Spiga

รายการสนทนาประสาสมัครครั้งที่3

รายการสนทนาประสาสมัคร อาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 08.30-09.30 น




สวัสดีครับ


ผมสมัคร สุนทรเวช ครับ วันนี้มาพูดจาประสาสมัครเหมือนอย่างเคย เริ่มต้นอยากจะเรียนว่าอยากจะขอบพระคุณ นาน ๆ จะมีหนังสือพิมพ์เขาลงข่าวเขียนถึงผมในทางที่ดี ขอบพระคุณหนังสือพิมพ์มติชน คุณเสถียรพงษ์ วรรณปก ท่านเขียนถึงผม อ่านเมื่อตอนเช้านั่งมาในรถ ธรรมดาไม่ค่อยอ่าน เห็นว่ารูปกำลังไหว้พระ ขอบพระคุณจริง ๆ ครับ ท่านเขียนหนังสือ ท่านมีข้อสอบถามมา 3 ข้อ ผมจะพยายามงวดหน้าผมจะพูดเกี่ยวกับงานพระพุทธศาสนาที่ท่านฝากผมไว้ ขอเรียนสั้น ๆ ตรงนี้ พออ่านจบเมื่อสักครู่นี้ก็เรียนไว้แล้ว ใช้เวลาอภิปรายนโยบายรัฐบาล 3 วัน

ถัดไปอยากจะพูดถึงว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์ที่งานหนักหน่อย เพราะวันที่ 18,19,20 กุมภาพันธ์ 3 วัน ไปให้รัฐสภาตรวจสอบ มาทั้งสองสภาเลย ตรวจสอบนโยบาย ก็สนุกเหมือนกัน 40 ชั่วโมงโดยประมาณ 3 วัน ความจริงท่านจะเห็นผมโผล่บ้าง ผมนั่งอยู่ข้างหลัง เพราะมีห้องนายกรัฐมนตรีและมีจอให้ดู เวลาที่หนังสือมาเป็นแฟ้มผมก็นั่งเซ็นข้างหลังและก็ฟังไปดูไป ได้กินข้าวข้างหลังบ้าง ถึงเวลาก็ขึ้นมานั่งบ้าง เพราะให้รู้ว่าอยู่ไปไหนไม่ได้ครับเป็นขบวน ผู้คนเขาก็รู้ว่าไป บางทีผมไป 2 คัน บอกให้ทราบว่า 3 วันอยู่ข้างใน นั่งฟัง จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ต้องออกไปงานหน่อย ที่พูดตรงนี้ให้ฟังคือว่าเรื่องทั้งหมดในสภาสุดท้ายก็จบลงเกือบตีหนึ่ง

มอบนโยบายหัวหน้าส่วนราชการ 25 ก.พ.

เสร็จงานวันนั้น วันที่ 21 กุมภาพันธ์ได้พักหนึ่งวัน ก็มีงานตักบาตร ในวังด้วย เรียกว่าได้พักวันหนึ่ง พอถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ก็เริ่มทำงาน ความจริงงานจะเริ่มจริง ๆ วันที่ 25 กุมภาพันธ์คือพรุ่งนี้ครับ จะนัดข้าราชการระดับปลัดกระทรวงมารับฟังนโยบาย คือนโยบายเขียน เขียนแล้วก็เอาไปให้เขาตรวจสอบในสภา จากสภาตอนนี้เอามาให้ข้าราชการ แปลเป็นว่าเขาจะต้องทำอะไรอย่างไร พอทำงานเสร็จวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ก็เริ่มดำเนินงานเลย

ความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างไทยและเขตคันไซ

แต่ก่อนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ มีวันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ มีแขกมาเยี่ยม 2 คณะ ทีแรกก็ไม่ได้ดูอะไรอื่น ตั้งใจไว้เลยว่าคณะไหนจะแบ่งปันก้นไป รองนายกรัฐมนตรี 6 คนให้ท่านแบ่งกันรับบ้าง คณะนั้นคณะนี้ มาจากญี่ปุ่นเรียกว่า เขตเศรษฐกิจคันไซ (นายฮิโระชิ ชิโมะสุมะ ประธานสมาพันธ์ธุรกิจเขตคันไซ) เขามีคันโตกับคันไซ มี 9 จังหวัดญี่ปุ่น ยกกันมา 16 คน พอดูว่า เขาก็มีหมายเหตุมาว่าเป็นคณะแรกที่มาฟังความในเรื่องธุรกิจการค้า ผมบอกอย่างนั้นผมก็รับเอง ก็ไปรับเขาได้คุยกันชั่วโมงหนึ่ง เลยได้ทราบว่าเขาคิดกับเราอย่างไร เขาตั้งใจมาดี สนามบินคันไซที่เราได้ยิน เมืองโอซากา เมืองเกียวโต ก็อยู่ย่านนี้ 9 จังหวัด เป็นการแสดงเครื่องหมายที่ดีว่าพอมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ธุรกิจการค้าก็กลับมาเหมือนเดิม ตอนผมปราศรัยผมก็บอกว่า สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป หันหลัง จีนหันข้าง ญี่ปุ่นหันข้าง ตอนนี้ญี่ปุ่นหันหน้าแล้ว ยกคณะมาเลย ก็รับ

คองเกรสแมนจากสหรัฐฯ มาพบ

เสร็จแล้วก็มีคณะเล็ก ๆ เขาเรียกว่า “คองเกรสแมน” (Congressman) จากสหรัฐอเมริกา ขอมาสนทนา ธรรมดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอยู่ ก็อาจจะฝากรัฐมนตรีต่างประเทศคุย พออ่านดูเขาก็มีหมายเหตุอีกว่า เป็นคณะแรกที่มา จากพรรค Democrat 4 คน พรรค Republican 2 คน เขาเป็นคณะกรรมาธิการ เขาจะมาฟังความว่า บรรยากาศในประเทศไทยเกี่ยวกับการเมืองหลังจากการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลใหม่ ต้องขอเจรจาความเองอีก คือหมายความว่ารับแขกเอง คุยกัน 11.30 น. เลิกคุยอีก 5 นาทีบ่ายโมง ผมก็คุยแล้วไม่ได้ดูนาฬิกา คุยไปเรื่องสบาย ๆ มา 6 คนก็มี 6 ความเห็น 6 คำถาม นั่งคุยและพยายามตอบทุกคำถาม คือเราคุยให้เขาฟังครึ่งทาง และเหมือนตอบคำถามกลายๆ ก็ได้ประโยชน์ครับ เขาก็อยากฟังความของเรา เราก็บอกว่าเราเป็นอย่างไร เขาอยากรู้ต่อไปอีก เราก็คุยกับเขาอธิบายความ ทั้งหมดอยู่ในขอบเขตนะครับ เที่ยวไปลงข่าวกันว่าฝรั่งประหลาดใจว่าสมัครคุยแต่เรื่อง 6 ตุลาคม 2519 ไม่มีหรอกครับเรื่องอย่างนั้น ทำไมถึงต้องเขียนกันอย่างนั้นก็ไม่ทราบได้ ผมก็ทำหน้าที่ของผม พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็คุยกับเขาเป็นที่เข้าใจกัน

นายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการ 5 คณะดูแลโครงการใหญ่

วันพรุ่งนี้ (25 ก.พ.) ก็จะประชุมข้าราชการ ตามที่ลำดับความไว้ว่าเราจะดำเนินการอย่างไร เขาเตรียมการว่าผมจะต้องพูดกับข้าราชการ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อผมมีโอกาสพูดกับท่านที่เป็นเจ้าของประเทศทั้งหลาย ผมก็ควรจะบอกว่าและผมจะทำอย่างไรเรื่องนี้ จะบอกเลยว่าโครงการที่ใหญ่ ๆ 5 โครงการ คือ โครงการขนส่งมวลชนในเมืองหลวง โครงการรถไฟทั่วประเทศ โครงการเรื่องน้ำ โครงการเรื่องเศรษฐกิจ การแพทย์ มี 5 โครงการใหญ่ จะตั้งใจดำเนินการคือว่าทำเป็นคณะกรรมการ 5 คณะ นายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานทั้ง 5 คณะ เพื่อจะไม่ได้ปล่อยให้รัฐมนตรีไปดำเนินการโดดเดี่ยว เรื่องที่จะลงมือทำภายใน 1 ปีนี้ ลงมือเลยครับ การลงมือคือทุกเรื่องเขาจะได้มีคณะกรรมการ และจะตามไปดูมีการประชุม และเรื่องที่จะส่งลงไปดู ก็มีเรื่องความเป็นไปได้ เรื่องปฏิบัติการ เป็นอย่างไร คือเริ่มลงมือทำงานเลย เรื่องขนส่งมวลชนก็จะเดินหน้าไป จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราก็เดินหน้าไปถึงการประมูล ญี่ปุ่นมาเขาบอกว่าท่านทูตขอคุยกับผมก่อน ท่านทูตบอกเลยว่าเรื่องอะไรต่าง ๆ เงินกู้ที่คั่งค้าง ดอกเบี้ยร้อยละ 1.4 เป็นความปรารถนาดี ผมนึกถึงที่ผมเคยรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เขาถามว่าเลือกตั้งมาแล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร ผมบอกว่าบ้านเมืองก็กลับมาสู่สภาพเดิม ผมบอกให้กลับสู่สภาพเดิมก็เริ่มออกเดินทางได้แล้ว มาเรียนให้ทราบไว้ว่าบัดนี้กลับสู่สภาพเดิม เขามาจัดการมาติดต่อมาทำการค้าขาย มีการลงทุน ก็ทยอยกันมาเรื่อย บอกให้ท่านทราบไว้ว่า ถึงเวลาจะได้ทำงานแล้ว กรรมวิธียืดเยื้อเยิ่นเย้อ เลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 กว่าจะเข้ามาสภาได้ 22 มกราคม 2551 กว่าจะเสร็จได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ 6 กุมภาพันธ์ มาถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ถึงจะเอานโยบายเข้าสภา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ แขกบ้านแขกเมืองมากันแล้วมาเจรจาความ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ก็ไปถึงข้าราชการ หลังจากนั้นแล้วพวกผมก็ลงมือทำงาน ก็เรียนให้ทราบเป็นระยะ ๆ รายการอย่างนี้มีประโยชน์ตรงนี้ครับ ที่มาลำดับความให้ฟังไว้

รัฐบาลยังดำเนินนโยบายปราบปรามยาเสพติด

ทีนี้มีอะไรไหมที่อาทิตย์ที่แล้วพูดจากันแล้ว ไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจกัน บางอย่างผมก็ไม่อยากจะพูดเขาตัดประเด็น ถ้าพูดก็ไปพูดกันในสภา ไม่มีปัญหา มีสิทธิที่จะสอบถาม ผมจะตอบให้ แต่เรื่องที่จะต้องสนทนากันคือบางครั้งบางคราวเวลาที่ให้สัมภาษณ์ธรรมดา เขาตอบเขาถาม คนที่นั่งดูเขาบอกเลยครับ คุณสมัครเอาอีกแล้วไปตอบโต้ไปชี้แจง ผมก็บอกว่าโดยสัญชาตญาณของผม คือจะพูดจาถามไปถามมา ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายกับท่านผู้ชมที่นั่งอยู่ทั้งหมด คำที่บอกว่านโยบายฆ่าตัดตอน ประหลาดไหมครับ ใช้คำว่านโยบายฆ่าตัดตอน ซึ่งจะพูดกันยาว ๆ แบบนินทากัน นโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด แล้วผลจากการปราบปรามนั้น เหตุที่แล้วมานั้นมีการกล่าวหากันว่า รัฐบาลนั้นไปฆ่าตัดตอนผู้คน 2,500 คน ผมถามจริง ๆ ตามสำนวนผมว่าแล้วเป็นไปได้อย่างไร ก็ตรวจสอบไปแล้ว ตำรวจบอกว่ามีที่เขาเรียกว่าวิสามัญฆาตกรรม คือตำรวจไปจับไปยิงแล้วต่อสู้กัน ฆ่ากันตาย 59 ราย ซึ่งทุกรายตำรวจต้องขึ้นศาล นอกเหนือไปกว่านั้น ก็พยายามอธิบายให้ฟังเลยบอกว่า เขาค้ากัน เราตรวจสอบ เราให้ยกนิรโทษกรรมให้คน 6 แสนคน พวกค้าเม็ดสองเม็ด อะไรต่าง ๆ ก็เอาตัวมา แล้วก็สอบย้อนขึ้นไป พอสอบขึ้นไป ใกล้ถึงตัวการก็ฆ่าตัดตอนกัน คำนี้แหละครับขอทำความเข้าใจ พูดอย่างไร

ผมก็ไม่อยากจะไปตำหนิสื่อสารมวลชน แต่ไป ๆ มา ๆ คำว่า “ฆ่าตัดตอน” นั้น กลายเป็นนโยบายซึ่งผมต้องย้อนถามเวลาที่เขาพูดกัน ผมถามว่าทำไมถึงได้เดือดร้อนแทนพวกค้ายาเสพติดกันนัก ก็บอกว่าผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่า ผมบอกว่าผู้บริสุทธิ์จะถูกฆ่าได้อย่างไร ถ้าเผื่อตำรวจวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจก็ต้องขึ้นศาล และถ้าเขาไปตัดตอนฆ่ากันเอง เราจะต้องไปรับผิดชอบ แล้วจะมาอ้างอย่างนั้นอย่างนี้จะทำอย่างไร ใครจะฆ่าใคร ก็มีกฎหมาย ทุกอย่างทุกคนแม้จะฆ่ากันเองก็ต้องมีกฎหมายเข้าไปถึง ต้องเข้าใจแบบนี้นะครับ มาถามตาย 5,000 เป็นอย่างไร ถ้าถามแบบนี้ก็บอกว่าทำไมจะฆ่าตัดตอนกัน 5,000 ต้องเป็นเรื่องของพวกฆ่าตัดตอน กลายเป็นว่าเอาอีกแล้ว สมัยนายกรัฐมนตรีคนก่อนฆ่าไป 2,500 นายกรัฐมนตรีคนนี้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยจะฆ่า 5,000 ไปกันใหญ่เลย แบบไม่เข้าเรื่องเข้าราวเลย แล้วถามว่าตกลงจะเป็นคนดีไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้ ก็ไม่ต้องทำนโยบายปราบยาเสพติด ไม่ได้หรอกครับต้องทำ และมาทำแล้วก็จะเกิดอย่างนี้

คำที่ผมพูดไป กลายเป็นว่าออกไปรายงานข่าวแล้ว เหมือนผมเป็นคนร้าย เป็นคนใจร้าย เป็นคนอะไรต่าง ๆ ผมบอกนโยบายดำเนินการเหมือนเดิมทุกอย่างครบถ้วนหมด ถ้าเผื่อตำรวจไปวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจต้องรับผิดชอบขึ้นศาล นอกเหนือไปกว่านั้น ถ้าเขาไปฆ่ากันเอง แล้วเราจะทำอย่างไร คำนี้แหละครับสื่อสารมวลชนไม่ยอมเข้าใจ อะไร ๆ ก็ฆ่าตัดตอน เดี๋ยวนี้ใช้ว่าอย่างไร นโยบายฆ่าตัดตอน ได้อย่างไรครับนโยบายฆ่าตัดตอน ผมต้องพูดกับท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าของประเทศ เรามีนโยบายต้องปราบปรามยาเสพติด ลูกหลานท่านทั้งหลายจะได้ไม่ต้องโดน เกือบ 2 ปียาเสพติดเข้ามาอีก ก็กลับให้อยู่ที่เดิม เท่านั้นแหละครับท่านผู้เป็นเจ้าของประเทศทั้งหลาย ท่านต้องช่วยกันเข้าใจด้วย คำว่าปราบแล้ว ถ้าเผื่อตำรวจเอาไล่จับกัน ต่อสู้กัน อย่างนี้วิสามัญฆาตกรรม ตำรวจต้องรับผิดชอบ ต้องไปขึ้นศาล เรามีหมายครบถ้วน แต่เมื่อสอบไปจะหาถึงตัวใหญ่ เขาก็เกิดตัดตอนกันเอง อย่างนี้ผมเข้าใจว่าท่านประชาชนทั้งประเทศคงจะเข้าใจความหมายนี้ว่า ถ้าเขาไปฆ่ากันเอง แล้วนโยบายนี้จะต้องยุติหรืออย่างไร ชอบพูดกันไปถึงสหประชาชาติ ไปอ้างอิงต่าง ๆ คนที่อยู่ไกลทางโน้นก็ไม่ฟังอะไร มันเป็นไปได้ไหม เหมือนกับว่าเราสั่งให้ตำรวจเอาปืนไปไล่ยิง ๆ แล้วบอกว่าเดือนนั้นต้องได้เท่านั้น ไม่มีครับ นโยบายคราวนี้ไม่มีว่าเดือนนั้นต้องฆ่าเท่านั้นเท่านี้ ไม่มีหรอกครับ และไม่ได้ไปสั่งให้ฆ่าด้วย ถามว่าถ้าเขาไล่จับกันอยู่ ยาเสพติดอยู่ในรถ เขาวิ่งไล่กันไป ทางโน้นยิงมาทางนี้ยิงไป แล้วก็เกิดคดีการตายกันขึ้นมา อย่างนี้ตำรวจต้องไปขึ้นศาล ศาลต้องพิจารณา ถ้าเขาไปตัดตอนกันเอง แล้วเราต้องรับผิดชอบ

ผมย้ำนะครับเหมือนกับพูดวนไปวนมาในอ่าง แต่ต้องพูด พอพูดก็บอกว่าเอาอีกแล้วสมัคร พูดจารุนแรงอีกแล้ว ตอบโต้ ผมจะพยายามที่แนะนำมาขอบคุณครับ เพราะเวลามานั่งดูโทรทัศน์แล้ว คนนั้นถามคนนี้ถาม ฟังแล้วผมต้องใช้คำว่าถามโดยไม่มีเหตุผล ผมก็พยายามไปตอบ เขาบอกว่าที่ตอบอย่างนั้นแสดงว่าเราเหมือนคนร้าย ดูสิครับ ถ้าไม่ปรับทุกข์กับท่านวันนี้ จะปรับทุกข์กับใครที่ไหน เอาเท่านี้ครับ เป็นที่เข้าใจกัน เมื่อไรใครใช้คำว่านโยบายฆ่าตัดตอน ขอให้ท่านผู้ชมทั้งหลายได้โปรดเข้าใจด้วยว่า เขาใช้สำนวนผิด เขาใช้สำนวนเหมือนกับว่า ไม่ต้องการให้มีนโยบายปราบปรามยาเสพติดอีกต่อไป เพราะต้องการให้เข้าใจผิด และชวนให้คนในโลกนี้เข้าใจผิดด้วย

สนับสนุนปลูกยูคาลิปตัสบนคันนาเพิ่มผลผลิตข้าว

ถัดไปมีเรื่องอะไรที่จะคุยให้ฟังสำหรับคราวนี้ ก็มีปัญหาว่าท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง) ท่านเรียนกฎหมาย บอกว่าคุณพ่อบังคับให้เรียน แต่ตัวท่านๆ ชอบวิทยาศาสตร์ แล้วก็สนใจ เมื่อเลือกกันแล้วเขาจะทำงานนี้ และท่านยังชอบต้นไม้และศึกษาเรื่องต้นไม้ พอรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ บอกว่า จะปลูกต้นยูคาลิปตัสบนคันนาเพื่อช่วยพัฒนาประเทศ เพื่อช่วยเศรษฐกิจ ท่านก็คิดอย่างนี้ คนที่พูดอย่างนี้ต้องรู้ในสิ่งที่เขาพูด ออกข่าวกันใหญ่ เป็นทำนองเหมือนว่าเอาอีกแล้วรัฐมนตรีไม่รู้หรือว่ายูคาลิปตัสกินดินดูดดิน ทำดินเสียหาย ผมนึกว่าช่างพูดกันจริง มันสำปะหลังก็เป็นอย่างเดียวกัน แต่มันสำปะหลังใส่ปุ๋ย แต่ต้นไม้อย่างนี้ไม่มีใครใส่ปุ๋ย เขาดูแลกันก็สุดแท้แต่ เมื่อเวลาฟังความ รัฐมนตรีที่โดนอย่างนี้ ผมก็ต้องใช้สำนวนผม ต้องแส่เข้าไปดูหน่อย บังเอิญผู้เชี่ยวชาญเรื่องยูคาลิปตัสขอพบผม ขอสนทนา คุยทางโทรศัพท์ได้ไหมครับ ไม่ได้ ต้องพูดเอง มาเลย ผมก็ลงมานัดสามโมงเย็นคุยเกือบสี่โมงเย็น เชี่ยวชาญจริง ๆ เราก็ได้รู้เหมือนกับที่รัฐมนตรีบอกว่า ยูคาลิปตัสเมื่อ 20 ปีก่อน เปลี่ยนพันธุ์ เปลี่ยนแปลงใหม่ และการค้นพบของอาจารย์ท่านนี้มีเหตุผล และท้าได้พิสูจน์ได้ ทางราชการก็รับรอง แปลว่าเขาปลูกพันธุ์ใหม่ เขาปลูกต้นยูคาลิปตัสบนคันนา พอปลูกไปปลูกมา ทีแรกคันนาก็แคบ เขาเห็นแล้วว่าปลูกแล้วข้าวในนาได้มากขึ้น ใบก็เป็นปุ๋ย ก็ค้นพบว่าเมื่อปลูกต้นไม้บนคันนานั้น รากออกไปอยู่ในผืนนา และเมื่อรากถูกไถ ปรากฏว่ารากต้นยูคาลิปตัสเป็นปุ๋ยที่ดีสำหรับต้นข้าว ไม่น่าเชื่อนะครับ ขณะเดียวกันเมื่อไปไถโดนรากมันซึ่งลงไปอยู่ในนา ท่านลองนึกถึงคันนา ต้นไม้อยู่บนคัน และรากออกไปอยู่ในนา เมื่อไถมันก็ตัดราก ตัดรากต้นก็สะดุ้ง ต้นสะดุ้งแล้วเป็นอย่างไร ต้นสะดุ้งไม่ตายหรอกครับ ยิ่งโตใหญ่ โตมากขึ้น และข้างในนาที่ถูกตัดลงไปบนคันนา ก็เป็นปุ๋ย ใบร่วงมาก็เป็นปุ๋ย ข้าวได้มากขึ้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ คนเป็นรัฐมนตรีเขาเข้าใจ เขารู้พอเขาเห็นอย่างนี้ เขาจึงแนะนำ

ผมจะให้ดูตัวเลขครับ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เชื่อไหมครับยูคาลิปตัสที่ปลูกกันเอามาทำกระดาษกัน เดี๋ยวจะบอกว่าเอาไปทำอะไรได้อีก ปลูกยูคาลิปตัสบนเนื้อที่ 1 ไร่ ที่ดอน ๆ ธรรมดา แห้ง ๆ ได้ 300 ต้น 5 ปีตัดยูคาลิปตัสได้ไม้ 2 ตัน ฟังให้ดีนะครับ 1 ไร่ปลูกได้ 300 ต้น ตัดมาแล้ว 5 ปีได้ไม้ยูคาลิปตัส 2 ตัน ทีนี้ที่ปลูกบนคันนา ข้าวก็ปลูกได้ ต้นยูคาลิปตัสอยู่บนคันนา นา 1 ไร่ 40 เมตรคูณ 40 เมตร 1,600 ตารางเมตร ใน 40 เมตร เขาทำคันนาให้โตขึ้นนิดหนึ่ง คือคันนา 1.50 เมตร คันนาธรรมดา 50 เมตร ศอกเดียว เขาทำเป็น 3 เท่า แล้วปลูกต้นสับไปสับมาซ้ายขวา ข้างหนึ่งปลูกได้ 50 ต้น คือ 25 ต้นกับ 25 ต้นคู่กันสลับกัน 40 เมตรปลูกได้ 50 ต้น อีก 40 เมตรปลูกได้อีก 50 ต้น แปลว่าปลูกบนคันนา เป็นตัวแอล ด้านเท่ากันได้ 100 ต้น ปลูกยูคาลิปตัสบนคันนา 100 ต้น สองด้านเท่านั้น 5 ปี ได้ไม้ 5 ตัน ปลูก 300 ต้นเต็มที่เลยได้ 2 ตัน 5 ปีเหมือนกัน แต่ปลูกเป็นตัวแอล ทางนี้ 50 ต้น ทางโน้น 50 ต้น 100 ต้นได้ 5 ตัน มันเจริญเติบโตอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าแบบนี้คนเป็นรัฐมนตรีเขาไม่ตื่นเต้น เขาต้องตื่นเต้น ตอนที่เริ่มต้นใหม่เกือบ 20 ปีก่อน ตอนกล้ามาใหม่ กล้าต้นละ 3 บาทขึ้นไป 8 บาท เดี๋ยวนี้ลงมาเหลือ 4 บาทแล้ว เขาก็ปลูกกัน การที่คนเป็นรัฐมนตรีจะปรารภว่า ช่วยกันปลูกต้นยูคาลิปตัส เพื่อจะช่วยชาติพัฒนาเศรษฐกิจ ไม้เศรษฐกิจ อย่างนี้ไม่ได้เหรอครับ ต้องได้ครับ ผมคุยวันนั้นสัมภาษณ์แล้วเขาก็ไม่สนใจเท่าไร มาเลยวันนี้ผมจะคุยให้ฟัง

ปลูกไม้ตะกูทำเฟอร์นิเจอร์

ทีนี้คุยเรื่องต้นไม้ต้นนี้ต้นเดียว ก็ยังมีอีกต้นหนึ่งชื่อต้นตะกู แถวนครปฐมก็มี เขาเรียกเจ้าพ่อวังตะกู ต้นตะกูเป็นไม้ประหลาด เพาะขึ้นมาจากเมล็ดเหมือนกัน ต้นไม้ขึ้นมามีใบใหญ่เหมือนใบสัก ต้นไม้คล้ายต้นสัก แต่โตเร็วมาก 1 ปีสูง 7-8 เมตร และขึ้นตรงชะลูดเหมือนต้นสัก ถ้าเผื่อต้นไม้อายุ 10 ปี เอาเด็กไปโอบ 2-3 คนโอบรอบ ดูแล้วไม่น่าเชื่อ เขาถ่ายรูปมาด้วยครับ เขาบอกว่าเนื้อคล้ายไม้สัก และมอดไม่กินเหมือนไม้สัก มีความทนทานเอาไปทำเครื่องมือ เฟอร์นิเจอร์ ใช้แทนไม้สัก ปลูกไม้เอาเนื้อ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เรียนให้ทราบว่าเมื่อเราเข้ามามีต้นไม้ ต้นไม้นี้ออกข่าวเมื่อเดือนพฤศจิกายนเมื่อปีที่แล้ว 3 เดือนเท่านั้นเอง ผมก็เอามาช่วยคุยให้ เพราะอะไร ใครมีที่ ใครจะปลูก ปลูกได้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ปลูกได้ทุกดิน ดีและทนทาน คล้ายไม้สักแต่ราคาไม่แพง แล้วโตเร็วมาก ไม้สักต้องใช้ 30 ปีถึงตัด 40 ปียิ่งดี นี่ 10 ปีตัดไม้ ตัดไม้เท่ากับต้นซุง เท่ากับไม้สัก ต้น 1 ปีสูง 7-8 เมตร

ขอให้ภาคภูมิใจกับธุรกิจอัญมณีของไทย

ถัดไปมีเรื่องเพชร พลอย ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์) บอกมา พอท่านไปได้ตัวเลขมา สนทนาเจอผม ท่านก็จูงมือมานั่งคุยเลย เอากระดาษให้ดูน่าตื่นเต้น ปีหนึ่งค้าขายกันอย่างนี้ 180,000 กว่าล้านบาท ไม่น่าเชื่อ ปีนี้จะทำถึง 200,000 ล้าน ถามว่าบ้านเมืองเรามีวัตถุดิบจะเอามาทำอย่างนั้น ไม่มีหรอกครับ หมด แต่ว่าคนไทยเกิดมีความเก่ง เก่งในการที่ว่าเอาวัตถุดิบมาก้อนเล็กก้อนโตก้อนใหญ่จากต่างประเทศทั่วโลก ไปหาซื้อกันมา แล้วเอาเข้ามา เขาเอามาเผา อุณหภูมิการเผาเป็นความลับของประเทศไทย ของคนไทย แล้วไม่ให้ใครที่ไหน เพราะฉะนั้น ตัววัตถุดิบทั้งหลายที่เป็นก้อน จะมาถูกเผาในประเทศไทย กลายเป็นว่าเราเป็นศูนย์กลางอัญมณีของโลก มีโรงเรียนอยู่แถวสีลม และเขาก็ทำกรรมวิธีกัน ที่ต้องมาบอกวันนี้ ไม่ได้โฆษณาสินค้า โฆษณาให้ฟังว่างานแสดงอัญมณีและเครื่องประดับจะมีวันที่ 27 กุมภาพันธ์ -3 มีนาคม อยากจะเชิญชวนไปชม ไม่ต้องซื้อหรอกครับ ไปชมให้มีความตื่นเต้นว่า บ้านเมืองของเราธุรกิจอัญมณี ปีกลายปี 185,000 ล้านบาท เขามาออกร้านกัน 111 ประเทศ ออกบู้ธ 3,000 กว่าบู้ธ ต่างชาติจะมาร่วมงานนี้อย่างน้อย ๆ 30,000 คน คนไทยจะไปดูเท่าไรไม่ทราบได้ เขาว่าธุรกิจการค้าที่เขาจะค้าขายกันในงวดที่เปิดงานประมาณ 25,000 ล้าน เป็นเรื่องที่เรียกว่าน่าตื่นเต้น ฝีมือของเราการจะทำอะไร เขามีโรงเรียน เจียระไนมาแล้วจะทำแบบไหน ของเราเก่งครับ

อย่างกับพลอยแดง ทับทิม ของเรา ถ้าไปเมืองจันทบุรี ทุกวันนี้ยังมีคนรุมกันแน่นตามถนนต่าง ๆ เขาเอาอะไรให้ใครต่อใคร ตัวที่เขาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ กองเหมือนของไม่มีราคา แต่บัดนี้กลายเป็นของมีราคาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะว่าแต่ก่อนนี้เขาเรียกว่าผูกขาด ถ้าใครทำแบบนั้นไม่ได้ ต่อมาเรื่องจะทำแบบที่จะเอาพลอยมาตกแต่งเครื่องประดับ เขาบอกว่าหมดการผูกขาด ถ้าท่านไปตามโรงแรมมีร้านจิวเวอรี่ต่าง ๆ แหวนต่าง ๆ เขาเอาทับทิมมาเจียระไนเป็นเส้น ๆ ชิ้น ๆ แล้วเรียงปะ ๆ บางทีก็เอาสี่เหลี่ยมปะ ๆ คือเอาชิ้นเล็กมาต่อให้เป็นอันใหญ่ เป็นพืดสีแดง และเพชรสีขาว ศิลปะอันนี้แหละครับ ฝรั่งทำ ไทยก็เลียนแบบ วัสดุไทยก็ทำ ไทยก็มีฝีมือ และพวกเศษทั้งหลายที่กอบกันมาอยู่ในประเทศไทยครับ ฉะนั้น ที่เรียกว่า เพชรดีมณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย์ 9 อันนี้มีครบถ้วนหมดครับ

คุณธวัชชัย อนามพงษ์ พรรคประชาธิปัตย์ เอามาวันนั้น ผมยังเห็นอยู่ คือไม่รู้ว่าจริงปลอมอย่างไร คุณธวัชชัยบอกว่ามูลค่า 25,000 ล้าน แต่ว่าทำไมพกไปสภาได้ ก็ไม่ทราบได้ นี่แหละครับ คนที่เอาใจใส่อย่างนี้จริง เขาจะเอาของจริงไปแสดง วันนั้นดูแล้วเลยไม่ทันถามรายละเอียด ธรรมดาก็คุ้นเคยกันมาก่อน อยากจะบอกแต่เพียงว่าของอย่างนี้ การทำฝีมือ การเผาอยู่ในเทคโนโลยีของคนไทย การจัดต่าง ๆ โรงเรียนต่าง ๆ เป็นความน่าภาคภูมิใจนะครับ แน่นอนกินไม่ได้หรอกครับ แต่ทำเงินให้บ้านเมืองนี้ได้ เอามาบอกแล้วจะให้ใครไปซื้อไหม ไม่ใช่ครับ บอกให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจว่า ธุรกิจอย่างนี้เป็นธุรกิจที่เป็นหน้าเป็นตาของบ้านเมือง ทำเงินเข้าบ้านเมือง ทำงาน ได้ฝีมือ ที่ไปบอกว่าต้องไปถ่ายทอดเทคโนโลยี ไทยก็เหมือนกันครับ คนไทยก็ไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ใครเหมือนกัน รู้เลยว่าต้องเผาอุณหภูมิเท่าไร เขาตกลงกันอย่างนี้ เขายอมรับสิ่งที่จัดการทำกันมาอย่างนี้ อย่างซื้อขายเพชรรัสเซียเป็นอย่างไร พลอยของเราก็ดังครับ ต้องเอามาบอกไว้ ว่าง ๆ นะครับ วันที่ 27 กุมภาพันธ์เขาเปิดงานถึงวันที่ 3 มีนาคม ที่เมืองทองธานี นี่เป็น

เรื่องที่จะคุยให้ฟังวันนี้ วันนี้เขาจะถามว่าจะพูดเรื่องอะไร ผมก็กลายเป็นภาระต้องหา คืออะไรที่กระทบกระทั่งกับคณะรัฐมนตรี ก็จะเอาเรื่องมาช่วยอธิบายแทนเขา คุยกับเขามา หาผู้เชี่ยวชาญและคุยให้ฟัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าเวลาท่านรัฐมนตรีพูดอะไรออกไป สื่อสารมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ จะทำให้เข้าใจผิด ผมนี่แหละครับจะทำให้เข้าใจ ถูกหรือไม่ถูกไม่รู้นะครับ แต่ผมเข้าใจแล้วมาถ่ายทอดให้ท่านผู้ชมที่บ้านได้เข้าใจด้วย บ้านเมืองต้องการสิ่งนี้นะครับ ต้องการความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และจะทำอะไร และตรงไปตรงมาอย่างไร ต่อไปนี้ผมจะได้คุยในสิ่งที่ผมยกประเด็นไว้วันนี้

เปรียบเทียบราคาพืชผักที่สูงขึ้นกว่าในอดีต

ทีนี้จะคุยให้ฟังนิดหนึ่งว่าเมื่อ 15 ปีก่อน เมื่อเวลาที่แตงกวาออกจากสระบุรีกิโลกรัมละ 5 บาท แต่ว่าถ้าไปตลาดบางกะปิ จะกิโลกรัมละ 14 บาท แพงกว่า 9 บาท แต่ถ้ามาตลาด อ.ต.ก. เขาคัดลูกเล็กออก เขาคัดเอาลูกโตมาขาย เขาขายกิโลกรัมละ 25 บาท เห็นไหมครับ เราเป็นคนบริโภคเราต้องรู้ว่าขับรถเก๋งไปซื้อ อ.ต.ก. 25 บาท แต่ว่าถ้าขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อที่ตลาดบางกะปิ ตลาดบางกะปิมี marketing เขามีความคิดอ่านในการขายที่ อ.ต.ก. ทำไม่ได้ครับ อ.ต.ก. คนซื้อซื้อเป็นกิโลกรัม ซื้อครึ่งกิโลกรัมอย่างน้อย เขาชั่งขายกันอย่างนั้น แต่ว่าทางตลาดบางกะปิเริ่มต้น ท่านฟังให้ดีครับ แตงกวา 5 บาทนั้น เขาขายอยู่บนแผง 14 บาท เหตุการณ์นี้ 10 กว่าปีแล้ว แล้วเขามีคนที่ไปขายกองข้าง ๆ คือบนแผงเสียค่าแผง ข้าง ๆ ไม่เสียค่าแผง เขาขาย 12 บาท ข้างล่างขาย 12 บาท ข้างบนขาย 14 บาท แตกต่างกัน แต่คนข้างล่างเขาทำอย่างไรรู้ไหม เขาจะมีกะละมัง มีกระบะพลาสติกสำหรับไปแบ่ง คือคนจนแถวบางกะปิซื้อแตงกวาทีละกิโลกรัมไม่ได้ เขาใส่ 3 แผ่น เอากิโลกรัมมาใส่ 3 อัน โปรดดูให้ดีครับ 1 กิโลกรัมขายทั้งกิโลกรัมข้างล่าง 10 บาท แต่ไม่ได้ชั่งกิโลขายเพราะไม่มีใครซื้อ ต้องซื้อเป็นจานซื้อเป็นกระบะ ฉะนั้น 3 จาน ๆ ละ 5 บาท แตงกวาก็ประมาณ 3 ขีดกว่า ๆ คือเอากิโลมาแบ่ง 3 ทอด เห็นไหมครับ แม่ค้าขายข้างล่าง 3 ขีดกว่า ๆ ขาย 5 บาท ก็บ้านที่คนจนเขาก็ซื้อ 5 บาท ไม่ซื้อครึ่งกิโลกรัมด้วย แต่ว่าซื้อ 5 บาท แม่ค้าขาย 3 จานก็ได้ 15 บาท ข้างบนขายทั้งกิโลได้ 14 บาท ข้างล่างทั้งกิโลถ้าใครซื้อเขาขาย 10 บาทเท่านั้น เพราะต้นทุนมา 5 บาท มา อ.ต.ก. เขาคัดเอาลูกเล็กออก เขาจะขายแต่ลูกโต ๆ เขาขาย 25 บาท เรื่องอย่างนี้ก็ต้องแล้วแต่สถานที่ เพราะ อ.ต.ก. เขาคัด แพงกว่าของธรรมดา นี่เล่าเรื่องก่อน ๆ ให้ฟัง

เล่าให้ฟังอีกนิดครับเพราะว่าไปเจอความมหัศจรรย์ของการเปลี่ยนแปลงเมื่อวานนี้ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน 15 ปีก่อน มะเขือพวงทั้งถุงจำเป็นสำหรับคนตำน้ำพริก ไม่มีมะเขือพวงไม่สนุก มะเขือพวงถุงหนึ่งแต่ก่อนนี้ 60 บาท 10 กิโลกรัม มะเขือพวงถุง 10 กิโลกรัม 60 บาท เวลานั้น 60 บาทถ้าเข้ามาในเมืองแล้วคนซื้อมะเขือพวงจะไม่มีใครซื้อมะเขือพวงกิโลหรือครึ่งกิโล ไม่มี นอกจากพวกที่ทำแกงขาย ทางบ้านจะซื้อเฉพาะตำน้ำพริกหรือจะซื้อเฉพาะใส่แกง จะซื้อมะเขือพวง 10 บาท เขาก็หยิบมาขยุ้ม 10 บาท เขาซื้อเท่านั้น ขณะที่มะเขือพวงกิโลกรัมละ 6 บาท แม่ค้าจะเอามะเขือพวง 1 กิโลกรัมมาขายขยุ้มละ 10 บาท ๆ ๆ จะขายได้ 10 หน ขายได้ 100 บาทขายปลีก ต้นทุน 6 บาท เพราะทั้งถุงนี้ 60 บาท มี 10 กิโลกรัม เรื่องนั้นผมใช้ข้อมูล ที่เล่าให้ฟังเพราะว่าเป็นเรื่องตื่นเต้นสำหรับผมเองด้วย 10 กว่าปีก่อนเจออย่างนี้ที่สระบุรี เวลานั้นมะเขือพวงซื้อ 10 บาทแล้วครับ เดี๋ยวนี้มะเขือพวงในกรุงเทพฯ ต้องซื้อ 20 บาท 10 บาทแม่ค้าจะหน้างอนะ ถ้าตลาดนางเลิ้งยังขายอยู่ 10 บาท เขาก็หยิบแต่น้อยหน่อย สำหรับตำน้ำพริก 10 บาท เมื่อวานนี้ไป มะเขือพวงที่ตลาดไท ซึ่งเคย 60 บาท เดี๋ยวนี้ราคา 280 บาท แปลว่ามะเขือพวงกิโลกรัมละ 28 บาท แต่ก่อนกิโลกรัมละ 6 บาท พอฟังแล้วผมก็ไม่รู้สึกอะไร ดีใจแทนคนปลูก ดีใจแทนเลยว่าบัดนี้ถุงหนึ่ง 280 บาท กิโลกรัมละ 28 บาท รับมาถึงกรุงเทพฯ เขาขายกิโลกรัมละเท่าไรทราบไหมครับ เขาไม่ขายเป็นกิโลกรัม เราจะไม่มีทางรู้เลย หยิบมา 1 ขยุ้ม 20 บาท ให้หยิบ 5 หนได้ 1 กิโลกรัมก็แล้วกัน ก็แปลว่า 100 บาท ต้นทุน 28 บาท เห็นไหมครับ เราไม่ได้กินมะเขือพวงกันทั้งวัน แต่ยกตัวอย่างว่าเรื่องน่าคิดจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค

แล้วไปอย่างไรมาอย่างไร มีเรื่องที่เราต้องคิดว่า ตอนนี้ผมจะใช้กระดาษสักนิด เพราะว่าเมื่อทำการบ้านมาแล้วก็ให้ท่านดูว่าที่เขาขายผักกันนี้ แตงร้าน แตงกวา แตงกวาเดี๋ยวนี้ เมื่อก่อน 5 บาทที่ผมคุยไว้ วันนี้ 13 บาท เปลี่ยนแปลงพอสมควร ถุงหนึ่งเคยซื้อ 50 บาท 10 กิโลกรัม 50 บาท แตงกวาเดี๋ยวนี้ 130 บาท แปลว่ากิโลกรัมละ 13 บาท มาดูแตงกวาว่าเข้ามาในเมืองแล้วราคาเท่าไร แตงกวากิโลกรัมละ 13 บาทต้นทุน เวลานี้ขายแตงกวา 35 บาท บางครั้งขาย 40 บาท เห็นไหมครับ ต้นทุน 13 บาทมาถึงตลาด 40 บาท 40 บาทนี่คือ อ.ต.ก. ถ้าไปบางกะปิจะประมาณ 25 บาท แล้ว 25 บาท 1 กิโลกรัมเขาก็ใส่ 3 จาน เดี๋ยวนี้ไม่ใช่จานละ 5 บาทแล้ว แตงกวาเป็นจานละ 10 บาท ขายทั้งกิโลกรัมขาย 20 บาท แต่แบ่งกิโลเป็น 3 อันใส่ 3 จาน เขาก็ขาย 30 บาท จานละ 10 บาท ไปแต่เช้าก็ 10 บาท พอเย็น ๆ เขาจะร้องขาย 3 จาน 25 เขาขายราคาเหมือนยกกิโลกรัม นี่เป็นเรื่องของความเปลี่ยนแปลง

ที่อธิบายให้ฟังอย่างนี้ผมจะยกตัวอย่างนิดหนึ่ง ฟักเขียว 1 ถุง 10 กิโลกรัมราคา 50 บาท ฟักเขียวลูกขนาดกำลังใช้กิโลกรัมละ 5 บาท มาดูที่ตลาดขายเท่าไร ตลาดขาย 20 บาท ต้นทุน 5 บาท แต่มาถึงตลาดขาย 20 บาท ทุกอย่างเป็นลักษณะอย่างนี้หมด ถูกต้อง แน่นอน อย่างกะหล่ำปลี เวลานี้กะกล่ำปลีแพง 15 บาท มาถึงที่ตลาด 28 บาท เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างจะเป็นอย่างนี้หมด ปัญหาคือว่าเมื่อเล่าให้ฟังอย่างนี้แล้ว คิดว่าอย่างไร ผมต้องคิดให้ฟังว่าเมื่อเวลาที่เรา เราดูฟักทอง เมื่อสมัยก่อนกิโลกรัมละ 6 บาท เดี๋ยวนี้ฟักทองขึ้นมาเท่าไร กิโลกรัม 7 บาท ลูกโต ๆ ที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ 8 บาทอย่างเก่ง มาถึงตลาดขายเท่าไร มาถึงตลาดขายกิโลกรัมละ 25 บาท ฟักทองลูกใหญ่หนัก 7 กิโลกรัม 175 บาท ต้นทุนกิโลกรัมละ 7 บาท 7 x 7 = 49 บาท ทั้งลูกซื้อจากตลาดไท ลูกละ 49 บาท แต่มาถึงตลาดทางนี้แล้วกิโลกรัมละ 25 บาทเป็น 175 บาท อย่างนี้แปลว่าการขนส่งสินค้าไปมา ที่เรียกว่า Logistic มะนาว เวลานี้มะนาวเริ่มแพงอีกแล้ว เพราะเหตุว่าร้อน แล้งเข้า ก็ยังพอมีขาย มะนาวไปซื้อที่โน่นขายส่ง 1.25 บาท แต่มาถึงกรุงเทพฯ 3 บาท 3 ใบ 10 บาท เริ่มแพงแล้ว ต่อไปเวลามะนาวแพง แพงจริง ๆ ลูกละ 8 บาท เวลาที่น้อยเกี่ยวกับอุปสงค์อุปทาน ที่เรียก supply demand เพราะฉะนั้นจะเล่าให้ฟังว่า เรื่องเวลานี้ที่คุณมิ่งขวัญฯ (นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) ท่านกำลังเจรจาความ

หาแนวทางแก้ไขราคาหมูเนื้อแดงที่แพงขึ้น

เวลานี้พอถึงเรื่องหมู คำอธิบายเรื่องหมู ผมฟังเข้าหู แต่ว่าคนบริโภคจะฟังหรือไม่ เวลานี้หมูกิโลกรัมละ 120 บาท แต่ก่อนกิโลกรัมละ 100 บาท ถามว่าทำไม เราต้องคิดถึงเรื่องนี้ ว่าทำไมเนื้อไม่เปลี่ยนแปลง ทำไมแพงหมู เนื้อไม่เปลี่ยน อย่างนี้เราต้องรู้ทันทีว่าต้องมีเฉพาะเรื่อง เขาบอกว่าที่เกิดหมูแพงนี้ เรื่อง supply demand เรื่องเกี่ยวกับเกิดเหตุในการเลี้ยงหมู การเอาลูกหมูไปขาย มีการขาดแคลน พอมันน้อยก็ขายแพง ตั้งราคา ซึ่งราคาซากหมู คือหมูฆ่าเสร็จแล้วตัดเลย เขาขายเฉลี่ยชั่งกิโลมาขายเลย แพงกว่าเดิมเพียง 3 บาท แต่ทำไมเมื่อมาขายเป็นกิโลแล้วถึงเนื้อแดงขึ้นไปกิโลกรัมละ 120 บาท เวลาพูดถึงราคาอะไรต่าง ๆ นั้น ท่านโปรดฟังให้ดี เราต้องมีความเป็นธรรมทั้งผู้ผลิต ทั้งคนกลางและผู้บริโภค เราซื้อหมูมาฆ่ากินโดยตัวเองได้ไหม ไม่ได้ครับ ไก่มาให้ฆ่ายังไม่ฆ่าเลย ตัวเล็กกว่าหมูตั้งเยอะ ฉะนั้นต้องให้มีคนเขาฆ่า ต้องมีคนเขาเลี้ยง มีคนเขาขนมาฆ่า ฆ่าเสร็จแล้วเขาต้องไปที่ตลาด เขามีเขียง จากเขียงนั้นถึงจะถึงเราเป็นผู้บริโภค เพราะฉะนั้นตรงนี้เมื่อเห็นเหตุ เราต้องดูว่าเราควรจะต้องแก้ได้ เราควรจะต้องแก้เหตุได้

เริ่มต้นอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นอย่างนี้เพราะเนื่องจากว่ามีอุบัติเหตุในการเลี้ยงอะไรต่าง ๆ จังหวะจะโคนเขาว่าจะแพง ถ้ามันจะแพงแล้วมันแพงตรงไหน แพงที่หมูเนื้อแดงกิโลกรัมละ 120 บาท ถามว่าไปกินส่วนอื่นของหมู ส่วนอื่นยังถูกกว่า สามชั้นก็ต้องลงไปถูกกว่า กระดูกก็ยังถูกกว่า แต่เราเอาราคาหมูเนื้อแดงมาตั้ง แล้วบอกว่า 120 จะตายอยู่แล้ว เคยขายอยู่ 100 บัดนี้ขึ้นมาเป็น 120 บาท แปลว่าขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ สินค้าขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์เป็นไปไม่ได้ คนขายหมูต้องอธิบายให้เข้าหูคนบริโภค ผมนี่เข้าหูมาแล้ว ฟังแล้วถึงเอามาคุยได้ว่ามันเกิดอุบัติเหตุในการเลี้ยง ทั้งขบวนการการเลี้ยง ต่อไปถ้าเข้าที่เข้าทางแล้วจะกลับมาสู่ราคาเดิม ความแพงนั้นแพงอยู่แล้ว 100 บาทแพงอยู่แล้ว ต้องแปลว่าหมูเนื้อแดง เนื้ออื่นก็ไม่ถูกไม่แพงอย่างนั้น กระดูกหมูราคากิโลกรัมละ 22 บาท ไปซื้อสามชั้นก็ราคาถูกกว่า ส่วนต่าง ๆ ของหมูนั้นไม่ได้ 120 บาทหมด นี่พูดให้เข้าใจไว้เท่านั้นเอง แล้วจะมาออกรับแทนคนขายหมูด้วย การเจรจาความจะเป็นอย่างไร ถ้าเริ่มต้นบอกว่ามีน้อย ขอดูหน่อยว่ามีน้อยมีอย่างไร

เวลาเห็ดโคนออกใหม่ ๆ กิโลกรัมละ 500 บาท เห็ดโคนออกใหม่ ๆ ออกมาประมาณสัก 2 เดือนอย่างมากไม่เกิน เวลาที่ออกมานานแล้วจะลงมา 300 บาท เป็นเห็ดแพงครับ เห็ดโคนกิโลกรัมละ 500 บาท ออกมาเยอะ ๆ แล้วกิโลกรัมละ 300 บาท ทั้งเดือนก็หมดหายไป แต่เห็ดฟางเห็ดนางฟ้า เห็ดนางโลม เห็ดหูหนูขาว ออกทั้งปี เพราะฉะนั้นใครจะกินเห็ดโคนก็ให้คนมีเงินเขากิน เขาซื้อกันตรงนั้น อร่อยแน่นอน แต่ใครจะกินเห็ดฟางมีขายทั้งปี เห็ดฟางอยู่ที่ตลาดบางกะปิ ขายกิโลกรัมละ 60 - 65 บาท อย่างแพงวันไหนแพงก็ 70 บาท เขาถึงเอาแต่ดอกโตมาใส่ เขาขาย 100 บาทที่ อ.ต.ก. แปลว่าเราต้องรู้ด้วยครับ เอาราคา อ.ต.ก. เป็นฐานก็ไม่ได้ ผมขับรถเก๋งไปซื้อ เขาเสียค่าที่แพง เขาขายกิโลกรัมละ 100 บาทเห็ดฟาง แต่ไปบางกะปิ 60 – 70 บาท อย่างนี้แปลว่าจะกินเห็ด จะใส่เห็ดฟางใช้ได้ เห็ดนางโลมใช้ได้ เห็ดนางฟ้าใช้ได้ เห็ดนางฟ้าภูฏาน มีเห็ดให้เลือกมากมายก่ายกอง เพราะว่าชมรมเห็ดของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ และของเราแม้แต่เห็ดโคนหลวงก็ทำสำเร็จ แต่ว่าไปดูแล้วบางทีก็มี บางทีก็ไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็เลยต้องว่า เอาเห็ดมาเป็นมาตรฐาน ถูกต้องครับ บริโภคได้ มังสวิรัตก็กินเห็ดได้ แต่ต้องรู้ว่าเราจะกินเห็ดโคน เห็ดโคนนอกฤดูมีไหม มี อยู่ที่ไหน ในขวด อยู่แถวไหน หลังตลาด อ.ต.ก. ริมตรงทางเข้าต้นโพธิ์ที่เขาเล่นหมากรุกกัน มีร้านค้าเข้าไป มีทุกวัน ขวดละ 600 บาท นับดูสิครับ เก่ง ๆ ประมาณสัก 30 ดอกยาว ๆ ดอกยาวตั้งค่อนคืบ ใส่ขวด 600 บาท ก็ให้คนมีเงินเขากินไป วันไหนจะถูกลอตเตอรี่ก็ไปซื้อกินแล้วกัน ก็เห็ดฟางถูกกว่ากินเห็ดฟาง ผมก็กินเห็ดฟาง นาน ๆ มีคนฝากเห็ดโคนมาให้ก็กิน เพราะเขาฝากมาให้ คือคนกินไม่ต้องซื้อ

อย่างนี้คือเล่าให้ฟังว่าทำไมเรื่องระหว่างผู้ผลิตผู้บริโภค เมื่อผู้ผลิตเขามีปัญหาเรื่องหมู บอกไปกินกระดูกหมู เดี๋ยวโดนด่าอีก กินโครงไก่ก็ว่ากันไป ไม่จบ นี่เป็นเรื่องต้องย้อนหลัง เขาเข้าใจว่าเอาซี่โครงไก่มาต้มแล้วเอามาดูดกิน ทั้ง ๆ ที่คำว่าโครงไก่คือต้มเป็นน้ำซุป ไม่ต้องต้มให้เปื่อย เอาฟักใส่เอาอะไรใส่ อธิบายให้ฟังเข้าใจ ว่าไปซื้อนี้ 20 – 30 บาท แต่ต้มได้ทั้งหม้อ กินทั้งบ้าน ไม่เข้าใจ ยังเยาะเย้ยถากถางอยู่จนวันนี้ ว่าซี่โครงฟักต้มซี่โครงไก่ เป็นอย่างไร ผมจะถามสิเป็นอย่างไร

อธิบายความที่ถูกต้องของเรื่องโครงไก่ต้มฟัก

เมืองจีนกินฟักต้มกระดูกไก่ ต้มกระดูกหมู เนื้อส่งขายหมด ประเทศไทยไปช่วยเมืองจีน ไก่บอยเลอร์ บริษัทเป็นของ ซีพี ออกชื่อเขาหน่อยก็ได้ เขาไปช่วยให้คนจีนได้เลี้ยงไก่แบบที่ไทยเลี้ยง แล้วส่งออก แล้วเอากระดูกไก่กระดูกหมูต้มให้คนกินในโรงงาน ผมไปมาเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง ไม่มีแล้วครับ แต่ว่านั่นคือความถูก แล้วกระดูกหมู กระดูกไก่ รสชาติดี ซื้อหมูสามชั้นไปใส่ ซื้อเนื้อไปใส่ ไปต้ม น้ำรสชาติสู้กระดูกไก่ต้มกระดูกหมูต้มไม่ได้ ดีอย่างนั้นถึงว่า เอาฟักใส่ก็อร่อย เอาหน่อไม้ใส่ก็อร่อย หัวไชเท้าใส่ก็อร่อย อธิบายความจนกระทั่งบัดนี้ซี่โครงไก่ต้มฟัก เรียกซี่โครงไก่ต้มฟักก็เป็นความเชยของคนเรียกแล้ว ต้องเรียกว่าโครงไก่ ทั้งโครงตั้งแต่คอตั้งแต่ตัว ตอนนั้น 3 โครง 1 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 10 บาท ซื้อฟัก 10 บาทเป็น 20 บาท รากผักชีกระเทียมพริกไทยใส่น้ำปลา ต้มได้ทั้งหม้อกินทั้งบ้าน 30 บาทกินทั้งบ้าน ไปซื้อเขาตอนนั้นถุงละ 15 บาท ถุงละ 20 บาท กินได้ 2 คนผัวเมียก็หมดแล้ว

พูดอย่างนี้ พอเรื่องกับข้าวพูดจาคล่องแคล่ว ต้องพูดอย่างนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ราคาระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค นี่ละครับ รัฐบาลผมจะตามไปดูเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม คนปลูกก็ควรจะได้ราคานี้ คนกลางควรจะน้อยหน่อย ไม่ควรจะเอิกเกริก ต้องดูการขนส่งมาตลาด การจะส่งอย่างไร เสร็จเรียบร้อยแล้ว มาพูดให้ฟังจะต้องเป็นข่าว ถูกต้อง จะเป็นข่าวก็ทำได้ แต่ต้องเข้าใจว่ามาพูดให้ฟังเหมือนกับเศษสตางค์

การใช้เศษสตางค์ช่วยทำให้ขึ้นราคาสินค้าอย่างเป็นธรรม

ให้เก็บเหรียญบาท ผมเข้าใจของผมว่าเหรียญบาทคือเศษสตางค์ 5 บาทคือเศษสตางค์ 10 บาทคือเศษสตางค์ คนโรงกษาปณ์เข้าใจว่าเศษสตางค์ต้อง 25 สตางค์ ต้อง 50 สตางค์ ผมก็หลุดไปบอกว่าเรื่อง 25 สตางค์ 50 สตางค์ ให้เขาใช้กันในซูเปอร์มาร์เก็ต แปลว่าอย่างไร แปลว่าราคาสินค้าที่วาง 3.25 บาท 3.50 บาท แปลว่าทศนิยม .25 .50 .75 ในซูเปอร์มาร์เก็ตเขาเสนอขายได้ เพราะเวลานั้นเขากดเครื่อง เห็นไหมเรื่องอย่างนี้ เสร็จแล้วบอกจะไปทำเหรียญ 50 สตางค์ เขามีใช้อยู่พอแล้ว แต่เหรียญบาทอย่าเลิก ผมบอกว่าข้าวแกง 20 บาท ขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์คือ 21 บาท แม่ค้าขาย 100 จานต่อวัน แม่ค้าได้เพิ่ม 100 บาท ซื้อของแพงขึ้น 50 บาท เอาไว้อีก 50 บาทซื้อของอื่นแทนของตัวเอง นี่คือความเป็นธรรม ถ้าไม่พอ ตกลงกันได้ 2 บาท จาก 20 บาทเป็น 22 บาท แปลว่าแม่ค้าต้องซื้อของแพงขึ้น ขายได้กำไรวันละ 200 บาท ซื้อของแพง 100 บาท เอาไว้ซื้ออย่างอื่นแพงอีก 100 บาท นี่คือคำอธิบายง่าย ๆ เหรียญ 1 บาท เหรียญ 5 บาท เหรียญ 10 บาท สมมติว่าขึ้นไป 22 บาท เขาให้มา 30 บาทก็ต้องทอน 8 บาท ให้มา 25 บาททอน 3 บาท ต้องการอันนี้ครับ แล้วยังทำได้อยู่ ผมบอกยังไม่สายเกินไปถ้าจะเก็บเหรียญบาทเอาไว้ เล็กที่สุด ทำอย่างนั้น นี่คือคำอธิบาย แล้วเมื่ออธิบายแล้วก็มาอธิบายเรื่องกับข้าววันนี้ ต้องการให้รู้ว่าเป็นเรื่องน่าคิดระหว่างผู้ผลิตถึงผู้บริโภค

เรื่องการเดินทางที่แพงจนเกินเหตุ รัฐบาลผมจะช่วยลงไปดูว่าจะเป็นอย่างไร ผมไม่ต้องลงมือ คุณมิ่งขวัญฯ เขาเข้าใจ เขาจะหยุด เขาช่วยรัฐบาล 4 หน่วยงานที่เขาไม่ขึ้นราคาสินค้า เขาก็ขอบคุณ เขาช่วยคือเขาไม่ขึ้น แต่คนอื่นจะต้องขึ้น ก็จะต้องปรับปรุงให้เขา พวกที่อยากดูจริง ๆ ขายน้ำมันพืชกันหยก ๆ 29 บาท บอกน้ำมันพืชจะไปทำไบโอดีเซล ขึ้นพรวดพราดไปจ่ออยู่ที่ 49 บาท 29 บาทขึ้นไป 49 บาท มันขึ้นไปได้อย่างไร ทำไมขนาดนั้น นี่ละครับที่จะต้องมาตอบคำถาม จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ขอประทานโทษครับ เรื่องนี้บางทีจะต้องคุยต่อ แต่สัญญาไว้ว่าจะตอบคำถาม เมื่อคราวที่แล้วบอกว่ามัวแต่คุยไม่ตอบคำถาม

คำถามมา อยากทราบว่ายูคาลิปตัสพันธุ์อะไรที่ไม่มีผลต่อดินทำให้ดินไม่เสีย ลองไปถามราชการครับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประทานโทษครับ กระทรวงเกษตรฯ คณะวนศาสตร์ จะเป็นคนตอบ แต่รับประกันได้ว่าผมจะมีหน้าที่เอาข้อมูลไปออกให้อ่านกันทางหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องพันธุ์อะไร คนที่เขาปลูกอยู่แล้ว เขาดำเนินการอยู่แล้ว แต่แนะนำให้รู้ว่าปลูกแล้วไม่เสียของ นาก็ทำนาได้ นั่นก็อยู่บนคันดิน ประเด็นเรื่องยูคาลิปตัส ปลูกมา 10 กว่าปี ตัดไม้ขายได้ทุกปี ไร่ละ 5,000 บาท แนะนำให้ปลูกกันตามคันนา ไม่รณรงค์ให้ปลูก ถูกต้องครับ แนะนำปลูกคันนาครับ ปลูกบนดิน 300 ต้นได้ 2 ตัน ปลูกบนคันนา 100 ต้นได้ 5 ตัน ต้องปลูกบนคันนาครับ

ทำประชาพิจารณ์เรื่องปราบยาเสพติดน่าจะได้ผลดีกว่า ไม่ต้องประชาพิจารณ์หรอกครับ พูดให้ท่านฟังให้เข้าใจตรงนี้เท่านั้นเอง นโยบายฆ่าตัดตอน ใครใช้คำนี้แสดงว่าแย่ นโยบายฆ่าตัดตอน นโยบายบ้าอะไรฆ่าตัดตอน จะใช้สำนวนนี้เดี๋ยวว่าเอาอีกแล้ว สมัครเริ่มออกฤทธิ์อีกแล้ว ใช้คำนี้ สำนวนสนทนาต้องแบบนี้ครับ นโยบายปราบปรามยาเสพติดเด็ดขาด เท่านี้ละครับ ตำรวจไปฆ่าเขาตาย ตำรวจต้องขึ้นศาล แต่ผู้ร้ายกลัวจะถึง มันฆ่ากันเอง ถามว่าแล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าจะไปออกรับแทน พูดไปซ้ำซาก

ค่าจอดรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ที่สนามบินสุวรรณภูมิราคาแพงมาก ประชาชนเดือดร้อน ผมอยากเรียนครับ สนามบินสุวรรณภูมิคือเขาเป็นสถานที่ที่เขาเรียกเป็น International เพราะฉะนั้นราคาเขาตั้งเอาไว้ เขามีราคาไทยราคาเทศไม่ได้ครับ บะหมี่ชามละ 170 บาท แล้วคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐเท่าไร เอา 30 ไปหาร ประมาณมาถึง 6 เหรียญ 5 เหรียญครึ่ง ก็ราคาสากล บะหมี่ที่แอร์พอร์ตราคา 5 เหรียญครึ่ง ปกติ ฝรั่งกินของเราได้ 6 ชาม ต้องขอความกรุณาครับ ถ้าแพง ถ้าหิวอย่างไรก็ต้องกินครับ เดี๋ยวไปอดตายที่นั่น แต่ว่าถ้าไม่จำเป็น ไม่กิน ผมนาน ๆ ก็กินที 170 บาทถึงได้รู้ราคา ราคาที่นั่นแพงทุกอย่าง เพราะเขาทำสำหรับคนที่เดินทาง ในกระเป๋าเขาไม่ใช่เงินไทย ต้องขอความกรุณาจริง ๆ นี่ไม่ได้ไปออกรับแทน ค่าจอดรถนี้จะตรวจสอบหน่อย เพราะว่าเขาจะคิดเอาทุนคืนค่าสนามบินหรือเขาต้องการจะไม่ให้คนจอดมาก มีนักคิดครับ แพงเพราะไม่ต้องการให้ไปจอดมาก แพงเพราะว่าจะได้ไปหลาย ๆ คนได้รวมกันไป จะไปส่งเพื่อนคนหนึ่งมีเพื่อนตามไป 5 คน รถจอด 5 – 6 คัน อย่างนี้ควรจะคิดว่าต้องจ่ายเท่าไร จะไปคันเดียวกันก็จ่ายคันเดียว นี่ผมช่วยคิดแทนให้ แต่จะรับไปดูให้ว่าแพงอย่างไร พอสมควรไหม ถ้าผมมีความรู้สึก ผมจะมาเล่าให้ฟังด้วย

ไม่สนับสนุนตั้งเขตปกครองพิเศษในจังหวัดภาคใต้ เรื่องนี้พูดกันในห้องเล็ก ๆ ผมไปคุยมาแล้วครับ ไปคุยมาแล้วเลย คุยเสร็จทางนี้ได้ฟังเหรียญข้างเดียว ไปดูเหรียญอีกข้างด้วย คุยมาแล้ว เรื่องนี้ยังไม่ปรากฏในนโยบายอะไรทั้งสิ้น อย่าห่วง ๆ เป็นเรื่องบังเอิญ แล้วท่านผู้พูดท่านก็บอกเลยว่าท่านโอเค ๆ

ดำเนินการเน้นเรื่องการศึกษา การเรียนการสอนของนักเรียนมุสลิม คือว่าทำอย่างไรให้นักเรียนอิสลามในไทยได้เรียนเหมือนกัน ถูกต้องครับ อันนี้เป็นความคิดอ่านของเราเลย เขาก็พูดจาทีบอกว่าเรียนไทยครึ่งเรียนของเขาครึ่ง เขาก็อยากเรียนศาสนามาก เรื่องการเรียนกำลังเจรจาความกันเลย ต้องเรียน เพราะมีปัญหาเรื่องว่า เขาไปตั้งกฎเกณฑ์ไว้ให้นักเรียน นักเรียนต้องหัวละ 10,000 กว่าบาท โรงเรียนพุทธ 5,000 กว่าบาท แล้วโรงเรียนพุทธปิดหมด ไปเข้าโรงเรียนเอกชน เรื่องนี้ได้มาจากข้างใน เรื่องนี้ไม่ปิดบัง เป็นเรื่องจะต้องแก้ไข ถูกไหมครับ เผาโรงเรียน โรงเรียนของเราทั้งนั้น โรงเรียนทางนี้ก็ไปเรียน เราต้องอุดหนุนเขา 10,000 กว่าบาทต่อหัว แต่ถ้าโรงเรียนของเราเองอุดหนุน 5,000 บาทกว่า เรื่องนี้กระทรวงศึกษาธิการต้องดูแลแน่นอน ต้องเป็นความเป็นธรรม และตกลงกันว่าเขาอยากจะได้เรียนคนละครึ่งกัน คือเรียนทางยาวีด้วย เรียนศาสนาด้วย แต่ต้องเรียนวิชาการด้วย เพราะว่าเราจะให้เขาได้มีการศึกษา

เงินกองทุนหมู่บ้าน รูปแบบการสนับสนุนให้รับเงินแบบเก่าหรือว่ามีกฎเกณฑ์อย่างไร ถามทันทีตอบไม่ได้ครับ อาทิตย์หน้าจะมาตอบให้ว่าเขาจะมีกฎเกณฑ์อย่างไร

นโยบายเด็กเรียนมัธยมต้นถึงมัธยมปลายจะเริ่มเมื่อไร ก็ต้องเริ่มทันทีครับ เขาต้องเริ่มต้นทันทีเพราะวันที่ 27 พฤษภาคม โรงเรียนเปิดเทอมใหม่ วันนี้เพิ่งเดือนกุมภาพันธ์ มีเวลา 3 เดือนเขาเตรียมกัน ให้เวลาเขานิดครับ นักศึกษากู้ยืมได้เมื่อไร ต้องพูดได้ทันทีว่าเมื่อถึงเวลาจะเริ่มเรียน ต้องกู้ยืมได้ ไม่นานหรอกครับ แล้วก็ก่อนจะถึง 99 วัน ทำได้ก่อนครับ คนทำก็รู้ว่าทำโอกาสอย่างไร คนประมาณเขาบอกว่าเขาขอภายใน 99 วัน เราต้องทำ ไม่มีปัญหาหรอกครับ ไม่มีถ่วง

ทราบว่ารถไฟไปเชียงราย เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าคิด เชียงรายสมัยก่อน อยู่เชียงใหม่จะไปเชียงรายต้องขับรถยาวลงมาที่ลำปาง 90 กว่ากิโลเมตรขับลำปาง จากลำปางขึ้นไปเชียงรายอีก ทั้งหมดแล้วจากเชียงใหม่ไปเชียงราย 375 กิโลเมตร ต้องผ่านพะเยาขึ้นไปทางโน้น เป็นตัว V ต่อไปก็ตัดถนนใหม่ 161 กิโลเมตรจากเชียงใหม่ไปเชียงราย ขวางข้างบนเลย ไปดอยสะเก็ด เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ความรู้สึกที่อยากจะรถไฟก็ลดน้อยลง แต่ความรู้สึกเรื่องนี้ขอคุยไว้ให้ฟังนิดหนึ่งครับ เชียงรายเป็นที่ที่เราคิดว่าถ้ารถไฟจะขึ้นไปข้างบน หรือรถไฟจะข้ามทางหนองคาย แล้วเข้าไปทางเวียงจันทน์ก่อน ถ้าติดภูเขาไปไม่มากขึ้นหนทางลำบาก ถ้าเผื่อขึ้นเชียงรายได้ก็จะเลือกขึ้นทางเชียงราย รถไฟที่ว่าเป็นรางมาตรฐาน เพราะเราขึ้นไปเชื่อมกับที่ข้างบน เรื่องรถไฟจะคุยให้ฟังต่างหากอีกวัน เรื่องนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน

ทีนี้ถามว่ารถไฟสายสีแดงต่อไปถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิตหรือเปล่า เรื่องสายสีไหนยังไม่ออกในรายละเอียด แต่ว่าวันพรุ่งนี้ข้าราชการจะรับรู้นโยบาย และวันถัดไปเรื่องของรถขนส่งมวลชนกรุงเทพบอกได้แต่เพียงว่าจะต้องเพิ่ม และออกไปเหยียบไปที่ชานเมือง 9 เส้นทางประมาณ 300 กิโลเมตร เวลานี้มี 43 กิโลเมตร ใต้ดินมีอยู่ 20 กิโลเมตร ข้างบนมี 23 กิโลเมตร จะมีอีกประมาณ 300 กิโลเมตร และจะลงมือทำ สายไหนตรงไหน ๆ เริ่มก่อน ก็เตรียมการไว้แล้ว จะไม่ทำให้ชักช้า ได้เริ่มลงมือได้ตอกเข็มแน่นอน ดำเนินการแน่นอน

บัณฑิตปัก์ใต้จำนวนเป็นหมื่น ๆ คน เรียนกันไปแล้วกู้เงินไปเรียน แล้วยังไม่มีงานทำแล้วถึงเวลาจะต้องคืนเงินแล้ว เรื่องนี้ต้องมีนโยบายแน่ ถ้ายังคืนไม่ได้ ก็ยังเอาไม่ได้หรอกครับ ไม่มีใครเค้นคอ ถ้าหากบังคับให้เขาทำก็ต้องแก้ข้อบังคับ ต้องมีเวลา แต่ทว่าผมได้คุยกับทางทหารแล้ว แล้วนี่ก็ไม่ใช่ความลับ อุตสาหกรรมเกิดขึ้นไม่ได้ ประมูลสร้างทาง 4 เลนเข้าไปในยะลา ตกลงเสร็จเรียบร้อยไม่กล้าไปก่อสร้าง ผมก็คิดตรงกันเลยกับท่านผู้บัญชาการทหารบก บอกว่าแล้วทำไมไม่เอาทหารช่าง 111 ไป ท่านบอกกำลังดำเนินการอยู่ งบประมาณยังอยู่เหมือนเดิม บริษัทนั้นจะต้องผ่องถ่ายมา ทหารไปทำครับ จ่ายเงินให้ทหาร เพราะ 111 นี้เคยมาช่วยงานในกรุงเทพฯ เยอะ คราวนี้เขาจะยกไปทำ ยะลาจะได้ถนน 4 เลน ทำโดยทหารช่าง วิธีการ ตั้งโรงงาน ๆ ไม่มีใครกล้าไปทำ ตั้งโรงงานไม่กล้าไปทำ ตกลงกันแล้วครับว่าอุตสาหกรรมทหารยังจะเกิดขึ้น ผมพูดถึง อสร. เลย บอก อสร. ขายให้เอกชนไป ทหารตรงนี้ทำ อสร. ดังนะ โรงงานแบบ อสร. ทหารจะไปทำใหม่ อุตสาหกรรมทหารจะไปทำที่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ต้องลงมือเลยครับ ทหารทำ เอกชนลงทุน 49 เปอร์เซ็นต์ ทหารโดยรัฐบาลลงทุน 51 เปอร์เซ็นต์ ลงมือเลยครับ สร้างไปเฝ้าไป เรื่องอย่างนี้คือเรื่องที่เล่าให้ฟังได้

แล้วก็ขอเรียนว่า ตอบคำถามยังไม่มันเท่าไร แค่นี้เอง แต่ว่า อะไรประสบมาผมคุยวันที่ 22 กุมภาพันธ์ วันนี้วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ได้มาผสมผสานเล่าให้ฟังแล้ว มีความหวังครับ มีวิธีการและเป็นที่เข้าใจกันว่าจะแก้ไขปัญหาอะไร ตรงไหน อย่างไร รายการอย่างนี้ละครับเป็นรายการที่ต้องขอบคุณช่อง 11 ที่เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีมาพูดจาประสาสมัคร แล้วก็ได้สื่อความกัน ได้ตอบคำถาม ว่าง ๆ ถ้าเผื่อวันไหนเนื้อหาไม่ดีจะตอบคำถามครึ่งหนึ่งเลย ครึ่งชั่วโมงตอบคำถามเลย วันนี้เวลาหมดส่งสัญญาณแล้ว อาทิตย์หน้าพบกันใหม่ ผมจะบอกให้ฟังไว้ล่วงหน้าว่าจะคุยเรื่องอะไรอย่างไร เนื้อหาจะเป็นอย่างนี้ จริง ๆ ใกล้ ๆ ถ้าเนื้อหาน้อย ก็จะได้คุยเรื่องที่ท่านส่งเข้ามาแล้วผมตอบคำถามไป แต่ว่าจะตอบเท่าที่รู้และตอบได้ทันที เหมือนอย่างที่พูดว่า สร้างทางจะใช้ 111 ทหารราบราชบุรี ทหารช่างราชบุรี เรื่องอุตสาหกรรมใครไม่กล้าลงทุน อุตสาหกรรมทหารจะไปลงทุน ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรลองมาดูสิครับ อสร.เขาทำได้เจริญก้าวหน้า เที่ยวนี้จะทำแบบ อสร. อุตสาหกรรมอาหารกระป๋องอะไรต่าง ๆ อาหารฮาลาล ทหารลงมือครับ ทหารถือ 51 เปอร์เซ็นต์ เอกชนลงทุน 49 เปอร์เซ็นต์ จะลงมือทันที วันนี้ต้องลาก่อนครับ วันอาทิตย์หน้าพบกันใหม่

สวัสดีครับ

ที่มา: กรมประชาสัมพันธ์


0 ความคิดเห็น: