่วประเทศว่าไม่มีความหมาย

มาถึงตรงนี้ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ เมษายนที่ผ่านมาก็ผ่านลุล่วงไปไ้ด้ด้วยดีแม้ฝ่ายต่อต้านจะไม่ต้องการให้เกิดขึ้น การเลือกตั้งในครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งค่ะว่า ท่านนายกฯทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ได้สรรสร้างแนวทางใหม่ๆให้กับสังคมไทย และยึดมั่นในระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่พรรคการเมืองหนึ่งเดินตามครรลองแห่งรัฐธรรมนูญได้รักษาและยึดมั่นในแนวทางนี้อย่างมั่นคง โดยไม่หวั่นไหวต่อการกระทำไดๆทั้งสิ้น ไม่เลือกใช้ "วิธีการนอกระบบ" เหมือนกับพรรคการมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งที่ตีตราให้ตัวเองว่า "เราเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา"

ท่านนายกฯทักษิณได้รับเีสียงท่วมท้น ๑๖ ล้านเสียงอย่างที่ไม่เคยมีอดีตนายกฯไทยคนใดได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเท่านี้มาก่อนเ็ป็น "ชัยชนะที่สง่างาม" ของท่านจริงๆค่ะ

มาวันนี้ พ.ต.ท ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศเว้นวรรคทางการเมืองจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกระบวนการสรรหาที่จะมีขึ้น ในสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ เพื่อให้สถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง คลี่คลาย และต้องการให้งานเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชสมบัติครบ 60 ปีดำเนินไปอย่างราบรื่นเพื่อร่วมกันถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้นว่าพรรคไทยรักไทยของท่านได้รับ ความยินยอมและความไว้วางใจจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยความถูกต้องและชอบธรรมตามครรลองแห่งรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยที่ท่านสมควรจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่ท่านก็ต้องจำยอมสละ "หลักการอันถูกต้อง" เพื่อให้เกิดความสงบสุข ความสมานฉันท์และความปรองดองขึ้นภายในบ้านเมือง การเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน คือ ความหมายของการปกครองโดยแท้

การประกาศเว้นวรรคทางการเมืองของท่านนายกฯทักษิณในครั้งนี้ เป็นการประกาศที่ถือว่า ยิ่งใหญ่และน่ายกย่องมาก ในความรู้สึกของผู้เขียนค่ะ ต้องอาศัยความกล้าหาญ และเสียสละอย่างมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือผู้เขียนได้เห็นความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ของท่านนายกฯทักษิณอย่างเต็มเปี่ยม หาได้เป็นไปอย่างที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลเคยโจมตีท่านอย่างไม่ให้เกียรติว่า ทักษิณต้องการทำลายหลักการ The King Can Do No Wrong ทักษิณอยากเป็นประธานาธิบดี และไม่จงรักภักดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์

ผู้เขียนเองก็ไม่ทราบว่ามีประชาชนจำนวนสักเท่าใดที่เข้าใจกับการประกาศไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่านในครั้งนี้และก็ไม่อาจทราบว่าความหวังดีต่อชาติบ้านเมืองของท่านนายกฯในครั้งนี้จะได้รับการตอบสนองจากกลุ่มพันธมิตรฯ มากน้อยเพียงใด แต่ตัวผู้เขียนเองเข้าใจเจตนารมณ์ที่สุจริตใจของท่านนายกฯทักษิณและรับทราบมาตลอดว่า ท่านมีความลำบากใจเพียงใดกับการตัดสินใจครั้งสำคัญบนเส้นทางการเมืองในครั้งนี้ที่ต้องผิดสัญญาประชาคมกับประชาชน 16 ล้านเสียงที่เทใจให้ไทยรักไทย และถึงแม้ว่าท่านจะไม่รับตำแหน่งนายกฯ ในครั้งนี้ก็ตาม ท่านก็จะยังอยู่ในใจผู้เขียนซึ่งเป็น 1 ใน 16 ล้านเสียงที่มอบความไว้วางใจให้กับท่านเสมอมาและจะรอการกลับมาของท่านอีกครั้งหลังจากการปฏิรูปการเมือง ท่านนายกฯ ทำสิ่งที่เป็นการเสียสละเป็นการรักษาบ้านเมืองไว้ไม่ให้เสียหายและไม่ต้องการทำลายรัฐธรรมนูญ ท่านเสียสละอำนาจที่ทุกคนต้องการไขว่คว้าเพื่อประโยชน์สุขของคนไทยทุกๆ คน ในสายตาของผู้เขียนท่านชนะทางการเมืองแล้วค่ะ

แม้ตัวผู้เขียนจะเสียน้ำตากับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของท่านนายกฯทักษิณในครั้งนี้มากมาย แต่ก็ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้เป็น 1 ในเสียงข้างมากที่ได้มอบหนึ่งเสียงนี้ให้กับชายที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร สุภาพบุรุษประชาธิปไตย ผู้ปฏิรูปเพื่อความเท่าเทียมกันของชาวชนบทและชาวเมืองผู้นี้ค่ะ


วันนี้ผู้เขียนขอทิ้งท้ายบทเพลงแห่งความหวังและกำลังใจ "You'll Never Walk Alone" มาฝากเพื่อนๆหัวใจประชาธิปไตยทุกคนค่ะ

"You'll Never Walk Alone"

... To PM.Thaksin with Love.
... แด่นายกฯ ทักษิณ ด้วยรักและศรัทธา
... You fight for good future.
... คุณต่อสู้เพื่ออนาคตที่สดใส

... When you walk through a storm.
... ยามที่คุณต้องเดินฝ่าพายุ
... Hold your head up high.
... จงเชิดหน้าของคุณให้แน่วแน่

... And don't be afraid of the dark.
... จงอย่ากลัวความมืด (อุปสรรค)
... At the end of the storm. Is a golden sky.
... สุดปลายทางของพายุ คือท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ

... And the sweet silver song of lark.
... และเสียงร้องไพเราะเสนาะโสตของสกุณี
... Walk on through the wind.
... จงลุยฝ่าพายุต่อไป

... Walk on through the rain.
... จงลุยฝ่าสายฝนต่อไป
... Tho' your dreams be tossed and blown.
... และอย่าโยนความฝันอันบรรเจิดของคุณทิ้งไป

... Walk on, Walk on,
... จงก้าวเดินต่อไป จงมุ่งหน้าฟันฝ่าต่อไป
... With hope in your heart.
... ด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง

... And you'll never walk alone.
... แล้วคุณจะไม่มีวันโดดเดี่ยวเดียวดาย
... You'll never walk alone.
... คุณจะไม่มีวันเปล่าเปลี่ยวตามลำพัง

... God bless you safe and sound all time.
... พระเจ้าทรงอวยพรให้คุณก้าวเดินต่อไป ด้วยความสวัสดีมีโชคชัย



"Be strong and courageous. Do not be terrified; do not be discouraged, for the LORD your God will be with you wherever you go." [Joshua 1:9]

"เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่า จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า" [จอชูอะห์ 1:9]

สุขสันต์วันหยุดสุดสัปดาห์ค่ะ ... :)