Spiga

จอห์น แมคเคนเลือก "ซาร่าห์ เพลิน" เป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีแล้ว/Sarah Palin is McCain's VP pick.

WOW! WOW! WOW!

Maverick McCain ทำเซอร์ไพรซ์อีกแล้ววันนี้ที่เลือกผู้ว่าการรัฐอลาสก้าซาร่าห์ แพลิน(GOVERNOR SARAH PALIN) เป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดี เรียกว่าคาดไม่ถึงจริงๆค่ะ แต่ผู้เขียนเองก็ได้ข่าวแว่วๆมาแล้วในช่วงที่ชมการประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตทีเดนเวอร์วันที่ 3 เพราะเห็นผู้สื่อข่าว Anderson Cooper พูดด้วยความไม่แน่ใจว่า อาจไม่ใช่ทิม พาวเลนตี้ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซต้า อาจไม่ใช่มิตต์ รอมนี่ย์ อดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาจชูเซ็ทส์ แต่ไม่ใช่วุฒิสมาชิก โจ ลิเบอร์แมน แห่งรัฐคอนเนคติกัต กับทอม ริดจ์ อดีตรัฐมนตรีความมั่นคงภายในคนแรกและอดีตผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนีย อย่างแน่นอน

แต่อาจเป็นผู้หญิง!! และจะเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มาก และก็ใช่จริงๆด้วยเพราะคนวงในพรรครีพลับลิกันหลายคนยังคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเธอคนนี้ แต่ที่แน่ๆที่ผู้เขียนทราบจากเพื่อนที่อยู่อลาสก้ามาว่า She’s brilliant! and a great debater!! เลยทีเดียว

และก็เป็นเธอซาร่าห์ แพลิน ผู้ว่าการรัฐอแลสก้าที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 44 ปีและเป็นผู้หญิงคนแรกที่เป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐอเมริกา

ในอนาคต จับตาเธอไว้ให้ดีค่ะ! นี่แหละค่ะ รีพลับลิกันพวกเขามีอะไรให้เซอร์ไพร้ส์เราเสมอ

อย่าลืมติดตามการเจาะลึกการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นได้ที่ Chronicle of Ideas ที่นี่ที่เดียวอย่างที่สื่อไทยเลือกที่จะไม่นำเสนอ(เพราะหน้าหนังสือพิมพ์ไทยมีแต่ข่าวบารัค โอบามา) เริ่มตั้งแต่อาทิตย์หน้าวันประชุมใหญ่พรรครีพลับลิกันเป็นต้นไปค่ะ

และติดตามการเมืองไทยได้ที่ Thinking in ink ที่เดิม


"จอห์น แมคเคน"ตัดสินใจเลือกคู่ชิงรองปธน.สหรัฐฯแล้ว

วุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน เลือกคู่ชิงรองประธานาธิบดีแล้ว จะปรากฎตัวคู่กันที่รัฐโอไฮโอในวันศุกร์


(29ส.ค.) คณะที่ปรึกษาของวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ว่าที่ตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯเปิดเผยว่า แมคเคนได้ตัดสินใจเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น เลือกตัวผู้ที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับเขาแล้ว และเขาจะปรากฎตัวคู่กับคนที่เขาเลือกในการหาเสียงที่รัฐโอไฮโอ ในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางรายงานข่าวที่ว่า ฝ่ายของเขาตั้งใจจะทำข่าวรั่วไหลภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

ก่อนหน้าที่จะประกาศอย่างเป็นทางการ เพื่อเบนความสนใจไปจากคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต คือบารัก โอบาม่า ผู้

มีกำหนดจะกล่าวสุนทรพจน์ตอบรับการที่พรรคเดโมแครตเสนอชื่อเขาเป็นตัวแทนไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่สนามฟุตบอล"อินเวสต์โก้ ฟิลด์" ของนครเดนเวอร์ ซึ่งจุคนได้ 75000 คนในคืนวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น อันจะเป็นไคลแมกซ์ปิดท้ายการประชุมแห่งชาติพรรคเดโมแครตนาน 4 วัน

บรรดาที่ปรึกษาของแมคเคนไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียด แต่สำนักข่าวเอพีตั้งข้อสังเกตว่า หนึ่งในสองตัวเก็ง คือ ทิม พาวเลนตี้ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซต้า ผู้มีวัย 47 ปีเท่ากับนายโอบาม่า ได้ขอยกเลิกการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีอย่างกระทันทันโดยไม่แจ้งสาเหตุ รวมทั้งได้งดการให้สัมภาษณ์สื่ออื่นๆที่นครเดนเวอร์ ซึ่งกำลังเป็นสถานที่จัดการประชุมแห่งชาติของพรรคเดโมแครตด้วย

ขณะที่ตัวเก็งอีกคน คือมิตต์ รอมนี่ย์ อดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาจูเซ็ทส์ กำลังออกพบปะกับผู้บริจาคทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนอีกสองชื่อที่อยู่ในข่ายคือ วุฒิสมาชิก โจ ลิเบอร์แมน แห่งรัฐคอนเนคติกัต กับทอม ริดจ์ อดีตรัฐมนตรีความมั่นคงภายในคนแรกและอดีตผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนียนั้น มีข่าวว่าตกไปเพราะสองคนหลังสนับสนุนการทำแท้งเสรี ซึ่งผลสำรวจระบุว่า ร้อยละ 20 ของผู้สนับสนุนแมคเคนบอกว่าจะไม่ลงคะแนนให้เขา หากเขาเลือกคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้

คม ชัด ลึก


โอบามาลั่นกอบกู้ชื่ออเมริกา

30 สิงหาคม 2551 กองบรรณาธิการ

"บารัก โอบามา" ยอมรับการเสนอชื่อของพรรคเป็นแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในฐานะตัวแทนพรรคเดโมแครต ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ถล่มคู่เหมือน "แม็กเคน-บุช"

พร้อมให้คำมั่นจะแก้ไขความผิดพลาดทางเศรษฐกิจตลอด 8 ปีที่รีพับลิกันครองเมืองและกอบกู้ชื่อเสียงของอเมริกาในเวทีโลก

ส.ว.บารัก โอบามา ตอบรับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการเมื่อวันพฤหัสบดี ทำให้เขาสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในนามพรรคการเมืองใหญ่คนแรก

"ประเทศของเราเคยดีกว่าที่เป็นอยู่นี้...เรามารวมกันที่นี่เพราะเรารักประเทศนี้มากเกินกว่าจะปล่อยให้ช่วงเวลา 4 ปีข้างหน้าเป็นเหมือนกับช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา วันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ เราต้องลุกขึ้นมาพูดว่า '8 ปีนั้นเพียงพอแล้ว'" ส.ว.ผิวสีจากอิลลินอยส์กล่าวบนเวทีปราศรัยภายในสนามฟุตบอลอินเวสโกที่จุผู้สนับสนุนได้มากกว่า 75,000 คน เมื่อคืนวันพฤหัสบดีขณะที่เขาตอบรับการเสนอชื่อในที่ประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตประจำปีนี้

โอบามายังกล่าวโจมตีคู่แข่งคนสำคัญจากพรรครีพับลิกัน โดยเชื่อมโยง ส.ว.จอห์น แม็กเคน ว่าไม่ต่างอะไรกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และว่า นโยบายที่ล้มเหลวของรีพับลิกันคือต้นเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐผันผวนและทำให้สถานะของสหรัฐบนเวทีโลกเสื่อมถอยลง "ช่วงเวลานี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นโอกาสที่พวกเราจะได้รักษาคำมั่นสัญญาของอเมริกันให้ดำรงอยู่ต่อไปในศตวรรษที่ 21" เขากล่าว

สุนทรพจน์ครั้งใหญ่ระดับประเทศของโอบามาครั้งแรกนี้ ถือเป็นการเริ่มเดินเครื่องเต็มสูบตลอด 2 เดือนนับจากนี้ เพื่อขับเคี่ยวกับแม็กเคน ที่พยายามประกาศข่าวขโมยซีนว่าเขาได้เลือกคู่สมัครในนามรองประธานาธิบดีไว้แล้ว และเตรียมจะเปิดตัวร่วมกันที่โอไฮโอวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่แม็กเคนจะฉลองวันเกิดอายุครบ 72 ปีด้วย โดยมีมิตต์ รอมนีย์ อดีตผู้ว่าการมลรัฐแมสซาชูเซตส์ และทิม พอว์เลนตี ผู้ว่าการมลรัฐมินนิโซตา อยู่ในกลุ่มตัวเต็ง

โอบามาวิจารณ์แม็กเคนในประเด็นเดิมที่เขาเคยโจมตีก่อนหน้านี้ว่า ส.ว.มหาเศรษฐีจากรัฐแอริโซนา มีชีวิตที่สะดวกสบายไม่เคยต้องทุกข์ร้อนใจกับปัญหาในชีวิตประจำวันแบบคนอเมริกันทั่วไป และเขาไม่ต้องมาห่วงกับประเด็นปัญหาอย่างเช่น เศรษฐกิจ, ระบบประกันสุขภาพ และการศึกษา

"ผมไม่เชื่อว่าวุฒิสมาชิกแม็กเคนไม่ได้ห่วงใยวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนอเมริกัน แต่ผมคิดว่าเขาไม่รู้ซะมากกว่า" คำเหน็บแนมของโอบามาผู้กำลังถูกยุจากสมาชิกเดโมแครตบางคนให้กล่าวโจมตีแม็กเคนหนักข้อขึ้น

โอบามากล่าวถึงอิรัก ที่เขาคัดค้านการทำสงครามรุกรานอิรักตั้งแต่เริ่มต้น โดยให้คำมั่นว่าเขาจะ "ยุติสงครามในอิรักนี้ด้วยความรับผิดชอบ" และย้ำว่า เขาจะเรียกร้องให้ถอนกำลังทหารสหรัฐออกจากอิรัก ในขณะที่แม็กเคนยังดื้อรั้นปฏิเสธที่จะยุติสงครามที่ถูกชักนำไปผิดทิศผิดทางนี้ ขณะเดียวกันโอบามายืนยันว่าเขาจะทำให้การสู้รบกับพวกอัลกออิดะห์ในอัฟกานิสถานประสบความสำเร็จและยังเต็มใจจะใช้อำนาจทางทหารของสหรัฐหากถึงคราวจำเป็น

ด้านค่ายของแม็กเคน ได้ตอบโต้คำปราศรัยของโอบามาทันควันว่าเป็นสุนทรพจน์ที่บิดเบือนให้คนเข้าใจผิด "ข้อเท็จจริงยังคงเดิม โอบามายังคงไม่พร้อมที่จะเป็นประธานาธิบดี" ทักเกอร์ บาวด์ส โฆษกของแม็กเคนกล่าว.

ไทยโพสต์


เดโมแครตเสนอชื่อโอบามาเป็นตัวแทนแล้ว

เดนเวอร์-เดโมแครตประกาศเลือกโอบามาเป็นตัวแทนพรรคไปชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการแล้ว

พรรคเดโมแครตได้เสนอชื่อวุฒิสมาชิกบารัก โอบามาเป็นตัวแทนพรรคไปลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการแล้วในการประชุมใหญ่ของพรรคที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เมื่อวันพุธ (27 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งนับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเลือกชาวอเมริกันผิวสีเป็นตัวแทนหนึ่งในสองพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐเป็นครั้งแรก

นางแนนซี เปโรซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เป็นผู้ประกาศต่อที่ประชุมใหญ่ให้นายโอบามาเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตไปชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการภายหลังจากที่นายโอบามาได้รับเลือกด้วยวิธี "เปล่งเสียงสนับสนุน" จากชาวพรรคเดโมแครต ทั้งยังประกาศให้วุฒิสมาชิกโจเซฟ ไบเดนจากรัฐเดลาแวร์ เป็นตัวแทนพรรคไปชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับนายโอบามาด้วย

ด้านอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมให้การสนับสนุนนายโอบามาอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกโดยกล่าวว่า "โอบามาพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำสหรัฐ และฟื้นฟูความเป็นผู้นำของสหรัฐในโลก" ทั้งยังกล่าวชื่นชมนายไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีว่ามีบางกระเด็นที่โอบามาอาจได้พึ่งพาความมากประสบการณ์ของนายไบเดนผู้เป็นวุฒิสมาชิกมา 6 สมัย และว่าเมื่อได้ประสบการณ์กับความฉลาดเฉลียวของไบเดนไปสนับสนุนความเป็นคนที่มีความเข้าอกเข้าใจ มีวิสัยทัศน์ และสัญชาตญาณที่ดีของโอบามาแล้ว อเมริกาจะได้ผู้นำด้านความมั่นคงแห่งชาติอย่างที่จำเป็นต้องมี

ทั้งนี้ ในช่วงแรกทางพรรคเดโมแครตเตรียมรับรองนายโอบามาด้วยการนับคะแนนของเดลิเกตกว่า 4,400 คนแบบทีละรัฐ ซึ่งเป็นการทำตามธรรมเนียมเดิม ก่อนจะหยุดชะงักลงเมื่อนางฮิลลารี คู่แข่งคนสำคัญของนายโอบามาที่หาเสียงแข่งกันเป็นตัวแทนพรรคมาอย่างดุเดือด ได้ปรากฏตัวบนเวทีของที่ประชุมพร้อมเรียกร้องให้มีการใช้วิธีที่เรียกว่า "การเปล่งเสียงสนับสนุน" ผู้ที่ตนต้องการเลือกขึ้นมาแทน

หลังจากนั้น นางฮิลลารีได้เรียกร้องให้ที่ประชุมเปล่งคำพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ "บารัก โอบามา" เป็นตัวแทนของพรรค และเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ต่อจากนั้น นางเปโรซีได้ถามย้ำว่ามีชื่อบุคคลที่ 2 หรือไม่ เมื่อคณะผู้แทนพรรคเดโมแครตยืนยันว่าสนับสนุนนายโอบามาทำให้นางเปโรซียิ้มกว้าง และประกาศว่ายอมรับมติดังกล่าว ซึ่งนับเป็นการยุติการสู้ศึกอันยาวนานระหว่างนางฮิลลารีกับนายโอบามาอย่างเป็นทางการ ซึ่งได้สร้างความแตกแยกร้าวลึกในพรรคเดโมแครตด้วย

ในส่วนของพรรครีพับลิกันนั้น คาดว่าวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ว่าที่ตัวแทนพรรคจะประกาศชื่อคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในวันศุกร์นี้


Obama Names Sen. Joe Biden As Presidential Running Mate

By CHRISTOPHER COOPER
August 23, 2008 5:54 p.m.

Barack Obama picked Delaware Sen. Joseph Biden as his running mate, choosing a long-time Washington insider who could balance his thin resume on foreign policy over younger politicians who could have amplified the Democratic presidential candidate's message of change.

The campaign made a formal announcement about 3 a.m., with a text message to supporters saying "Barack has chosen Senator Joe Biden to be our VP nominee" and inviting them to watch a webstream video of their first rally together Saturday afternoon.

Sen. Biden, who has been in the Senate for more than 30 years, is chairman of the Senate Foreign Relations Committee, and recently returned from war-torn Georgia, which he visited at the behest of that country's president. Sen. Obama, by contrast, is a freshman senator who is regularly attacked by his Republican opponent, John McCain, for his lack of foreign policy experience.

Polls have consistently shown voters trust Sen. McCain more than Sen. Obama on foreign policy and national security issues.

"Biden talks about foreign policy the way the rest of us talk about baseball,"
said Larry Rasky, a longtime political adviser to the Delaware senator. "He
lives it and breathes it."

Sen. Biden also has been a fixture for a generation on the Senate Judiciary Committee, where he developed a reputation as a staunch partisan in some of the earliest and most vitriolic battles over the Supreme Court. As chairman of that panel, he presided over the controversial confirmation hearings of conservative jurists Robert Bork in 1987 and Clarence Thomas in 1991. (He voted against both. Judge Bork's nomination was defeated. Justice Thomas was confirmed).

Word of the Biden nomination first leaked out overnight, after the two other men widely considered to be on Sen. Obama's shortlist -- Indiana Sen. Evan Bayh and Virginia Gov. Tim Kaine -- told associates they had been notified by the campaign that they would not be chosen.

The 47-year-old Sen. Obama and 65-year-old Sen. Biden appeared together Saturday afternoon for the first time officially as a ticket at a rally in Springfield, Ill., the place where the Illinois lawmaker launched his presidential bid early last year. The two men are planning to take a tour of swing states before arriving in Denver for their party's nominating convention, which opens Monday.

Sen. Biden is a two-time presidential candidate himself, and during his short-lived run in the current cycle, he was at times critical of Sen. Obama's foreign-policy bona fides. That will be a staple of Republican attacks in coming days. At about 6 a.m. Saturday, the McCain campaign released a 30-second television it said would air in key states, that opens with Sen. Biden being asked about comments he had made saying Sen. Obama wasn't ready to be president. "I stand by that statement," he said. It then shows a separate television clip of him praising Sen. McCain. (See related article.)

Sen. McCain -- who has served with Sen. Biden in the Senate for 20 years -- will call the Delaware senator later today to congratulate him.

Sen. McCain is expected to make his own vice presidential pick by the end of the week, before the Republican convention opens in St. Paul, Minn., on Sept. 1. Where Sen. Obama was looking to offset his weakness in foreign policy, Sen. McCain may be seeking a partner who can address his perceived shortfalls in economic policy. One rumored candidate is former Massachusetts Gov. Mitt Romney, a successful venture capitalist. Another is Minnesota Gov. Tim Pawlenty, who trumpets his working class roots and talks of making the Republican Party more appealing to "Sam's Club" voters.

In passing over Messrs. Bayh and Kaine, Sen. Obama steered away from the prospect that his vice presidential choice could help him flip large, long-Republican states of Indiana and Virginia, where he is competing heavily.

Sen. Biden's tiny Delaware is reliably Democratic. But he is also well-known in neighboring Pennsylvania, where he grew up in Scranton, the son of a Catholic car salesman. His working-class roots there could help Sen. Obama shore up a weakness in the state that has voted Democratic in the past four presidential elections -- but where Sen. Obama was trounced by Hillary Clinton in the April Democratic primary.

One open question, as Democrats head to their convention, is whether the Biden pick will agitate the followers of Sen. Clinton, some of whom had hopes until the end that she might be Sen. Obama's running mate. Many of her supporters say they'll either stay home in November or back Sen. McCain. (See related article.)

Another possible weakness in the Biden pick: The verbose lawmaker is known for regular verbal gaffes that prompt him to retract them. Last year, when he announced his presidential candidacy, Sen. Biden's comments about Sen. Obama made news when he referred to the Illinois senator as a "clean" African-American.
"I mean, you got the first mainstream African-American who is articulate and
bright and clean and a nice-looking guy," Sen. Biden said. "I mean, that's a
storybook, man."
Stunned by the reaction to his comment and clearly embarrassed, Sen. Biden quickly issued an apology, both to Sen. Obama and the public. At a candidate forum shortly afterwards, Sen. Obama said he was convinced that Sen. Biden meant no offense by the statement.

His sometimes sharp tongue, however, could make him useful for the traditional "attack dog" role that vice presidential candidates play in campaigns, particularly as the partner to a presidential candidate often criticized, even by some Democrats, as being slow to punch back at political rivals. Last year, he blasted New York Mayor Rudy Giuliani for being patently unqualified to be president. "Rudy Giuliani. There's only three things he mentions in a sentence -- a noun, a verb, and 9/11," Sen. Biden said at a debate in 2007, in a reference to the 2001 terrorist attack on New York. "There's nothing else."

Though Sen. Biden made a poor showing in the presidential primary contest, he distinguished himself as an able fund-raiser and an intelligent campaigner, raising more than $14 million in a contest dominated by heavyweights and routinely garnering the biggest applause lines at public forums. His command of the issues at presidential forums made him stand out in a big field, prompting his campaign to make up buttons with the simple slogan "Joe Knows."

Sen. Biden has spent most of his adult life as a U.S. senator since his election to represent Delaware in 1972 at the age of 29. A self-professed mediocre student, he grew up working-class, and friends say his modest upbringing still shines through as he campaigns, despite all his years in Washington.

As a politician from a small state, Sen. Biden is a big believer in retail politics. "I think I'm at my best when I'm out with regular people, in their face and in their living rooms and diners," he said in an interview last summer. "That's where I find out that a majority of people agree with my plans, even if a majority of people have no idea who I am."

Boosters say it's his ability to interact with working-class Americans, more than foreign policy, that will prove to be most valuable to Sen. Obama, who is often cast as cold and professorial and has had difficulty attracting white, blue-collar voters.

Sen. Biden has a compelling personal story, marked by tragedy. Within weeks of his election in 1972, his wife and daughter were killed in a car crash, and his two sons injured. He was sworn into office from the hospital room of his sons, both of whom have made a complete recovery. It was then that he took up the habit of commuting by train from Wilmington, Del., to Washington on days the Senate was in session, a one-and-a-half-hour journey that he continues to make today.

The senator, a Roman Catholic, has spoken of receiving a "second chance in life" after surviving surgery on two brain aneurysms, shortly after ending his first presidential bid in 1988.

It's likely that Sen. Biden, who is popular within his own party, will be greeted warmly by the majority of Obama supporters, as he has proven to be less conservative than some of his rivals for the job. Sen. Biden is generally a straight-ticket mainstream Democrat, voting party line on hot-button issues such as abortion rights, despite being a Catholic. (He did oppose legalization of late-term abortions.) He scored an F on the National Rifle Association's scorecard for his support of gun-control laws.

Sen. Biden initially supported the 2003 Iraq invasion -- a move Sen. Obama opposed as an Illinois state senator, an original centerpiece of his campaign. But over the past five years, Sen. Biden has long complained that the U.S. didn't send enough troops initially to prosecute the war, opposed President Bush's troop surge, and has suggested a "Third Way" for ending the conflict, which would call for reorganizing the country politically under a federal system that would break it into thirds, along ethnic lines.

Sen. Biden was harshly critical of Sen. Obama's vote last year opposing continuing funding of the conflict, saying the Illinois senator was being politically expedient.
Sen. Biden invoked the image of his son Beau, the Delaware Attorney General, who also serves as a captain in the Delaware National Guard, scheduled to depart on a tour of duty in Iraq in October. "There's no political point worth my son's life," he said at the time.

During his first run for the presidency, in 1987, Sen. Biden was accused of plagiarizing lines from British politician Neil Kinnock, caught on videotape uttering them without giving credit. Though Sen. Biden had used the lines several times before and given proper credit, the incident effectively finished his run that year. In his 2007 autobiography, Sen. Biden recalls that recounting the pilfered lines left a lady in the front row in tears that day. "I hadn't found a place to stop and slip in the standard attribution," he wrote. "I wish I had."

His ordeal may have drawn sympathy from Sen. Obama, who was himself accused of plagiarizing statements of Massachusetts Gov. Deval Patrick, his political surrogate, during the primary season by Sen. Clinton.

In more than 30 years in Washington, Sen. Biden appears to have done little to have enriched himself. With the exception of a $112,000 book advance, he showed little income in 2007 beyond his $165,000 Senate salary and the $20,500 his wife made by teaching at Widener University in Chester, Pa.

Some of Sen. Biden's presidential contributors may have caught the eye of the Obama campaign vetter. On July 5, the Biden campaign gave to charity $11,500 in cash that was donated by a quartet of Mississippi lawyers who later pleaded guilty to a scheme to bribe a state judge, including well-known litigator Richard "Dickie" Scruggs.

A fundraising invitation obtained by The Wall Street Journal shows that three of the men held a fundraiser for Sen. Biden at the Oxford University Club in August, 2007. Federal Election Commission records show that Sen. Biden received several thousands of dollars from relatives of Mr. Scruggs and employees of the Balducci law firm that have not been returned or donated to charity.

A spokesman for Sen. Biden confirmed the charitable contributions but wouldn't comment further.

MORE ON BIDEN

Age: 65; born Nov. 20, 1942 in Scranton, Pa.
Experience: U.S. senator, 1972-present; New Castle County Council, 1970-72; sought presidential nomination, 1988, 2008.
Education: Bachelor's degree in history and political science, University of Delaware, 1965; law degree, Syracuse University, 1968.
Family: Married Neilia Hunter in 1966; three children, Beau, Hunter, and Naomi. His wife and daughter Naomi died in a car crash in 1972. Married Jill Jacobs in 1977; one daughter, Ashley. Beau Biden is now Delaware's attorney general.
Political interests: Foreign relations, judiciary
Biden's Foreign Policy Background Carries Growing Cachet
08/20/2008

--Monica Langley, Elizabeth Holmes, Louise Radnofsky, and Amy Chozick contributed to this article.

WSJ


JibJab ออกวีดีโอใหม่ล้อเลียนเลือกตั้งปธน.อเมริกา2008แบบเจ็บๆคันๆ(ทำได้น่ารัก+อย่างฮา+เนื้อหาสร้างสรร :)

ที่มา: Chronicle of idea

รับชม JibJab takes a Jab at election ได้ที่วีโอคลิปข้างล่างนี้




JibJab ออกวีดีโอชุดใหม่ซึ่งถูกตั้งชื่อให้ว่า "It's time for some campaignin!" โดยมีเนื้อหาล้อเลียนนโยบายการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2008 ของผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยเฉพาะผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากทั้ง 2 พรรคอย่างจอห์น แมคเคน ตัวแทนจากพรรครีพลับลิกันและบารัค โอบามา ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต วีดีโอชุดใหม่นี้ถือว่าทำได้น่ารักดีค่ะแม้จะออกแนวเสียดสี ล้อเลียนนิดๆ


แต่แม้จะมีการล้อเลียนรัฐบาลบุชซึ่งกำลังจะครบวาระการบริหารประเทศในปีนี้และผู้สมัครจากทั้งสองพรรค ขณะเดียวกันวีดีโอชุดนี้ก็กำลังบอกกับคนอเมริกันและผู้ชมวีดีโอนี้ทั่วโลกว่า ไม่ว่าในสนามแข่งขัน Presidential Election 2008 จะเข้มข้นดุเดือดเพียงใด แต่นี่แหละคือ ประชาธิปไตยอันแข็งแกร่งของอเมริกา พวกเราเลือกประธานาธิบดีทุกๆ 4 ปี ประชาชนใช้สิทธิ 1 เสียงของตนออกไปเลือกผู้นำที่พวกเราคิดว่าจะทำประโยชน์ให้กับตนเองและประเทศมากที่สุด


การเมืองของตะวันตกนั้น โดยเฉพาะในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีบุช ,จอห์น แมคเคน, ฮิลลารี คลินตันและบารัค โอบามา พวกเขาคือ "นักการเมือง" ค่ะ ไม่ใช่ "มนุษย์ที่เต็มไปด้วยจริยธรรม คุณธรรม" ที่แตะต้องวิพากษ์ วิจารณ์ไม่ได้

ทิ้งท้ายวันนี้ ....วีดีโอชุดนี้เป็นที่ชื่นชอบของพวกลิเบอร์รัลมาก พวกเขาดีใจกันยกใหญ่บอกว่า "ปีนี้นายบุชไปแล้ว".... ผู้เขียนฟัง Liberal whining แล้วรำคาญหูจริงๆค่ะ .... ฮ่า ฮ่า พวกลิเบอร์รัลและพวกซ้ายนี่ทำใจยอมรับไม่ได้ว่าบุชนั้นคือผู้ชนะที่แท้จริงในสนามเลือกตั้งทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ความคิดเช่นนี้เป็นที่น่าขบขันยิ่งนัก

ประธานาธิบดีบุชพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปีนี้ไม่ใช่เพราะคนอเมริกันไม่เลือกท่าน (ตรงกันข้ามชัยชนะในปี 2000 & 2004 ของบุชตบหน้านักวิเคราะห์การเมืองฝ่ายลิเบอร์รัลฉาดใหญ่ทีเดียว

ประธานาธิบดีบุชพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐไม่ใช่เพราะท่านถูกอิมพีชเม้นท์

แต่จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชพ้นจากตำแหน่งเพราะท่านเป็นประธานาธิบดีที่คนอเมริกันเลือกเข้ามาบริหารประเทศครบเทอม 8 ปีเต็มพอดี ท่านบริหารประเทศครบเทอมแล้วแถมไม่ถูกอิมพีชเม้นท์แบบนาย บิล คลินตัน ด้วย

ที่บอกว่าบุชโกหกเรื่องสงครามอิรัคนั้นมันก็ "นิทานหลอกเด็กของพวกเดโมแครตและลิเบอร์รัล" นั่นเอง หากประธานาธิบดีบุชโกหกเรื่องสงครามอิรัคอย่างที่นักวิชาการ นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม นักสื่อสารมวลชนฝ่ายลิเบอร์รัลกล่าวหา ท่านบุชคงถูกอิมพีชเม้นท์ไปแล้ว แต่นี่ฝ่ายตรงข้ามทำอะไรประธานาธิบดีบุชไม่ได้แม้แต่กระทงเดียวได้แต่ทำ "สงครามกล่าวหา" ก็เพราะท่านบุชไม่ได้โกหกนั่นเองแต่จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้พูดความจริงเกี่ยวกับสงครามอิรัคต่างหาก

คนเป็นประธานาธิบดีมาโกหกนี่เรื่องใหญ่โตเชียวนา ระบบถ่วงดุลย์อำนาจอันเข้มแข็งของอเมริกาไม่เอาไว้หรอก มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วในอดีตที่ประธานาธิบดีถูกถอดถอน


ประธานาธิบดีบุชเป็นประธานาธิบดีที่ผู้เขียนนิยมชมชอบมากที่สุดคนหนึ่ง เสียดายที่ท่านไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีก ไม่อย่างนั้นเห็นทีต้องอุ้มท่านบุชเข้าทำเนียบขาวอีกครา :D


It's Not Going to be Obama-Clinton

How Team Obama is dealing with the Hillary problem.
by William Kristol
06/05/2008 11:40:00 AM


The Obama camp has moved quickly--and deftly--to shut down the Hillary Clinton bid for the vice presidential pick.

The well-sourced Jackie Calmes reports in the Wall Street Journal that "close advisers to Sen. Obama are signaling that an Obama-Clinton ticket is highly unlikely." The way they're signaling it is by suggesting that, even for Hillary to be considered, Bill Clinton would have to "release records of his business dealings and big donors to his presidential library." No one thinks Bill Clinton is inclined to do this.

And even if he did, there would still be no guarantee for Hillary: "Even if Mr. Clinton did open his records as part of the traditional vice-presidential vetting process, the unprecedented complications he would pose for an Obama White House as the vice president's spouse go deeper and broader than his personal records, Democrats on both sides say." Indeed, Calmes continues, "Referring to a potential vice-presidential slot for Sen. Clinton, a senior Obama adviser says: 'The more this gets vetted the less likely it becomes.'"

So the unvettability of Bill Clinton is the way Obama avoids having to offend Hillary and her almost 18 million voters. Obama won't have to publicly rule out Hillary, or make a potentially insulting case that others are better qualified for the job. He'll merely emphasize publicly, as he did on NBC last night, that there will be a lengthy process and wide-ranging search--thereby conditioning people to understand that there is no presumptive front-runner for the vice-presidential pick: "We're gonna go through a process in the vice-presidential search where I look at a whole range of options." And putting Caroline Kennedy on the three-person search committee is clever--a woman who is anti-Hillary but whose presence really can't be criticized by Hillary supporters. It's also, of course, a certification of the Kennedys as Democratic royalty over the Clintons.

At some point--I'd guess pretty soon--Hillary will see the writing on the wall and will take herself out of the running, so she can save face, and to ensure she can't be accused of creating trouble if Obama loses in November. So Obama will be able to make his choice without being accused of having spurned Hillary.

The apparent decisiveness and deftness with which Obama and his team seem to be resolving with the Hillary Clinton problem is an impressive opening move in his general election campaign.

William Kristol is editor of THE WEEKLY STANDARD.


แมคเคนรับโอบามาสู่สนามเลือกปธน.โดยโจมตีเผ็ดร้อน

(4มิย.) วุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ได้ไปปราศรัยที่เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยส์เซียนาเมื่อคืนวันอังคาร ซึ่งเหมือนเป็นการเริ่มหาเสียงอย่างเป็นทางการ ในช่วงที่มีความชัดเจนแล้วว่าวุฒิสมาชิกบารัค โอบามาจะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงชัยเก้าอี้ประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน

แมคเคนตอบโต้ข้อกล่าวหาของโอบามา ที่ระบุว่า เขากำลังลงสมัครเป็นประธานาธิบดีจอร์จดับเบิลยู บุชสมัยที่สาม เพราะมีนโยบายแบบเดียวกับบุชที่สนับสนุนสงครามอิรักและขยายเวลามาตรการลดภาษี โดยบอกว่า ชาวอเมริกันไม่ได้เพิ่งรู้จักเขาเหมือนที่เพิ่งรู้จักโอบามา

และโอบามามักพูดโจมตีเขาในประเด็นนี้บ่อยมาก แทนที่จะหาเสียงอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องความแตกต่างของแนวทางการบริหารประเทศของแต่ละฝ่าย


นอกจากนี้ฉากด้านหลังเวทีปราศรัยของแมคเคน มีข้อความสโลแกนใหม่ของแมคเคนที่มุ่งเน้นภาวะผู้นำของเขาว่า "A Leader We Can Believe In" ซึ่งตอบโต้โดยตรงกับสโลแกนของโอบามาที่เน้นสร้างความเปลี่ยนแปลงว่า "Change We Can Believe In"

และเขาพูดถึงประเด็นนี้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครชนะการเลือกตั้ง ทิศทางการบริหารประเทศจะเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่จะเป็นการเลือกระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่ถูกและการเปลี่ยนแปลงที่ผิด

จับตานโยบายตปท. 'โอบามา-แม็คเคน' เปิดศึกชิงผู้นำทำเนียบขาว

ภายหลังวันเดียวแห่งชัยชนะคว้าชัยเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต นายบารัก โอบามา วุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ ก็ได้เริ่มเดินหน้าภารกิจใหม่ที่สำคัญอย่างไม่รอช้า โดยการเสนอวิสัยทัศน์ด้านต่างประเทศ ซี่งที่ผ่านมายังคงสร้างความคลุมเคลือให้แก่ชาวอเมริกัน ต่อสถานการณ์โลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะการตั้งความหวังของผู้นำสหรัฐ หลังจากที่เคยผิดหวังอย่างแรงกับนโยบายของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช มาแล้ว ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลก และประเด็นดังกล่าวได้กลายเป็นหัวข้อในการหาเสียงของเขาและนางฮิลลารี คลินตัน รวมทั้งนายจอห์น แม็คเคน ขึ้นมาอย่างประปราย และเผ็ดร้อนในบางระยะ

แน่นอนที่สุด นโยบายต่างประเทศของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐย่อมเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วโลก นอกเหนือจากชาวอเมริกัน ว่าตัวแทนของพรรคการเมืองยักษ์สองฝ่าย ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน จะมีท่าทีและจุดยืนอย่างไรสำหรับ'ใครต่อใคร'ในประชาคมโลกกันบ้าง

ล่าสุด เมื่อวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น นายบารัก โอบาม่า วุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ ตัวแทนพรรคเดโมแครต แข่งขันประธานาธิบดีสหรัฐ ได้กล่าวปราศรัยต่อคณะกรรมาธิการกิจการสาธารณะชาวอเมริกัน-อิสราเอล โดยเขาได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านต่างประเทศเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยเขาได้โจมตีอิหร่านเผ็ดร้อน ระบุว่า สงครามอิรักได้ทำให้อิหร่านแข็งแกร่งขึ้น แต่ทำให้สหรัฐและอิสราเอลอ่อนแอลง โดยอิหร่านได้กลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่ออิสราเอลมากกว่าอิรัก และกลายเป็นอุปสรรคทางยุทธศาสตร์ที่ใหญ่หลวงต่อสหรัฐและอิสราเอลในภูมิภาคตะวันออกกลางในอนาคต โดยอิหร่านได้สนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรง และมุ่งที่จะสร้างศักยภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์ และกระตุ้นให้การแข่งขันด้านอาวุธที่อันตราย ซึ่งสหรัฐรู้ดีมาตั้งแต่ปี 2002 แต่รัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช กลับเพิกเฉยและหันไปรุกรานและยึดครองอิรัก

ตัวแทนพรรคเดโมแครตฯกล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน อิรักอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ กลุ่มอัลเคด้า ได้เพิ่มการระดมสมาชิกกลุ่ม ขณะที่ความพยายามเจรจาสันติภาพของอิสราเอลต้องระงับ ทำให้อเมริกาถูกโดดเดี่ยวในภูมิภาคนี้ ซึ่งหากเขาเป็นประธานาธิบดี จะไม่มีวันประนีประนอมกับเรื่องที่เป็นภัยความมั่นคงของอิสราเอล และเขาพร้อมที่จะใช้นโยบายทางการทูตกับอิหร่านอย่างเหมาะสมเพื่อสกัดการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยเขาจะไม่เจรจากับผู้นำอิหร่าน และว่า เขาจะโดดเดี่ยวกลุ่มฮามาสจนกว่ากลุ่มจะประนามการก่อการร้าย ยอมรับสิทธิที่จะมีอยู่ของอิสราเอล โดยกรุงเยรูซาเล็มจะไม่สามารถแบ่งแยกได้ และจะต้องยังคงเป็นเมืองหลวงอิสราเอล

นอกจากนี้ นายโอบาม่า ยังได้สนับสนุนความพยายามของอิสราเอลในการฟื้นฟูการเจรจากับซีเรีย เกี่ยวกับประเด็นการถอนกำลังทหารออกจากที่ราบสูงโกลาน พร้อมทั้งสนับสนุนปฎิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อซีเรียซึ่งอิสราเอลอ้างว่าซีเรียได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ โดยโอบาม่าบอกว่า ซีเรียได้ดำเนินขั้นตอนที่เป็นอันตรายในการบรรลุครอบครองอาวุธมหาประลัย

ทัศนะของนายโอบามาเห็นได้ชัดว่าแข็งกร้าวขึ้นหลังจากถูกนายจอห์น แม็คเคน วุฒิสมาชิกรัฐอริโซน่า ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โจมตีเขาที่แสดงทัศนะว่าพร้อมจะเจรจากับผู้นำอิหร่าน และรัฐบาลที่เป็นศัตรูของสหรัฐ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า มุ่งประเด็นสถานการณ์ตะวันออกกลางเป็นพิเศษ โดยล่าสุด นายโอบามาซึ่งที่ผ่านมาถูกโจมตีว่าอาจมีนโยบายสนับสนุนการต่อต้านชาวยิว เพราะเคยสนับสนุนกลุ่มฟารักข่าน ก็ได้ประกาศถอนตัวจากเป็นสมาชิกคริสตจักร์ของกลุ่มนี้แล้ว ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้ วิสัยทัศน์ของโอบามา หรือกระทั่งนายแม็คเคน ต่อประเด็นต่าง ๆ ในกิจการโลก ทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ และอื่น ๆ จะถูกแสดงออกมามากขึ้นอย่างแน่นอน ในช่วงหลังจากนี้ หรืออาจดุเดือดเลือดพล่านพลันที่ทั้งสองฝ่ายต้องเปิดฉากรณรงค์หาเสียง ที่จะกินเวลา 5 เดือน

ขณะเดียวกัน รายงานระบุว่า นางฮิลลารี คลินตัน วุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์ก มีแผนจะประกาศยอมแพ้การชิงชัยเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตฯในวันเสาร์นี้ พร้อมทั้งประกาศสนับสนุนนายโอบาม่า ท่ามกลางเสียงสนับสนุนและคัดค้านของหลายฝ่าย ซึ่งบางคนบอกว่านี่คือดรีมทีมที่ลงตัว ขณะที่บางฝ่ายว่านางฮิลลารีจะกลายเป็นอุปสรรคของนายโอบามามากกว่า

ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่า ข้างฝ่ายตัวแทนพรรครีพับลิกัน จะมองว่า ตัวเองอาจได้เปรียบด้านวิสัยทัศน์เหนือกว่านายโอบามา ณ วินาทีนี้ โดยนายจอห์น แม็คเคน ได้ร่อนสาสน์ท้าให้นายบารัก โอบาม่า โต้วาทีแข่งขันกับเขาในศาลาว่าการของเมืองต่าง ๆ 10 เมือง ในฐานะสองผู้ชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยจดหมายของนายแม็คเคนเสนอให้นายโอบามาจัดการดีเบทกับเขาเป็นเวลา 60-90 นาที ตอบคำถามสด ๆ ที่ผู้เข้าร่วมราว 200-400 คน แต่ขณะนี้ยังไม่มีปฎิกิริยาตอบโต้ใด ๆ จากนายโอบามา (ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า เขาจะไม่ผลีผลาม แต่จะต้องฟังคำปรึกษาของทีมหาเสียงของเขาอย่างรอบคอบเสียก่อน)

ปฎิกิริยา'ท้าขึ้นเวทีชก'ดังกล่าวของนายแม็คเคน ว่าไปแล้วดูจะไม่ใช่เรื่องยากจะคาดเดา เพราะก่อนหน้านี้ โพลสำรวจความคิดเห็นระบุว่า เขามีคะแนนนิยมตามหลังนายโอบาม่า ทำให้ปฎิบัติการเปิด'ศึกแก้ลำ'ทวงความได้เปรียบจึงต้องเกิดขึ้น ในห้วงเวลาที่กำลังเข้าทาง ขณะที่ท่าทีของนายแม็คเคนนั้น ถูกหลายฝ่ายติงว่ามีนโยบายคล้ายประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เนื่องจากเขาสนับสนุนการคงทหารในอัฟกานิสถาน (นายแม็คเคนเคยเป็นอดีตทหารที่ผ่านสงครามเวียดนาม)แต่ที่ผ่านมา เขาพยายามจะฉีกตัวเองจากภาพลักษณ์คล้ายปธน.บุช โดยเฉพาะในแง่ความนิยมที่ตกต่ำจากการตัดสินใจหลายเรื่องที่ผิดพลาด สร้างความผิดหวังให้แก่ชาวอเมริกันชน

ซึ่งนับแต่นี้ต่อไป ศึกวาทะแสดงวิสัยทัศน์การเมืองต่างประเทศ ระหว่างโอบาม่าและนายแม็คเคน คาดว่าจะดุเด็ดเผ็ดร้อนตามกาลเวลา หลังห้วงแห่งการชิงชัยศึกผู้นำทำเนียบชาวใกล้งวดเข้ามาทุกทีแล้ว!

มติชน


สรุปผลเลือกตั้งขั้นต้นของสหรัฐอเมริกา

ผลการเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ซึ่งชี้ขาดกันที่คะแนนผู้แทนระดับรัฐในการเลือกตั้งวันประชุมใหญ่พรรคหรือ เดลิเกต นับจนถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ปรากฏดังนี้

เดโมแครต

ผู้สมัครต้องได้คะแนนเดลิเกตไม่น้อยกว่า 2,118 คน จึงจะได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรค คะแนนเดลิเกตทั้งหมดเท่ากับ 4,234 คน

- บารัค โอบามา ได้คะแนน เดลิเกต 2,156 คน

- ฮิลลารี คลินตัน ได้คะแนน เดลิเกต 1,933 คน

- วันประชุมใหญ่พรรคเดโมแครต กำหนดไว้ระหว่างวันที่ 25-28 สิงหาคม ที่นครเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เพื่อเลือกตั้งตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการ

รีพับลิกัน

ผู้สมัครต้องได้คะแนนเดลิเกตไม่น้อยกว่า 1,191 คน จากจำนวนคะแนนเดลิเกตทั้งหมดเท่ากับ 2,380 คน

- จอห์น แมคเคน ได้คะแนนเดลิเกต 1,266 คน

- รอน พอล ได้คะแนนเดลิเกต 35 คน

-วันประชุมใหญ่พรรคกำหนดไว้ระหว่างวันที่ 1-4 กันยายน ที่มินนีอาโปลิส รัฐมินนิโซตา

หมายเหตุ - ในกรณีปกติ ผู้ที่ได้คะแนนเสียงเดลิเกตเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนเดลิเกตทั้งหมดคือ ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นตัวแทนพรรคในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อย่างเช่นกรณีของพรรครีพับลิกัน นายจอห์น แมคเคน จึงได้รับเลือกตั้ง "อย่างไม่เป็นทางการ" มาตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา แม้นายรอน พอล จะไม่ยอมถอนตัวออกจากการแข่งขันจนถึงขณะนี้ก็ตาม

ในกรณีของพรรคเดโมแครตที่มีคะแนนสูสีกันมาก ก็สามารถยึดถือในทำนองเดียวกันได้ว่า นายบารัค โอบามา ได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคแล้วอย่างไม่เป็นทางการ รอเพียงการยืนยันอย่างเป็นทางการในที่ประชุมใหญ่พรรคเท่านั้น เหตุผลเดียวที่ทำให้นางฮิลลารี คลินตัน ยังคงไม่ประกาศยอมแพ้ก็คือ โดยหลักการแล้ว ในคณะเดลิเกตทั้งหมดมีสัดส่วนของ "ซุปเปอร์เดลิเกต" หรือบุคคลสำคัญที่พรรคให้สิทธิที่จะไม่ตัดสินใจ หรือเปลี่ยนการตัดสินใจได้ รวม 765 คน (ในจำนวนนี้มีที่ประกาศจะเลือกโอบามาแล้ว 394 คน, เลือกคลินตัน 286 คน และไม่ตัดสินใจอีก 113 คน) อาจเปลี่ยนใจหันมาเลือกตนเองในที่ประชุมใหญ่ของพรรคได้จนทำให้นางคลินตันได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคในที่สุด

โดยหลักการแล้ว การเปลี่ยนใจดังกล่าวเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ต้องมีเหตุผลที่ดีและสมเหตุสมผลมากที่สุดจึงจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งยังไม่มีในเวลานี้

มติชน


'โอบามา'ประกาศชัยชนะ เป็นตัวแทนพรรคชิงปธน. คลินตันปฏิเสธยกธงขาว

5 มิถุนายน 2551 กองบรรณาธิการ

"บารัก โอบามา" กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นอเมริกันผิวสีคนแรกที่ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เจ้าตัวประกาศชัยชนะเหนือ "ฮิลลารี คลินตัน"

ภายหลังซูเปอร์เดลิเกตชุดใหญ่แห่สนับสนุนจนได้เสียงเกินครึ่งเป็นที่เรียบร้อย ขณะอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ยังไม่ยอมแพ้ แต่ให้ท่าพร้อมเป็นรองประธานาธิบดี ส่วนผลเลือกตั้งขั้นต้นใน 2 มลรัฐสุดท้าย ต่างฝ่ายต่างคว้าชัยไปคนละรัฐ

นายบารัก โอบามา ส.ว.สมัยแรกจากรัฐอิลลินอยส์ กำลังจะเปลี่ยนสถานะจากนักการเมืองผู้แทบไม่เป็นรู้จักในเวทีระดับชาติ มาเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐกับ ส.ว.จอห์น แม็กแคน แห่งพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ย.ปีนี้ เมื่อเขาสามารถดึงเสียงสนับสนุนจากผู้แทนที่มีสิทธิเลือกตัวแทนพรรคในที่ประชุมใหญ่เดือน ส.ค.เกินครึ่งหนึ่งหรือ 2,118 เสียงแล้วเมื่อวันอังคาร

"ค่ำคืนนี้ เราได้กำหนดจุดสิ้นสุดการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ ด้วยการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่" เขาประกาศต่อกลุ่มผู้สนับสนุนกว่า 30,000 คนที่เฉลิมฉลองชัยชนะกันทั้งภายในและภายนอกศูนย์ประชุมที่เมืองเซนต์พอล รัฐมินนิโซตา ซึ่งจะเป็นสถานที่จัดประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันในเดือน ก.ย. "ค่ำคืนนี้ ผมสามารถยืนอยู่เบื้องหน้าพวกคุณแล้วพูดว่า ผมจะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ"

คำประกาศชัยชนะของเขาเกิดภายหลังซูเปอร์เดลิเกตมากกว่า 70 คนยกขบวนกันสนับสนุนทำให้เขามีคะแนนเดลิเกตถึง 2,156 คะแนนแล้วตามการรวบรวมของเอ็มเอสเอ็นบีซี

ข่าวดีของ ส.ว.ผิวสีวัย 46 ปีผู้นี้เกิดขึ้นก่อนทราบผลการเลือกตั้งขั้นต้น 2 รัฐสุดท้ายของพรรคที่มอนแทนาและเซาท์ดาโคตา ซึ่งโอบามาคว้าชัยในรัฐแรก ส่วนนางฮิลลารี คลินตัน ส.ว.นิวยอร์ก ชนะที่รัฐหลัง

นางคลินตันผู้เคยเป็นตัวเต็งในตอนแรก ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ โดยบอกว่า นางจะรอปรึกษากับแกนนำพรรคและผู้สนับสนุนของนางภายในไม่กี่วันข้างหน้า ก่อนตัดสินใจว่าจะดำเนินการขั้นต่อไปอย่างไร "การหาเสียงครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน ดิฉันจะยังไม่ตัดสินใจใดๆ ในคืนนี้" นางคลินตันกล่าว

นางคลินตันกล่าวต่อบรรดาสมาชิกสภาคองเกรสของนิวยอร์กด้วยว่า นางยังเปิดกว้างพร้อมรับฐานะผู้สมัครรองประธานาธิบดีของโอบามา ขณะที่บรรดาผู้สนับสนุนของนางก็หันไปกดดันให้โอบามาเลือกคลินตันเป็นคู่สมัครของเขาด้วยอีกแรง

ชัยชนะของโอบามา ซึ่งเป็นลูกครึ่ง พ่อผิวสีชาวเคนยา แม่อเมริกันผิวขาวจากแคนซัส เป็นหลักหมุดที่สำคัญของประวัติศาสตร์สหรัฐ ที่เกิดไล่หลังขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองที่เท่าเทียมกันถึง 45 ปี และเป็นผลลัพธ์ของการต่อสู้ระหว่างผู้สมัคร 2 รายที่ยาวนานและสูสีที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ โดยนางคลินตัน ผู้ปรารถนาจะเป็นสตรีคนแรกที่ขึ้นชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เสียงจากเดลิเกตมากกว่า 1,900 คะแนน

คาดกันว่าแกนนำและผู้แทนของพรรคเดโมแครตที่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตัวแทนพรรคโดยไม่ผูกมัดกับผลการเลือกตั้งขั้นต้นหรือการหยั่งเสียงของแต่ละรัฐตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา จะประกาศตนสนับสนุนโอบามาเพิ่มอีกในวันพุธ

การต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างโอบามาซึ่งเพิ่งเป็นที่รู้จักระดับชาติจากการฉายแววขณะกล่าวสุนทรพจน์สำคัญในที่ประชุมพรรคเมื่อปี 2547 กับนางคลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 และ ส.ว.มากประสบการณ์วัย 60 ปี ทำให้เดโมแครตแตกเป็น 2 ฝ่าย โดยกลุ่มผิวดำ คนหนุ่มสาว คนมีการศึกษาสูงและรายได้สูงเลือกถือหางโอบามา ขณะที่กลุ่มฮิสปานิก, ผู้สูงวัย และชนชั้นแรงงานผิวขาวสนับสนุนนางคลินตัน.

ไทยโพสต์

"คาร์เตอร์"เตือนโอบาม่าไม่ให้เลือกฮิลลารี่เป็นคู่ชิงรองปธน.


อดีตผู้นำสหรัฐฯเตือนบารัก โอบาม่า ไม่ให้เลือกฮิลลารี่ คลินตันเป็นคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐ


(5มิย.) เว๊ปไซต์ของหนังสือพิมพ์"เดอะ การ์เดี้ยน"ของอังกฤษ เปิดเผยคำให้สัมภาษณ์บางส่วนของอดีตประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ของพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดจะตีพิมพ์เผยแพร่ฉบับเต็มในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ เตือนวุฒิสมาชิกบารัก โอบาม่า ไม่ให้ทำสิ่งผิดพลาดเลวร้ายที่สุดในชีวิต ด้วยการเลือกอดีตคู่แข่ง คือวุฒิสมาชิกหญิงฮิลลารี่ คลินตัน เป็นคู่สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 พฤศจิกายน และว่าเขาจะแนะนำแบบเดียวกัน หากนางฮิลลารี่เป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคฯ

การสัมภาษณ์มีขึ้นก่อนที่นายโอบาม่า จะประกาศชัยชนะในการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่อดีตผู้นำสหรัฐฯท่านนี้ ผู้เป็นหนึ่งในซุปเปอร์ เดลิเกต ประกาศสนับสนุนนายโอบาม่าอย่างเป็นทางการ นายคาร์เตอร์ได้สนับสนุนให้นายโอบาม่าเลือกคู่สมัครคนอื่น ที่จะช่วยชดเชยข้อด้อยต่างๆของเขา ซึ่งรวมทั้งการที่เขาอายุยังน้อย กับด้อยประสบการณ์ทางทหารและกิจการระหว่างประเทศ พร้อมแนะนำนายแซม นัน อดีตประธานคณะกรรมาธิการทหารของวุฒิสภาสหรัฐฯ หรือ สมาชิกอาวุโสคนอื่นๆของเดโมแครตที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับนายนัน

คาร์เตอร์ผู้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วงปี 2520-2524 ให้เหตุผลว่า การจับมือกันของโอบาม่ากับฮิลลารี่ จะยิ่งเพิ่มมุมมองในแง่ลบในสายตาผู้มีสิทธ์ออกเสียง พร้อมยกตัวอย่างว่า มีผลสำรวจที่ระบุว่า มีคนร้อยละ 50 ที่บอกว่าไม่คิดจะลงคะแนนให้นางฮิลลารี่ หากนำ

จำนวนนี้ไปบวกรวมกับจำนวนผู้ที่คิดว่านายโอบาม่าผิวขาวไม่พอ หรือมีประสบการณ์ไม่มากพอหรือผู้ที่ไม่ชอบใจที่เขามีนามสกุลคล้ายภาษาอาหรับ สถานการณ์จะแย่มาก

คม ชัด ลึก

ดรีมทีมโอบามา-ฮิลลารีเดโมแครตยอมรับยังเป็นเรื่องยาก


วอชิงตัน-ชี้ดรีมทีมโอบามา-ฮิลลารีร่วมกันเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเข้าชิงทำเนียบขาวในปลายปีนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

ภายหลังจากวุฒิสมาชิกบารัก โอบามา วัย 46 ปี สามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้เป็นคนผิวสีคนแรก ที่เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันอังคาร (3 มิ.ย.) เมื่อประกาศตัวเป็นผู้แทนของพรรคเดโมแครต ลงชิงชัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีหลังต่อสู้ขับเคี่ยวกับวุฒิสมาชิก ฮิลลารี คลินตันอย่างดุเดือดมาตลอด 5 เดือน ก่อนที่การเลือกตั้งไพรมารีใน 2 รัฐสุดท้ายจะเสร็จสิ้นลงแล้ว โดยนางฮิลลารีชนะในรัฐเซาท์ดาโกตา ขณะที่นายโอบามาชนะในรัฐมอนแทนา ทำให้มีคะแนนคณะผู้แทน หรือเดลิเกต พุ่งขึ้นเป็น 2,132 เกินกว่า 2,118 ที่กำหนดไว้ ทำให้เกิดกระแสตามมาว่า มีโอกาสมากน้อยเพียงใดที่นายโอบามาจะเลือกนางฮิลลารี เป็นผู้สมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี

ทั้งนี้ นายโอบามาได้กล่าวชื่นชมอดีตสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐว่า เธอได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยมีสตรีคนใดสามารถทำได้มาก่อน ขณะที่นางฮิลลารีได้ชมนายโอบามาว่าเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอเมริกันหลายคนหันมาสนใจการเมือง และกระตุ้นให้หลายคนเข้ามามีส่วนร่วม ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า นางฮิลลารีได้บอกกับสมาชิกรัฐสภารัฐนิวยอร์กว่า เธอพร้อมจะเป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี

ผู้เชี่ยวชาญด้านการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตหลายคนให้ความเห็นว่าหากนายโอบามา และนางฮิลลารีลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีในนามของพรรคเดโมแครต จะทำให้ฐานคะแนนเสียงของพรรคเข้มแข็งขึ้น เพราะทั้ง 2 คนจะช่วยจุดอ่อนและเสริมจุดแข็งของอีกฝ่ายได้ โดยในส่วนของนางฮิลลารีนั้น เป็นที่ชื่นชอบของชนชั้นผู้ใช้แรงงานผิวขาว กลุ่มสตรี และกลุ่มชนที่มีเชื้อสายและพูดภาษาสเปน ซึ่งเคยประกาศว่า จะไม่ลงคะแนนให้นายโอบามา หากได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ดังนั้น หากเธอร่วมมือกับโอบามา จะทำให้ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตมีความเป็นเอกภาพมากเพียงพอที่จะชนะนายจอห์น แมคเคน จากพรรครีพับลิกันได้

อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์ว่า หากนายโอบามาเลือกนางฮิลลารีเป็นรองประธานาธิบดี ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะชาวอเมริกันกว่าร้อยละ 40 มีทัศนคติในด้านลบต่อเธอ ขณะที่ผู้ออกเสียงอิสระอีกจำนวนมากเกรงว่า หากได้เธอเป็นรองประธานาธิบดี ก็จะเป็นการนำครอบครัวคลินตัน กลับสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง

ขณะที่นายจิม ดัฟฟีย์ นักกลยุทธ์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคเดโมแครต ได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องการประสานความร่วมมือกันของนายโอบามากับนางฮิลลารี หากต้องมาทำงานร่วมกันในทำเนียบขาว เพราะโดยเบื้องลึกแล้ว ทั้ง 2 คนต่างไม่กินเส้นกัน นอกจากนี้ ระหว่างการหาเสียงที่ผ่านมา เธอได้เสนอนโยบายที่ขัดแย้งกับของนายโอบามา ซึ่งหากต้องมาทำงานร่วมกันอาจจะส่งผลกระทบต่อการบริหารได้

คมชัดลึก