Spiga

JibJab ออกวีดีโอใหม่ล้อเลียนเลือกตั้งปธน.อเมริกา2008แบบเจ็บๆคันๆ(ทำได้น่ารัก+อย่างฮา+เนื้อหาสร้างสรร :)

ที่มา: Chronicle of idea

รับชม JibJab takes a Jab at election ได้ที่วีโอคลิปข้างล่างนี้




JibJab ออกวีดีโอชุดใหม่ซึ่งถูกตั้งชื่อให้ว่า "It's time for some campaignin!" โดยมีเนื้อหาล้อเลียนนโยบายการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2008 ของผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยเฉพาะผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากทั้ง 2 พรรคอย่างจอห์น แมคเคน ตัวแทนจากพรรครีพลับลิกันและบารัค โอบามา ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต วีดีโอชุดใหม่นี้ถือว่าทำได้น่ารักดีค่ะแม้จะออกแนวเสียดสี ล้อเลียนนิดๆ


แต่แม้จะมีการล้อเลียนรัฐบาลบุชซึ่งกำลังจะครบวาระการบริหารประเทศในปีนี้และผู้สมัครจากทั้งสองพรรค ขณะเดียวกันวีดีโอชุดนี้ก็กำลังบอกกับคนอเมริกันและผู้ชมวีดีโอนี้ทั่วโลกว่า ไม่ว่าในสนามแข่งขัน Presidential Election 2008 จะเข้มข้นดุเดือดเพียงใด แต่นี่แหละคือ ประชาธิปไตยอันแข็งแกร่งของอเมริกา พวกเราเลือกประธานาธิบดีทุกๆ 4 ปี ประชาชนใช้สิทธิ 1 เสียงของตนออกไปเลือกผู้นำที่พวกเราคิดว่าจะทำประโยชน์ให้กับตนเองและประเทศมากที่สุด


การเมืองของตะวันตกนั้น โดยเฉพาะในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีบุช ,จอห์น แมคเคน, ฮิลลารี คลินตันและบารัค โอบามา พวกเขาคือ "นักการเมือง" ค่ะ ไม่ใช่ "มนุษย์ที่เต็มไปด้วยจริยธรรม คุณธรรม" ที่แตะต้องวิพากษ์ วิจารณ์ไม่ได้

ทิ้งท้ายวันนี้ ....วีดีโอชุดนี้เป็นที่ชื่นชอบของพวกลิเบอร์รัลมาก พวกเขาดีใจกันยกใหญ่บอกว่า "ปีนี้นายบุชไปแล้ว".... ผู้เขียนฟัง Liberal whining แล้วรำคาญหูจริงๆค่ะ .... ฮ่า ฮ่า พวกลิเบอร์รัลและพวกซ้ายนี่ทำใจยอมรับไม่ได้ว่าบุชนั้นคือผู้ชนะที่แท้จริงในสนามเลือกตั้งทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ความคิดเช่นนี้เป็นที่น่าขบขันยิ่งนัก

ประธานาธิบดีบุชพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปีนี้ไม่ใช่เพราะคนอเมริกันไม่เลือกท่าน (ตรงกันข้ามชัยชนะในปี 2000 & 2004 ของบุชตบหน้านักวิเคราะห์การเมืองฝ่ายลิเบอร์รัลฉาดใหญ่ทีเดียว

ประธานาธิบดีบุชพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐไม่ใช่เพราะท่านถูกอิมพีชเม้นท์

แต่จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชพ้นจากตำแหน่งเพราะท่านเป็นประธานาธิบดีที่คนอเมริกันเลือกเข้ามาบริหารประเทศครบเทอม 8 ปีเต็มพอดี ท่านบริหารประเทศครบเทอมแล้วแถมไม่ถูกอิมพีชเม้นท์แบบนาย บิล คลินตัน ด้วย

ที่บอกว่าบุชโกหกเรื่องสงครามอิรัคนั้นมันก็ "นิทานหลอกเด็กของพวกเดโมแครตและลิเบอร์รัล" นั่นเอง หากประธานาธิบดีบุชโกหกเรื่องสงครามอิรัคอย่างที่นักวิชาการ นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม นักสื่อสารมวลชนฝ่ายลิเบอร์รัลกล่าวหา ท่านบุชคงถูกอิมพีชเม้นท์ไปแล้ว แต่นี่ฝ่ายตรงข้ามทำอะไรประธานาธิบดีบุชไม่ได้แม้แต่กระทงเดียวได้แต่ทำ "สงครามกล่าวหา" ก็เพราะท่านบุชไม่ได้โกหกนั่นเองแต่จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้พูดความจริงเกี่ยวกับสงครามอิรัคต่างหาก

คนเป็นประธานาธิบดีมาโกหกนี่เรื่องใหญ่โตเชียวนา ระบบถ่วงดุลย์อำนาจอันเข้มแข็งของอเมริกาไม่เอาไว้หรอก มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วในอดีตที่ประธานาธิบดีถูกถอดถอน


ประธานาธิบดีบุชเป็นประธานาธิบดีที่ผู้เขียนนิยมชมชอบมากที่สุดคนหนึ่ง เสียดายที่ท่านไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีก ไม่อย่างนั้นเห็นทีต้องอุ้มท่านบุชเข้าทำเนียบขาวอีกครา :D


It's Not Going to be Obama-Clinton

How Team Obama is dealing with the Hillary problem.
by William Kristol
06/05/2008 11:40:00 AM


The Obama camp has moved quickly--and deftly--to shut down the Hillary Clinton bid for the vice presidential pick.

The well-sourced Jackie Calmes reports in the Wall Street Journal that "close advisers to Sen. Obama are signaling that an Obama-Clinton ticket is highly unlikely." The way they're signaling it is by suggesting that, even for Hillary to be considered, Bill Clinton would have to "release records of his business dealings and big donors to his presidential library." No one thinks Bill Clinton is inclined to do this.

And even if he did, there would still be no guarantee for Hillary: "Even if Mr. Clinton did open his records as part of the traditional vice-presidential vetting process, the unprecedented complications he would pose for an Obama White House as the vice president's spouse go deeper and broader than his personal records, Democrats on both sides say." Indeed, Calmes continues, "Referring to a potential vice-presidential slot for Sen. Clinton, a senior Obama adviser says: 'The more this gets vetted the less likely it becomes.'"

So the unvettability of Bill Clinton is the way Obama avoids having to offend Hillary and her almost 18 million voters. Obama won't have to publicly rule out Hillary, or make a potentially insulting case that others are better qualified for the job. He'll merely emphasize publicly, as he did on NBC last night, that there will be a lengthy process and wide-ranging search--thereby conditioning people to understand that there is no presumptive front-runner for the vice-presidential pick: "We're gonna go through a process in the vice-presidential search where I look at a whole range of options." And putting Caroline Kennedy on the three-person search committee is clever--a woman who is anti-Hillary but whose presence really can't be criticized by Hillary supporters. It's also, of course, a certification of the Kennedys as Democratic royalty over the Clintons.

At some point--I'd guess pretty soon--Hillary will see the writing on the wall and will take herself out of the running, so she can save face, and to ensure she can't be accused of creating trouble if Obama loses in November. So Obama will be able to make his choice without being accused of having spurned Hillary.

The apparent decisiveness and deftness with which Obama and his team seem to be resolving with the Hillary Clinton problem is an impressive opening move in his general election campaign.

William Kristol is editor of THE WEEKLY STANDARD.


แมคเคนรับโอบามาสู่สนามเลือกปธน.โดยโจมตีเผ็ดร้อน

(4มิย.) วุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ได้ไปปราศรัยที่เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยส์เซียนาเมื่อคืนวันอังคาร ซึ่งเหมือนเป็นการเริ่มหาเสียงอย่างเป็นทางการ ในช่วงที่มีความชัดเจนแล้วว่าวุฒิสมาชิกบารัค โอบามาจะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงชัยเก้าอี้ประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน

แมคเคนตอบโต้ข้อกล่าวหาของโอบามา ที่ระบุว่า เขากำลังลงสมัครเป็นประธานาธิบดีจอร์จดับเบิลยู บุชสมัยที่สาม เพราะมีนโยบายแบบเดียวกับบุชที่สนับสนุนสงครามอิรักและขยายเวลามาตรการลดภาษี โดยบอกว่า ชาวอเมริกันไม่ได้เพิ่งรู้จักเขาเหมือนที่เพิ่งรู้จักโอบามา

และโอบามามักพูดโจมตีเขาในประเด็นนี้บ่อยมาก แทนที่จะหาเสียงอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องความแตกต่างของแนวทางการบริหารประเทศของแต่ละฝ่าย


นอกจากนี้ฉากด้านหลังเวทีปราศรัยของแมคเคน มีข้อความสโลแกนใหม่ของแมคเคนที่มุ่งเน้นภาวะผู้นำของเขาว่า "A Leader We Can Believe In" ซึ่งตอบโต้โดยตรงกับสโลแกนของโอบามาที่เน้นสร้างความเปลี่ยนแปลงว่า "Change We Can Believe In"

และเขาพูดถึงประเด็นนี้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครชนะการเลือกตั้ง ทิศทางการบริหารประเทศจะเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่จะเป็นการเลือกระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่ถูกและการเปลี่ยนแปลงที่ผิด

จับตานโยบายตปท. 'โอบามา-แม็คเคน' เปิดศึกชิงผู้นำทำเนียบขาว

ภายหลังวันเดียวแห่งชัยชนะคว้าชัยเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต นายบารัก โอบามา วุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ ก็ได้เริ่มเดินหน้าภารกิจใหม่ที่สำคัญอย่างไม่รอช้า โดยการเสนอวิสัยทัศน์ด้านต่างประเทศ ซี่งที่ผ่านมายังคงสร้างความคลุมเคลือให้แก่ชาวอเมริกัน ต่อสถานการณ์โลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะการตั้งความหวังของผู้นำสหรัฐ หลังจากที่เคยผิดหวังอย่างแรงกับนโยบายของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช มาแล้ว ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลก และประเด็นดังกล่าวได้กลายเป็นหัวข้อในการหาเสียงของเขาและนางฮิลลารี คลินตัน รวมทั้งนายจอห์น แม็คเคน ขึ้นมาอย่างประปราย และเผ็ดร้อนในบางระยะ

แน่นอนที่สุด นโยบายต่างประเทศของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐย่อมเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วโลก นอกเหนือจากชาวอเมริกัน ว่าตัวแทนของพรรคการเมืองยักษ์สองฝ่าย ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน จะมีท่าทีและจุดยืนอย่างไรสำหรับ'ใครต่อใคร'ในประชาคมโลกกันบ้าง

ล่าสุด เมื่อวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น นายบารัก โอบาม่า วุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ ตัวแทนพรรคเดโมแครต แข่งขันประธานาธิบดีสหรัฐ ได้กล่าวปราศรัยต่อคณะกรรมาธิการกิจการสาธารณะชาวอเมริกัน-อิสราเอล โดยเขาได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านต่างประเทศเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยเขาได้โจมตีอิหร่านเผ็ดร้อน ระบุว่า สงครามอิรักได้ทำให้อิหร่านแข็งแกร่งขึ้น แต่ทำให้สหรัฐและอิสราเอลอ่อนแอลง โดยอิหร่านได้กลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่ออิสราเอลมากกว่าอิรัก และกลายเป็นอุปสรรคทางยุทธศาสตร์ที่ใหญ่หลวงต่อสหรัฐและอิสราเอลในภูมิภาคตะวันออกกลางในอนาคต โดยอิหร่านได้สนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรง และมุ่งที่จะสร้างศักยภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์ และกระตุ้นให้การแข่งขันด้านอาวุธที่อันตราย ซึ่งสหรัฐรู้ดีมาตั้งแต่ปี 2002 แต่รัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช กลับเพิกเฉยและหันไปรุกรานและยึดครองอิรัก

ตัวแทนพรรคเดโมแครตฯกล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน อิรักอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ กลุ่มอัลเคด้า ได้เพิ่มการระดมสมาชิกกลุ่ม ขณะที่ความพยายามเจรจาสันติภาพของอิสราเอลต้องระงับ ทำให้อเมริกาถูกโดดเดี่ยวในภูมิภาคนี้ ซึ่งหากเขาเป็นประธานาธิบดี จะไม่มีวันประนีประนอมกับเรื่องที่เป็นภัยความมั่นคงของอิสราเอล และเขาพร้อมที่จะใช้นโยบายทางการทูตกับอิหร่านอย่างเหมาะสมเพื่อสกัดการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยเขาจะไม่เจรจากับผู้นำอิหร่าน และว่า เขาจะโดดเดี่ยวกลุ่มฮามาสจนกว่ากลุ่มจะประนามการก่อการร้าย ยอมรับสิทธิที่จะมีอยู่ของอิสราเอล โดยกรุงเยรูซาเล็มจะไม่สามารถแบ่งแยกได้ และจะต้องยังคงเป็นเมืองหลวงอิสราเอล

นอกจากนี้ นายโอบาม่า ยังได้สนับสนุนความพยายามของอิสราเอลในการฟื้นฟูการเจรจากับซีเรีย เกี่ยวกับประเด็นการถอนกำลังทหารออกจากที่ราบสูงโกลาน พร้อมทั้งสนับสนุนปฎิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อซีเรียซึ่งอิสราเอลอ้างว่าซีเรียได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ โดยโอบาม่าบอกว่า ซีเรียได้ดำเนินขั้นตอนที่เป็นอันตรายในการบรรลุครอบครองอาวุธมหาประลัย

ทัศนะของนายโอบามาเห็นได้ชัดว่าแข็งกร้าวขึ้นหลังจากถูกนายจอห์น แม็คเคน วุฒิสมาชิกรัฐอริโซน่า ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โจมตีเขาที่แสดงทัศนะว่าพร้อมจะเจรจากับผู้นำอิหร่าน และรัฐบาลที่เป็นศัตรูของสหรัฐ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า มุ่งประเด็นสถานการณ์ตะวันออกกลางเป็นพิเศษ โดยล่าสุด นายโอบามาซึ่งที่ผ่านมาถูกโจมตีว่าอาจมีนโยบายสนับสนุนการต่อต้านชาวยิว เพราะเคยสนับสนุนกลุ่มฟารักข่าน ก็ได้ประกาศถอนตัวจากเป็นสมาชิกคริสตจักร์ของกลุ่มนี้แล้ว ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้ วิสัยทัศน์ของโอบามา หรือกระทั่งนายแม็คเคน ต่อประเด็นต่าง ๆ ในกิจการโลก ทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ และอื่น ๆ จะถูกแสดงออกมามากขึ้นอย่างแน่นอน ในช่วงหลังจากนี้ หรืออาจดุเดือดเลือดพล่านพลันที่ทั้งสองฝ่ายต้องเปิดฉากรณรงค์หาเสียง ที่จะกินเวลา 5 เดือน

ขณะเดียวกัน รายงานระบุว่า นางฮิลลารี คลินตัน วุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์ก มีแผนจะประกาศยอมแพ้การชิงชัยเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตฯในวันเสาร์นี้ พร้อมทั้งประกาศสนับสนุนนายโอบาม่า ท่ามกลางเสียงสนับสนุนและคัดค้านของหลายฝ่าย ซึ่งบางคนบอกว่านี่คือดรีมทีมที่ลงตัว ขณะที่บางฝ่ายว่านางฮิลลารีจะกลายเป็นอุปสรรคของนายโอบามามากกว่า

ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่า ข้างฝ่ายตัวแทนพรรครีพับลิกัน จะมองว่า ตัวเองอาจได้เปรียบด้านวิสัยทัศน์เหนือกว่านายโอบามา ณ วินาทีนี้ โดยนายจอห์น แม็คเคน ได้ร่อนสาสน์ท้าให้นายบารัก โอบาม่า โต้วาทีแข่งขันกับเขาในศาลาว่าการของเมืองต่าง ๆ 10 เมือง ในฐานะสองผู้ชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยจดหมายของนายแม็คเคนเสนอให้นายโอบามาจัดการดีเบทกับเขาเป็นเวลา 60-90 นาที ตอบคำถามสด ๆ ที่ผู้เข้าร่วมราว 200-400 คน แต่ขณะนี้ยังไม่มีปฎิกิริยาตอบโต้ใด ๆ จากนายโอบามา (ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า เขาจะไม่ผลีผลาม แต่จะต้องฟังคำปรึกษาของทีมหาเสียงของเขาอย่างรอบคอบเสียก่อน)

ปฎิกิริยา'ท้าขึ้นเวทีชก'ดังกล่าวของนายแม็คเคน ว่าไปแล้วดูจะไม่ใช่เรื่องยากจะคาดเดา เพราะก่อนหน้านี้ โพลสำรวจความคิดเห็นระบุว่า เขามีคะแนนนิยมตามหลังนายโอบาม่า ทำให้ปฎิบัติการเปิด'ศึกแก้ลำ'ทวงความได้เปรียบจึงต้องเกิดขึ้น ในห้วงเวลาที่กำลังเข้าทาง ขณะที่ท่าทีของนายแม็คเคนนั้น ถูกหลายฝ่ายติงว่ามีนโยบายคล้ายประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เนื่องจากเขาสนับสนุนการคงทหารในอัฟกานิสถาน (นายแม็คเคนเคยเป็นอดีตทหารที่ผ่านสงครามเวียดนาม)แต่ที่ผ่านมา เขาพยายามจะฉีกตัวเองจากภาพลักษณ์คล้ายปธน.บุช โดยเฉพาะในแง่ความนิยมที่ตกต่ำจากการตัดสินใจหลายเรื่องที่ผิดพลาด สร้างความผิดหวังให้แก่ชาวอเมริกันชน

ซึ่งนับแต่นี้ต่อไป ศึกวาทะแสดงวิสัยทัศน์การเมืองต่างประเทศ ระหว่างโอบาม่าและนายแม็คเคน คาดว่าจะดุเด็ดเผ็ดร้อนตามกาลเวลา หลังห้วงแห่งการชิงชัยศึกผู้นำทำเนียบชาวใกล้งวดเข้ามาทุกทีแล้ว!

มติชน


สรุปผลเลือกตั้งขั้นต้นของสหรัฐอเมริกา

ผลการเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ซึ่งชี้ขาดกันที่คะแนนผู้แทนระดับรัฐในการเลือกตั้งวันประชุมใหญ่พรรคหรือ เดลิเกต นับจนถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ปรากฏดังนี้

เดโมแครต

ผู้สมัครต้องได้คะแนนเดลิเกตไม่น้อยกว่า 2,118 คน จึงจะได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรค คะแนนเดลิเกตทั้งหมดเท่ากับ 4,234 คน

- บารัค โอบามา ได้คะแนน เดลิเกต 2,156 คน

- ฮิลลารี คลินตัน ได้คะแนน เดลิเกต 1,933 คน

- วันประชุมใหญ่พรรคเดโมแครต กำหนดไว้ระหว่างวันที่ 25-28 สิงหาคม ที่นครเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เพื่อเลือกตั้งตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการ

รีพับลิกัน

ผู้สมัครต้องได้คะแนนเดลิเกตไม่น้อยกว่า 1,191 คน จากจำนวนคะแนนเดลิเกตทั้งหมดเท่ากับ 2,380 คน

- จอห์น แมคเคน ได้คะแนนเดลิเกต 1,266 คน

- รอน พอล ได้คะแนนเดลิเกต 35 คน

-วันประชุมใหญ่พรรคกำหนดไว้ระหว่างวันที่ 1-4 กันยายน ที่มินนีอาโปลิส รัฐมินนิโซตา

หมายเหตุ - ในกรณีปกติ ผู้ที่ได้คะแนนเสียงเดลิเกตเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนเดลิเกตทั้งหมดคือ ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นตัวแทนพรรคในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อย่างเช่นกรณีของพรรครีพับลิกัน นายจอห์น แมคเคน จึงได้รับเลือกตั้ง "อย่างไม่เป็นทางการ" มาตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา แม้นายรอน พอล จะไม่ยอมถอนตัวออกจากการแข่งขันจนถึงขณะนี้ก็ตาม

ในกรณีของพรรคเดโมแครตที่มีคะแนนสูสีกันมาก ก็สามารถยึดถือในทำนองเดียวกันได้ว่า นายบารัค โอบามา ได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคแล้วอย่างไม่เป็นทางการ รอเพียงการยืนยันอย่างเป็นทางการในที่ประชุมใหญ่พรรคเท่านั้น เหตุผลเดียวที่ทำให้นางฮิลลารี คลินตัน ยังคงไม่ประกาศยอมแพ้ก็คือ โดยหลักการแล้ว ในคณะเดลิเกตทั้งหมดมีสัดส่วนของ "ซุปเปอร์เดลิเกต" หรือบุคคลสำคัญที่พรรคให้สิทธิที่จะไม่ตัดสินใจ หรือเปลี่ยนการตัดสินใจได้ รวม 765 คน (ในจำนวนนี้มีที่ประกาศจะเลือกโอบามาแล้ว 394 คน, เลือกคลินตัน 286 คน และไม่ตัดสินใจอีก 113 คน) อาจเปลี่ยนใจหันมาเลือกตนเองในที่ประชุมใหญ่ของพรรคได้จนทำให้นางคลินตันได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคในที่สุด

โดยหลักการแล้ว การเปลี่ยนใจดังกล่าวเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ต้องมีเหตุผลที่ดีและสมเหตุสมผลมากที่สุดจึงจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งยังไม่มีในเวลานี้

มติชน


'โอบามา'ประกาศชัยชนะ เป็นตัวแทนพรรคชิงปธน. คลินตันปฏิเสธยกธงขาว

5 มิถุนายน 2551 กองบรรณาธิการ

"บารัก โอบามา" กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นอเมริกันผิวสีคนแรกที่ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เจ้าตัวประกาศชัยชนะเหนือ "ฮิลลารี คลินตัน"

ภายหลังซูเปอร์เดลิเกตชุดใหญ่แห่สนับสนุนจนได้เสียงเกินครึ่งเป็นที่เรียบร้อย ขณะอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ยังไม่ยอมแพ้ แต่ให้ท่าพร้อมเป็นรองประธานาธิบดี ส่วนผลเลือกตั้งขั้นต้นใน 2 มลรัฐสุดท้าย ต่างฝ่ายต่างคว้าชัยไปคนละรัฐ

นายบารัก โอบามา ส.ว.สมัยแรกจากรัฐอิลลินอยส์ กำลังจะเปลี่ยนสถานะจากนักการเมืองผู้แทบไม่เป็นรู้จักในเวทีระดับชาติ มาเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐกับ ส.ว.จอห์น แม็กแคน แห่งพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ย.ปีนี้ เมื่อเขาสามารถดึงเสียงสนับสนุนจากผู้แทนที่มีสิทธิเลือกตัวแทนพรรคในที่ประชุมใหญ่เดือน ส.ค.เกินครึ่งหนึ่งหรือ 2,118 เสียงแล้วเมื่อวันอังคาร

"ค่ำคืนนี้ เราได้กำหนดจุดสิ้นสุดการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ ด้วยการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่" เขาประกาศต่อกลุ่มผู้สนับสนุนกว่า 30,000 คนที่เฉลิมฉลองชัยชนะกันทั้งภายในและภายนอกศูนย์ประชุมที่เมืองเซนต์พอล รัฐมินนิโซตา ซึ่งจะเป็นสถานที่จัดประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันในเดือน ก.ย. "ค่ำคืนนี้ ผมสามารถยืนอยู่เบื้องหน้าพวกคุณแล้วพูดว่า ผมจะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ"

คำประกาศชัยชนะของเขาเกิดภายหลังซูเปอร์เดลิเกตมากกว่า 70 คนยกขบวนกันสนับสนุนทำให้เขามีคะแนนเดลิเกตถึง 2,156 คะแนนแล้วตามการรวบรวมของเอ็มเอสเอ็นบีซี

ข่าวดีของ ส.ว.ผิวสีวัย 46 ปีผู้นี้เกิดขึ้นก่อนทราบผลการเลือกตั้งขั้นต้น 2 รัฐสุดท้ายของพรรคที่มอนแทนาและเซาท์ดาโคตา ซึ่งโอบามาคว้าชัยในรัฐแรก ส่วนนางฮิลลารี คลินตัน ส.ว.นิวยอร์ก ชนะที่รัฐหลัง

นางคลินตันผู้เคยเป็นตัวเต็งในตอนแรก ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ โดยบอกว่า นางจะรอปรึกษากับแกนนำพรรคและผู้สนับสนุนของนางภายในไม่กี่วันข้างหน้า ก่อนตัดสินใจว่าจะดำเนินการขั้นต่อไปอย่างไร "การหาเสียงครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน ดิฉันจะยังไม่ตัดสินใจใดๆ ในคืนนี้" นางคลินตันกล่าว

นางคลินตันกล่าวต่อบรรดาสมาชิกสภาคองเกรสของนิวยอร์กด้วยว่า นางยังเปิดกว้างพร้อมรับฐานะผู้สมัครรองประธานาธิบดีของโอบามา ขณะที่บรรดาผู้สนับสนุนของนางก็หันไปกดดันให้โอบามาเลือกคลินตันเป็นคู่สมัครของเขาด้วยอีกแรง

ชัยชนะของโอบามา ซึ่งเป็นลูกครึ่ง พ่อผิวสีชาวเคนยา แม่อเมริกันผิวขาวจากแคนซัส เป็นหลักหมุดที่สำคัญของประวัติศาสตร์สหรัฐ ที่เกิดไล่หลังขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองที่เท่าเทียมกันถึง 45 ปี และเป็นผลลัพธ์ของการต่อสู้ระหว่างผู้สมัคร 2 รายที่ยาวนานและสูสีที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ โดยนางคลินตัน ผู้ปรารถนาจะเป็นสตรีคนแรกที่ขึ้นชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เสียงจากเดลิเกตมากกว่า 1,900 คะแนน

คาดกันว่าแกนนำและผู้แทนของพรรคเดโมแครตที่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตัวแทนพรรคโดยไม่ผูกมัดกับผลการเลือกตั้งขั้นต้นหรือการหยั่งเสียงของแต่ละรัฐตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา จะประกาศตนสนับสนุนโอบามาเพิ่มอีกในวันพุธ

การต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างโอบามาซึ่งเพิ่งเป็นที่รู้จักระดับชาติจากการฉายแววขณะกล่าวสุนทรพจน์สำคัญในที่ประชุมพรรคเมื่อปี 2547 กับนางคลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 และ ส.ว.มากประสบการณ์วัย 60 ปี ทำให้เดโมแครตแตกเป็น 2 ฝ่าย โดยกลุ่มผิวดำ คนหนุ่มสาว คนมีการศึกษาสูงและรายได้สูงเลือกถือหางโอบามา ขณะที่กลุ่มฮิสปานิก, ผู้สูงวัย และชนชั้นแรงงานผิวขาวสนับสนุนนางคลินตัน.

ไทยโพสต์

"คาร์เตอร์"เตือนโอบาม่าไม่ให้เลือกฮิลลารี่เป็นคู่ชิงรองปธน.


อดีตผู้นำสหรัฐฯเตือนบารัก โอบาม่า ไม่ให้เลือกฮิลลารี่ คลินตันเป็นคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐ


(5มิย.) เว๊ปไซต์ของหนังสือพิมพ์"เดอะ การ์เดี้ยน"ของอังกฤษ เปิดเผยคำให้สัมภาษณ์บางส่วนของอดีตประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ของพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดจะตีพิมพ์เผยแพร่ฉบับเต็มในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ เตือนวุฒิสมาชิกบารัก โอบาม่า ไม่ให้ทำสิ่งผิดพลาดเลวร้ายที่สุดในชีวิต ด้วยการเลือกอดีตคู่แข่ง คือวุฒิสมาชิกหญิงฮิลลารี่ คลินตัน เป็นคู่สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 พฤศจิกายน และว่าเขาจะแนะนำแบบเดียวกัน หากนางฮิลลารี่เป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคฯ

การสัมภาษณ์มีขึ้นก่อนที่นายโอบาม่า จะประกาศชัยชนะในการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่อดีตผู้นำสหรัฐฯท่านนี้ ผู้เป็นหนึ่งในซุปเปอร์ เดลิเกต ประกาศสนับสนุนนายโอบาม่าอย่างเป็นทางการ นายคาร์เตอร์ได้สนับสนุนให้นายโอบาม่าเลือกคู่สมัครคนอื่น ที่จะช่วยชดเชยข้อด้อยต่างๆของเขา ซึ่งรวมทั้งการที่เขาอายุยังน้อย กับด้อยประสบการณ์ทางทหารและกิจการระหว่างประเทศ พร้อมแนะนำนายแซม นัน อดีตประธานคณะกรรมาธิการทหารของวุฒิสภาสหรัฐฯ หรือ สมาชิกอาวุโสคนอื่นๆของเดโมแครตที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับนายนัน

คาร์เตอร์ผู้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วงปี 2520-2524 ให้เหตุผลว่า การจับมือกันของโอบาม่ากับฮิลลารี่ จะยิ่งเพิ่มมุมมองในแง่ลบในสายตาผู้มีสิทธ์ออกเสียง พร้อมยกตัวอย่างว่า มีผลสำรวจที่ระบุว่า มีคนร้อยละ 50 ที่บอกว่าไม่คิดจะลงคะแนนให้นางฮิลลารี่ หากนำ

จำนวนนี้ไปบวกรวมกับจำนวนผู้ที่คิดว่านายโอบาม่าผิวขาวไม่พอ หรือมีประสบการณ์ไม่มากพอหรือผู้ที่ไม่ชอบใจที่เขามีนามสกุลคล้ายภาษาอาหรับ สถานการณ์จะแย่มาก

คม ชัด ลึก

ดรีมทีมโอบามา-ฮิลลารีเดโมแครตยอมรับยังเป็นเรื่องยาก


วอชิงตัน-ชี้ดรีมทีมโอบามา-ฮิลลารีร่วมกันเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเข้าชิงทำเนียบขาวในปลายปีนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

ภายหลังจากวุฒิสมาชิกบารัก โอบามา วัย 46 ปี สามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้เป็นคนผิวสีคนแรก ที่เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันอังคาร (3 มิ.ย.) เมื่อประกาศตัวเป็นผู้แทนของพรรคเดโมแครต ลงชิงชัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีหลังต่อสู้ขับเคี่ยวกับวุฒิสมาชิก ฮิลลารี คลินตันอย่างดุเดือดมาตลอด 5 เดือน ก่อนที่การเลือกตั้งไพรมารีใน 2 รัฐสุดท้ายจะเสร็จสิ้นลงแล้ว โดยนางฮิลลารีชนะในรัฐเซาท์ดาโกตา ขณะที่นายโอบามาชนะในรัฐมอนแทนา ทำให้มีคะแนนคณะผู้แทน หรือเดลิเกต พุ่งขึ้นเป็น 2,132 เกินกว่า 2,118 ที่กำหนดไว้ ทำให้เกิดกระแสตามมาว่า มีโอกาสมากน้อยเพียงใดที่นายโอบามาจะเลือกนางฮิลลารี เป็นผู้สมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี

ทั้งนี้ นายโอบามาได้กล่าวชื่นชมอดีตสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐว่า เธอได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยมีสตรีคนใดสามารถทำได้มาก่อน ขณะที่นางฮิลลารีได้ชมนายโอบามาว่าเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอเมริกันหลายคนหันมาสนใจการเมือง และกระตุ้นให้หลายคนเข้ามามีส่วนร่วม ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า นางฮิลลารีได้บอกกับสมาชิกรัฐสภารัฐนิวยอร์กว่า เธอพร้อมจะเป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี

ผู้เชี่ยวชาญด้านการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตหลายคนให้ความเห็นว่าหากนายโอบามา และนางฮิลลารีลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีในนามของพรรคเดโมแครต จะทำให้ฐานคะแนนเสียงของพรรคเข้มแข็งขึ้น เพราะทั้ง 2 คนจะช่วยจุดอ่อนและเสริมจุดแข็งของอีกฝ่ายได้ โดยในส่วนของนางฮิลลารีนั้น เป็นที่ชื่นชอบของชนชั้นผู้ใช้แรงงานผิวขาว กลุ่มสตรี และกลุ่มชนที่มีเชื้อสายและพูดภาษาสเปน ซึ่งเคยประกาศว่า จะไม่ลงคะแนนให้นายโอบามา หากได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ดังนั้น หากเธอร่วมมือกับโอบามา จะทำให้ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตมีความเป็นเอกภาพมากเพียงพอที่จะชนะนายจอห์น แมคเคน จากพรรครีพับลิกันได้

อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์ว่า หากนายโอบามาเลือกนางฮิลลารีเป็นรองประธานาธิบดี ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะชาวอเมริกันกว่าร้อยละ 40 มีทัศนคติในด้านลบต่อเธอ ขณะที่ผู้ออกเสียงอิสระอีกจำนวนมากเกรงว่า หากได้เธอเป็นรองประธานาธิบดี ก็จะเป็นการนำครอบครัวคลินตัน กลับสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง

ขณะที่นายจิม ดัฟฟีย์ นักกลยุทธ์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคเดโมแครต ได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องการประสานความร่วมมือกันของนายโอบามากับนางฮิลลารี หากต้องมาทำงานร่วมกันในทำเนียบขาว เพราะโดยเบื้องลึกแล้ว ทั้ง 2 คนต่างไม่กินเส้นกัน นอกจากนี้ ระหว่างการหาเสียงที่ผ่านมา เธอได้เสนอนโยบายที่ขัดแย้งกับของนายโอบามา ซึ่งหากต้องมาทำงานร่วมกันอาจจะส่งผลกระทบต่อการบริหารได้

คมชัดลึก


พิสูจน์น้ำคำผู้นำพม่า

อ่านบทความชิ้นนี้ในไทยรัฐแล้วค่อยยังมีความหวังและภาพพจน์ที่ดีขึ้นกับคอลัมน์การเมืองต่างประเทศในสื่อไทยบ้างที่ยังเขียนแบบมีสติพอแยกแยะได้ว่าการช่วยเหลือเหยื่อนาร์กีสมันเป็นเรื่องของมนุษยธรรม

ไม่ใช่พอชาวต่างชาติเขานำความช่วยเหลือมาช่วยชาวพม่าตาดำๆที่ประสพภัยพิบัติก็กลับเกิดอาการ "จองหองพองขน" ตามรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าไปแบบนายนิติภูมิ นวรัตน์คอลัมนิสต์ เปิดฟ้าส่องโลกทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่นั่งเทียนเขียนบทความเรื่อง “พม่าไม่ยอมให้อเมริกาช่วย” ฉบับประจำวันที่ 9 พ.ค. 51 ที่กล่าวหาอเมริกาว่า

"รัฐบาลมหาอำนาจบางประเทศ ไม่ต้องการให้พม่ามีความเจริญก้าวหน้า เพราะต้องการใช้ สภาพเศรษฐกิจอันยอบแยบของพม่านี่แหละ ค่อยๆทยอยทิ่มพม่าไปเรื่อยๆ จนรัฐบาลพม่าแย่ จากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้นำ นางออง ซาน ซู จี ที่พวกตนเตรียมไว้ก็จะได้เข้าสู่อำนาจบริหาร

มหาอำนาจชาตินี้อยากได้พม่า เพราะว่าพม่าเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดทั้งอินเดียและจีน และก็ทั้งสองประเทศนี้นี่แหละ ที่มีศักยภาพซึ่งจะโตขึ้นไปเป็นมหาอำนาจแข่งกับสหรัฐอเมริกา ในอนาคต หากรัฐบาลพม่าอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยสหรัฐอเมริกาเมื่อใด จีนกับอินเดียก็จะเหนื่อยขึ้น"

เรียกว่ามองอเมริกาเป็น "ผู้ร้าย" ตลอดเวลา แม้แต่ความต้องการเข้ามาช่วยเหลือชาวพม่าที่ประสพภัยพิบัติจากพายุไซโคลนของอเมริกาครั้งนี้ก็ยังถูกนายนิติภูมิมองว่าเป็น "ผู้ร้ายในคราบนักบุญ" อีกเช่นเคย แต่ทรราชย์เสื้อเขียวอย่างตานฉ่วยและพวกนี่นิติภูมิกลับกล่าวปกป้องดั่งกับจงอางหวงไข่ มองว่าเป็น "รัฐบาลที่ห่วงใยประชาชนชาวพม่า" ไปได้ นี่คือการแสดงทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ที่บอกว่าเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยเพราะแนวความคิดของนิติภูมิ นวรัตน์ไม่สนับสนุน "ผู้นำ" ในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของชาวพม่าที่ทั่วโลกต่างให้เกียรติและยกย่องอย่างออง ซาน ซู จีก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของชาวพม่าแต่กลับพอใจกับการดำรงอยู่ของรัฐบาลทหารพม่าแทนเพียงเพราะเห็นว่าประเทศมหาอำนาจตะวันตกให้การสนับสนุนนางออง ซาน ซู จีเท่านั้น

นักคอลัมนิสต์ซ้ายตกขอบอย่างนิติภูมิที่เขียนบทความด้วยความเกลียดชังบังตาจึงเห็นความมั่นคงของรัฐบาลทหารพม่ามีความสำคัญอยู่เหนือชีวิตของเหยื่อนาร์กีสที่กำลังรอคอยความช่วยเหลือจากโลกภายนอกเป็นสำคัญ

ความช่วยเหลือจากประเทศตะวันตกและยูเอ็นซึ่งมีความพร้อมทั้งในเรื่องบุคคลากรและอุปกรณ์มากกว่าอาเซียนหลายเท่าที่ตั้งตาจะเข้าไปช่วยเหลือชีวิตของชาวพม่าที่กำลังรอความช่วยเหลืออยู่ เพราะช้าไปเพียงแม้แต่นาทีเดียวนั่นก็หมายถึงชีวิต ไม่ต้องไปพูดถึงเลยว่าเป็นสัปดาห์ ประเทศไทยที่เคยประสพกับคลื่นยักษ์สึนามิมาคงรู้ดีว่าการช่วยเหลือผู้ประสพภัยพิบัติให้ทันท่วงทีนั้นเป็นความหวังของประชาชนขนาดไหน ซึ่ง พตท. ทักษิณพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ารัฐบาลของประชาชนนั้นเห็นความเดือดร้อนของประชาชนสำคัญเพียงใดสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยแต่รัฐบาลทหารพม่าไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน พวกเผด็จการมันจึงไม่แคร์หรอกว่าประชาชนจะเดือดร้อนขนาดไหน ยังไงก็ต้องขอรักษาอำนาจของตนไว้ก่อนเป็นลำดับแรกโดยเอาเอาชีวิตประชาชนมาเป็นตัวประกันทางการเมือง

หากข้อเขียนของนิติภูมิเอาใจประชาชนชาวพม่าตาดำๆมาใส่ใจเราก็จะรู้ว่าพวกเขาโกรธเกรี้ยวต่อรัฐบาลของตัวเองขนาดไหนกับความช่วยเหลืออย่างล่าช้าเพราะเผด็จการมัวแต่ห่วงความมั่นคงของตนเอง จน Aung Zaw บรรณาธิการหนังสือพิมพ์อิระวดีของพม่าได้เขียนถึงความรู้สึกของพี่น้องชาวพม่าของเขาที่พม่าที่เขาได้มีโอกาสพูดคุยด้วยว่า ประชาชนชาวพม่ารู้สึกอยู่ 2 อย่าง คือ "first, they are angry at the military for reacting so slowly. and second, they are angry at the cyclone for missing Naypyidaw"

ไม่เห็นมีประชาชนพม่าคนไหนกลัวมหาอำนาจหรือฝรั่งตะวันตกอย่างที่นายนิติภูมิคิดกลัวแทนพวกเขาเลยพวกเขาเรียกร้องหาแต่ความช่วยเหลือในตอนนี้ ไม่สนทั้งสิ้นว่าจะมาจากไหน และโดยส่วนใหญ่แล้วคนพม่านั้นเขาขอบคุณอเมริกามากว่าใครเพื่อนโดยเฉพาะนางอองซาน ซู จี วีรสตรีคนกล้าของพม่าและเป็นผู้นำที่คนพม่ารักมากที่สุด มีแต่เผด็จการเท่านั้นที่หวาดวิตกจริตไปเอง มีแต่คนที่ชอบแบกเกี้ยวให้เผด็จนั่งอย่างนิติภูมิเท่านั้นที่คิดแทนคนพม่า บอกว่ามหาอำนาจชาตินี้อยากได้พม่า (ฮา)

นิติภูมิมองการเมืองระหว่างแบบมิติเดียวคือมองว่า อเมริกากับจีนต้องเป็นศัตรูกันเท่านั้น หาได้ตระหนักถึงความเป็นจริงที่ว่า อเมริกาและจีนต่างก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญต่อกันในปัจจุบัน บริษัทใหญ่ๆในประเทศจีน คนอเมริกันเป็นคนรันเสียส่วนใหญ่ บริษัทสัญชาติอเมริกันที่เข้าไปลงทุนในจีนก็เยอะมากอย่างจีเอ็ม หรือ เดล คอมพิวเตอร์ อเมริกาในตอนนี้จึงเหมือนกับญี่ปุ่นที่เคยเข้าไปลงทุนในอเมริกาช่วง 1980s ดังนั้นจีนได้คนรันธุรกิจคืออเมริกา พวกนี้เป็นพวกที่จะสร้างปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจในจีน เงินทุนคือจีนแต่มันสมองคืออเมริกัน

ยิ่งประเทศมีอัตราการเติบโตของแรงงานที่มีทักษะที่ใกล้เคียงกันหรือที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า“endowments” แล้วในทฤษฎีใหม่ของการค้าระหว่างประเทศ ยิ่งทำให้เกิดการเทรดสินค้าประเภทเดียวกันเกิดขึ้นแล้ว นั่นคือ specialized in similar products ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันนี้จะมีตลาดเฉพาะกลุ่มรองรับสินค้าก่อให้เกิดความหลากหลายทางการค้าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

นิติภูมิต้องย้อนไปดูสมัยเศรษฐกิจของยุโรปเริ่มฟื้นตัวหลังสงคราม การลงทุนของอเมริกาในจีนตอนนี้ก็เหมือนอเมริกาในยุโรปตอนนั้นคือช่วยให้ยุโรปยืนบนลำแข้งของตัวเองได้และทำให้ลักษณะเศรษฐกิจในยุโรปคล้ายอเมริกา อเมริกาสามารถทำให้ยุโรปวิ่งตามอเมริกาไม่ทันไปได้อีกนานหลังสงครามแต่อเมริกาไม่ทำเช่นเดียวกับที่อเมริกาไม่ทำกับญี่ปุ่น แต่อเมริกากลับเอ็นจอยในการเลือกที่จะพลิกให้ประเทศเหล่านี้มีศักยภาพในการผลิตสินค้าแบบเดียวกับที่อเมริกาผลิตได้ซึ่งได้รับ several billions of dollars จากการค้าระหว่างกันเป็นผลตอบแทนตามมา

ความคิดของนิติภูมิที่กลัวว่าอเมริกาจะเข้าไปยึดพม่าเพราะพม่ามีพรมแดนติดจีนและอินเดียซึ่งทั้งสองประเทศจะกลายเป็นมหาอำนาจต่อจากอเมริกาในอนาคตนั้นจึงเป็นความคิดที่ "ล้าหลัง" แถมขาดความเข้าใจในเวทีเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศอีกด้วย


-----------------

หลังสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เสร็จสิ้นการประชุมกลุ่มผู้บริจาคช่วยเหลือเหยื่อไซโคลน “นาร์กีส” ในพม่า รวบรวมเงินสัญญาว่าจะให้เพิ่มอีกเกือบ 50 ล้านดอลลาร์ ส่วนนาย บัน กี-มูน เลขาธิการยูเอ็น ผู้บินมาเยือนพม่าแค่ 2-3 วัน ก็ได้เครดิตงามๆ หลังกล่อมพลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วย ผู้นำสูงสุดรัฐบาลพม่า เปิดรับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเข้าพม่าทั้งหมด ทั้งๆที่คุยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ผิดกับแต่ก่อนที่แม้แต่โทรศัพท์ นายบันโทร.หากี่ทีๆ ตาน ฉ่วย ก็ยังไม่รับสาย

อาจเป็นเพราะเรื่องราวเดินทางมาถึงองศาเดือด พม่าถูกประชาคมโลกก่นด่าจนเละเทะ ไม่มีทางเลือกอื่น จำใจเปิดประเทศไม่งั้นจะโดนหนักกว่านี้ มิเช่นนั้นมีรึ? จะยอมง่ายๆขนาดนี้ หรือไม่ ก็อาจกลัวจะไม่ได้เงินช่วยจากชาติผู้บริจาค

ฟังดูเรื่องราวแล้วน่าจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง? แต่ช้าก่อน! มีผู้ตั้งคำถาม? น้ำคำผู้นำพม่าเชื่อได้ แค่ไหน? แต่รอดูอีกสักระยะก็น่าจะรู้กันล่ะว่า จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงจากสัญญาลมปากของผู้นำพม่า กี่มากน้อย ฟากหน่วยงานบรรเทาทุกข์ต่างชาติ ผู้รู้นอก รู้ใน เห็นไส้เห็นพุงเจ้าหน้าที่พม่าดียังไม่ปักใจเชื่อ? เพราะนับแต่เกิดพายุถล่ม พม่าปิดตายพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี ซึ่งเป็นพื้นที่เสียหายหนักสุด ใครก็เข้าไม่ได้ ขณะเดียวกันก็คุยมาตลอด “การช่วยเหลือ เหยื่อไซโคลนสมบูรณ์แบบและทันเวลา ไม่มีใครอด อยาก” อันผิดกับที่คนในพื้นที่และนักข่าวต่างชาติที่แอบเข้าไป แย้งกันชัดๆ คำอู้ผู้นำพม่า เชื่อบ่ได้กา! ผู้เดือดร้อนยังอดอยาก ไร้บ้าน อาหารไม่เพียงพอ แต่ละวันต้องมานั่งขอทานตามถนนใหญ่ขอของกินยาไส้ แล้วงี้จะว่าสุขสบายได้จะใดเล่า!

ข้อกังขาของเจ้าหน้าที่ต่างชาติใช่ว่าจะไกลเกินแกง เอ๊ย! เกินจริง ดูเอาเถอะแม้แต่เรือรบกองทัพสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และอังกฤษ ขนสิ่งของบรรเทาทุกข์ จอดลอยลำ รอพม่าไฟเขียวเข้าประเทศตั้งแต่เกิดพายุไม่นาน จนถึงป่านนี้ไฟจราจรของพม่าก็ยังขึ้น “สีแดง” จนฝรั่งเศสถอดใจ รอต่อไปคงเป็นหมัน! ว่าแล้วก็หันหัวเรือมาเทียบฝั่งไทย ส่งไม้ต่อให้โครงการอาหารโลก (WFP) ไปดำเนินการแทน

ความหวังช่วยเหลือเหยื่อพายุในพม่า นักวิเคราะห์หลายคนหรือแม้แต่นายบันก็ยังทำได้แค่หวังว่าพม่าจะรักษาคำพูดบ้างเท่านั้นแหละ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น! ความหวังของผู้รอดชีวิตจากพายุในพม่ากว่า 2.5 ล้านคนจึงจะเรืองรองขึ้นมาได้ ผิดกับการช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหวในจีน ไม่มีใครตั้งคำถามเพราะเป็นไปอย่างรวดเร็วและทันกาล ก็มีพม่านี่แหละที่ต้องช่วยกันลุ้นเหนื่อยทั้งโลก.

เกรียงศักดิ์ จุนโนนยาง

ไทยรัฐ


โอบามาคว้าชัยที่นอร์ทแคโรไลนาส่วนคลินตันเก็บคะแนนที่อินเดียน่าได้อย่างเฉียดฉิว

โอบามา-คลินตันชนะคนละรัฐฝ่ายหลังสู้ต่อ [8 พ.ค. 51 - 05:33]

ผลการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อเลือกตัวแทนพรรคเดโมแครตเข้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างนายบารัก โอบามา ส.ว.อิลลินอยส์ กับนางฮิลลารี คลินตัน ส.ว.นิวยอร์ก ยังดำเนินอย่างเข้มข้น โดยการเลือกตั้งขั้นต้นแบบไพรมารีที่รัฐอินเดียนา และนอร์ทแคโรไลนา เมื่อ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า นายโอบามาคว้าชัยในรัฐนอร์ทแคโรไลนาด้วยคะแนน 56-42 ขณะที่นางคลินตันได้รับชัยชนะในรัฐอินเดียนาแบบเฉียดฉิวด้วยคะแนน 51-49 ทำให้ขณะนี้ นายโอบามาสะสมจำนวนผู้แทนเลือกตั้ง หรือเดเลเกต 1,842 คน ในจำนวนนี้ รวมซุปเปอร์เดเลเกต หรือผู้แทนพิเศษ 257 คน ขณะที่นางคลินตันมีเดเลเกต 1,692 คน รวมซุปเปอร์เดเลเกต 271 คน

การเลือกตั้งที่เพิ่งเสร็จสิ้นลงใน 2 รัฐ ชี้ให้เห็นว่านางคลินตันเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะนอกจากจะพ่ายแพ้ในรัฐใหญ่แล้ว ชัยชนะที่เธอได้รับในรัฐอินเดียนาก็เป็นไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ตามกติกาของพรรคเดโมแครต ผู้สมัครที่มีเดเลเกตสะสม 2,025 คน จะได้เป็นตัวแทนพรรคไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับตัวแทนพรรครีพับลิกัน ซึ่งขณะนี้ นายโอบามาเหลือจำนวนเดเลเกตอีกเพียง 183 คน ก็จะครบ ทำให้เขามั่นใจว่าการแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนพรรคระหว่างเขากับนางคลินตันจะยุติในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตาม นางคลินตันประกาศสู้ ไม่ถอยโดยตั้งเป้าจะทำคะแนนจากซุปเปอร์เดเลเกต ทั้งนี้ ทั้งคู่ยังเหลืออีก 6 สนาม ที่จะชิงชัยกัน รัฐต่อไปที่จะมีการสัประยุทธ์คือ เวสต์เวอร์จิเนีย วันที่ 13 พ.ค.


ถนนสู่ทำเนียบขาว 2008: ชัยชนะที่งดงามของฮิลลารีที่เพนซิลเวเนียบ่งบอกอะไรบ้าง?

ก็เป็นว่าในที่สุดฮิลลารี รอดแฮม คลินตันสามารถคว้าชัยเหนือบารัค โอบามา วุฒิสมาชิกหนุ่มจากรัฐอิลลินอยส์ในการหยั่งเสียงไพรมารี ที่รัฐเพนซิลวาเนียได้เป็นผลสำเร็จด้วยคะแนนเสียง 55 % ต่อ 45 % ตัวเลขนี้ถือเป็นชัยชัยชนะที่สวยสดงดงามของเธอ ที่บอกว่าสวยสดงดงามเพราะเธอสามารถเอาชนะโอบามาแบบทิ้งห่างด้วยคะแนนเป็นตัวเลขสองหลัก คือ 10 % ซึ่งมีนัยยะสำคัญทั้งในด้านคะแนน popular vote เป็นการลดแรงกดดันจากเสียงเรียกร้องให้เธอถอนตัวออกจากการแข่งขันและเป็นการสร้างแรงกดดันไปยังคณะตัวแทนระดับสูงของพรรค (superdelegates) ที่มีโอกาสสูงว่าจะเป็นผู้ชี้ขาดในการประชุมใหญ่ของพรรคที่เดนเวอร์ว่าเธอหรือโอบามา ใครจะถูกส่งไปเป็นตัวแทนพรรคเข้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้

ชัยชนะครั้งนี้ของฮิลลารีทำให้เธอได้เดลิเกตส์ไป 81 แต้มส่วนโอบามาได้ไป 72 แต้มรวมคะแนนเดลิเกตส์ล่าสุดในตอนนี้ทั้งโอบามาและฮิลลารีเก็บคะแนนเดลิเกตส์ไปแล้ว 1719 และ 1586 คะแนนตามลำดับโดยโอบามายังนำฮิลลารีอยู่ 133 แต้ม

แล้วผลการหยั่งเสียงขั้นต้นแบบไพรมารีที่เพนซิลเวเนียบ่งบอกอะไรบ้าง?

ประการแรก ผลการหยั่งเสียงที่ออกมาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าเรื่องประชากรศาสตร์ (demographics) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุ เพศ สีผิว ศาสนา อาชีพ ระดับการศึกษายังเล่นเป็นบทเด่นสำหรับการแข่งขันของพรรคเดโมแครต ทั้งๆที่ค่ายของโอบามาทุ่มทุนหมดเงินไปเยอะกับการรณรงค์หาเสียงครั้งนี้ที่เพนซิลเวเนีย เขาใช้เงินมากกว่าฮิลลารี่คิดเป็นสัดส่วนถึง 3 ต่อ 1 ผลการเลือกตั้งที่ออกมาหากมองในแง่ของประชากรศาสตร์ ลักษณะการลงคะแนนเสียงของผู้ลงคะแนนเสียงในเพนซิลเวเนียไม่แตกต่างจากพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงในโอไฮโอ นั่นคือ

ในด้านอายุนั้นคนที่อายุ 65 ปีหรือมากกว่ามีถึงร้อยละ 60 ที่เลือกฮิลลารี เหมือนไพรมารีที่โอไฮโอก่อนหน้านี้ที่ผู้สูงอายุกว่า 75 เปอเซ็นต์เทคะแนนเสียงให้กับฮิลลารี

ในด้านเพศและสีผิว ฮิลลารี่ได้เสียงจากสตรีผิวขาวมากถึง 65 % ผู้ชายผิวขาว 55 % ส่วนโอบามายังคงได้รับคะแนนเสียงจากอาฟริกัน-อเมริกันไปอย่างท่วมท้นเช่นเคยเหมือนกับทุกรัฐที่ผ่านมาที่เขาได้คะแนนจากอเมริกันผิวดำมากกว่า 70 % เทียบกับคนผิวขาวที่เลือกฮิลลารี่แล้วคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่าอเมริกันผิวดำเลือกโอบามามาก

ผู้เขียนจึงไม่เคยเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “คนอเมริกันยังไงก็ไม่ยอมรับประธานาธิบดีผิวดำเพราะอเมริกายังเหยียดผิวอยู่” แน่นอนว่าการเหยียดผิวในอเมริกานั้นยังมีอยู่จริงแต่ก็น้อยลงไปมากอย่างเทียบไม่ได้ในอดีต และในปัจจุบันคนผิวดำก็มีสิทธิมีเสียงหรืออาจมีสิทธิพิเศษมากกว่าคนผิวขาวในบางเรื่องเสียด้วยซ้ำ การเหยียดผิว(racial discrimination)ในอเมริกาถือเป็นเรื่องผิดกฏหมาย หากอเมริกันยังนิยมการเหยียดผิวอยู่เราคงไม่ได้เห็น กฏหมายที่ห้ามการเหยียดผิวออกมา เราคงไม่ได้เห็น African-Americans ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ผู้ว่าการรัฐทั้งในรัฐทางเหนือและทางใต้ หรือในระดับชาติอย่างผู้พิพากษาศาลฏีกา สมาชิกชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิกและในคณะรัฐมนตรี

และทีสำคัญเราคงไม่ได้เห็นโอบามามาถึงจุดนี้หากไม่ได้รับคะแนนเสียงจากคนผิวขาวด้วยโดยเฉพาะกลุ่มคนผิวขาวการศึกษาสูงที่เป็นฐานเสียงอันเหนียวแน่นของโอบามา

ในทางตรงกันข้ามคำพูดที่ไม่ระมัดระวังของโอบามาที่ออกมาในเชิงดูหมิ่นคนถ้องถิ่น(ประกอบด้วยคนผิวขาวเป็นส่วนใหญ่) ระหว่างปราศรัยหาเสียงว่า

residents of small towns in Pennsylvania and elsewhere are bitter because of job
losses, and so have turned to traditions like guns, religion and anti-immigrant
sentiment.

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆในเพนซิลเวเนียและที่อื่นๆกำลังแสดงออกอย่างเคียดแค้นขมขื่นเพราะตกงานเลยต้องหันไปพึ่งพาวัฒนธรรมแบบเดิมๆอย่างปืนและศาสนาและแสดงการต่อต้านผู้อพยพเข้าเมือง


ซึ่งคำพูดนี้ทำให้คนผิวขาวท้องถิ่นคนหนึ่งเปรยความรู้สึกออกมาว่าโอบามากำลังบอกพวกเขาว่า ประชาชนอ่อนแอ โง่และซื่อและต้องใช้หนทางศาสนาเพื่อเป็นแนวทางในการผ่านอุปสรรค คำพูดของโอบามาไม่ได้ช่วยตัวเขาเองเลย ซึ่งก็จริงตามคำพูดของเขาเพราะฮิลลารี่ได้คะแนนเสียงจากคนที่เป็นคาทอลิคกว่า 75 %

ส่วนในกลุ่มผู้มีการศึกษาระดับวิทยาลัย-มหาวิทยาลัยนั้น โอบามาทำได้ดีกว่าคลินตันเพียงเพียงเล็กน้อย ซึ่งโอบาบาต้องการคะแนนเสียงในคนกลุ่มนี้มากหากเขาต้องการเอาชนะความได้เปรียบของคลินตันเพราะฐานเสียงสำคัญของโอบามานอกจากอาฟริกัน-อเมริกันแล้วก็คือกลุ่มคนผิวขาวการศึกษาสูงนั่นเองที่ทำให้เขาได้รับชัยชนะในการหยั่งเสียงไพรมารี่ที่ผ่านมา

ฮิลลารีเอาชนะโอบามาได้ในครั้งนี้เพราะเธอมีฐานเสียงที่เหนียวแน่นในกลุ่มผู้หญิงผิวขาว กลุ่ม working-class voters และกลุ่มผู้ชายผิวขาวนั่นเอง

จะว่าไปแล้วโอบามาเองไม่ใช่คนผิวดำร้อยเปอร์เซ็นต์เสียทีเดียวเพราะแม่ของเขาก็เป็นคนผิวขาว โอบามาคือลูกครึ่งระหว่างคนขาวกับคนดำและที่สำคัญการที่เขามาถึงจุดนี้ได้ต้องบอกว่าเพราะแม่และตากับยายที่เป็นคนผิวขาวนั่นเองที่ฟูมฟักเลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดี ส่งเสริมด้านการศึกษา ตั้งแต่เด็กก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่แพงที่สุดในฮาวายจนเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย

ประการที่สอง เป็นชัยชนะด้านจิตวิทยาที่ยิ่งใหญ่ของฮิลลารี เพราะชัยชนะอย่างงดงามเท่านั้นที่จะสร้างพลังกระตุ้นอย่างแรงไปยังการหยั่งเสียงขั้นต้นครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นพร้อมกันที่อินเดียนา และนอร์ธ โคโรไลนาในวันที่ 6 พฤษภาคมที่จะถึงนี้

แต่ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถกวาดชัยชนะในสนามนี้ได้ก็ไม่ได้ส่งผลทำให้เธอพลิกกลับมาได้เปรียบโอบามาในเรื่องของจำนวนเดลิเกตส์แต่อย่างใด เพราะระบบคิดคะแนนของพรรคเดโมแครตเป็นระบบสัดส่วน จำนวนคณะผู้เลือกตั้งจะถูกจัดสรรตามสัดส่วนคะแนนที่ผู้สมัครแต่ละคนได้มา

ประการที่สาม ชัยชนะที่งดงามของเธอที่เพนซิลวาเนียจะยังคงได้รับการพูดถึงตามสื่อและหน้าหนังสือพิมพ์ไปตลอดทั้งสัปดาห์ นานเพียงพอจนถึงการหยั่งเสียงขั้นต้นที่อินเดียน่า ซึ่งตอนนี้เธอก็ได้รับการคาดหมายว่ามีโอกาสชนะที่อินเดียน่าด้วย แต่การได้แต้มเดลิเกตส์เพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อยคงไม่สร้างความแตกต่างอะไรมากนัก เพราะโอบามาก็ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นฝ่ายคว้าชัยที่นอร์ธ แคโรไลนาซึ่งเป็นสนามการแข่งขันที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสนามแข่งขันที่เหลือทั้งหมด 9 สนาม

ประการที่สี่ ชัยชนะที่เพนซิลเวเนียในครั้งนี้ทำให้ฮิลลารีซึงเป็นรองโอบามาอยู่ในส่วนของคะแนน popular vote ตีตื้นคะแนนขึ้นมาอีกระดับหนึ่งโดยในตอนนี้ฮิลลารียังมีคะแนน popular vote ตามโอบามาอยู่ 500,000 คะแนน แต่ที่จะส่งผลในด้านจิตวิทยาสร้างแรงกดดันไปยังคณะตัวแทนระดับสูงของพรรค (superdelegates) ให้วางตัวเป็นกลางไปก่อนขณะที่การแข่งขันยังไม่จบโดยขณะนี้จากการรายงานของแอสโซซิเอท เพรส ฮิลลารีมีคะแนน superdelegates นำโอบามาอยู่ 259 ต่อ 235 แต้ม โดยยังมีจำนวน superdelegates ถึง 301 เสียงที่ยังไม่ได้รับรองผู้สมัครคนใด

ซึ่ง democratic party insiders หรือ superdelegates นี้มีโอกาสสูงว่าจะเป็นผู้มีบทบาทในการชี้ขาดในการประชุมใหญ่ของพรรคที่เดนเวอร์ว่าใครคือผู้สมัครของพรรคในการเข้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้ เนื่องจากทั้งคลินตันและโอบามา ต่างก็ไม่มีใครที่จะได้คะแนนในส่วนของคณะตัวแทนเลือกตั้ง (delegates) ได้ถึง 2,025 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนชี้ขาดสำหรับผู้ชนะการหยั่งเสียงเลือกตั้งขั้นต้น


FTA สหรัฐ-โคลัมเบียลุ้นเข้าเส้นชัย "บุช" รอคองเกรสพิจารณา 90 วัน

ภายในเวลา 90 วันนับตั้งแต่วันที่ทำเนียบขาวส่งมอบข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้า หรือเอฟทีเอ สหรัฐ-โคลัมเบีย สู่การพิจารณาของสภาคองเกรสว่าเห็นชอบหรือไม่ สำหรับให้ฝ่ายบริหารไปลงสัตยาบันยอมรับข้อผูกพันกับคู่เจรจา

นับเป็นเวลาช่วงระทึกขวัญสำหรับทำเนียบขาวและ ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่ต้องการสร้างสัมพันธ์ทางการเมืองผ่านความร่วมมือทางการค้ากับประเทศที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาในแถบตอนใต้ หรือที่เรียกกันว่าหลังบ้านของสหรัฐ เนื่องจากจุดยืนของฝ่ายข้างมากในคองเกรสกลับมาอยู่ในกลุ่มของสมาชิกพรรคเดโมแครต ซึ่งรู้กันดีว่าคัดค้านการค้าเสรีที่เปิดตลาดให้กับชาวต่างชาติอย่างชัดเจน

เหตุผลที่เดโมแครตมักนำมาอ้างถึงเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นในเรื่องนี้ คือ เรื่องการแย่งงานชาวอเมริกันจาก คนต่างชาติ เช่น ในกรณีนาฟต้า หรือ เขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ ที่ทำกับแคนาดาและเม็กซิโก ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งย้ายฐานการผลิต ไปในเม็กซิโกที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า ส่งผลให้คนงานในโรงงานที่เป็นชาวอเมริกันหลายแสนคนตกงาน ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือปัญหาที่ถ่างกว้างของช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน ที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าที่ไม่เท่าเทียมกัน

แต่อย่างไรก็ตามข้อตกลงการค้าฉบับนี้เป็นอีกหนึ่งความพยายามของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีบุชที่ต้องการ ผลักดันยุทธศาสตร์การเปิดตลาดเสรีแบบทวิภาคี เพื่อสร้างประโยชน์ทางการค้าให้กับสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้า

ภายใต้ข้อตกลงกับโคลัมเบีย สิ่งที่มิตรประเทศของสหรัฐต้องดำเนินการ ตามข้อตกลง คือ การเปิดตลาดสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม และบริการให้กับบริษัทสหรัฐ ขณะที่สหรัฐแลกเปลี่ยนด้วยการตัดลดภาษีให้กับสินค้าสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ดอกไม้ และสินค้าอื่นๆ

โดยรายงานข่าวจากเดอะ วอลล์สตรีต เจอร์นัล ตั้งข้อสังเกตว่า ภายใต้การทำข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้ากับสหรัฐเกือบทุกฉบับ ประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าย่อมต้องยอมรับเงื่อนไขที่มากกว่าในเรื่องการตัดลดภาษี แต่ขณะเดียวกันประเทศเหล่านี้ก็จะมีความหวังจากการทำข้อตกลงด้วยการได้รับเงินลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นเป็น การตอบแทน

เช่น กรณีของโคลัมเบีย ซึ่งมีมูลค่า การค้าร่วมกับสหรัฐเมื่อปี 2550 เพียง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งนับว่าน้อยกว่า 1% ของการค้าของสหรัฐทั้งหมด และที่ผ่านมาสินค้าสหรัฐกับโคลัมเบียค้าขายกันมากที่สุด คือ สหรัฐส่งออกข้าวสาลี ข้าวโพด และสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ ขณะที่โคลัมเบียส่งออกสินค้าเกษตร อาทิ ผลไม้ กาแฟ รวมถึงถ่านหิน สิ่งทอ และอื่นๆ ไปยังสหรัฐ

นอกจากนี้การลงนามและผลการพิจารณาจากคองเกรสในกรณีเอฟทีเอสหรัฐ-โคลัมเบีย ยังเป็นที่สนใจของคู่เจรจาเอฟทีเอรายอื่นๆ ของสหรัฐด้วย ยิ่งในเอเชียทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นต่างติดตาม การเคลื่อนไหวของคองเกรสอย่างใกล้ชิด

เนื่องจากในกรณีเกาหลีใต้ ได้เจรจาและลงนามรับข้อตกลงเอฟทีเอเกาหลีใต้-สหรัฐเรียบร้อยแล้ว แต่ยังต้องรอการพิจารณาจากคองเกรสเพื่อให้รัฐบาลให้สัตยาบันข้อตกลงจึงจะมีผลบังคับใช้ได้ ดังนั้น ความคืบหน้าของเอฟทีเอสหรัฐ-โคลัมเบียจึงเป็นตัวบ่งชี้ถึงทิศทางของคองเกรสในกรณีเอฟทีเอเกาหลีใต้-สหรัฐด้วย

ด้านญี่ปุ่น เหตุผลของการติดตามความเคลื่อนไหวครั้งนี้ เนื่องจากญี่ปุ่นมีความหวั่นเกรงถึงการเสียเปรียบในการแข่งขันอยู่มาก หากเอฟทีเอเกาหลีใต้-สหรัฐมีผลบังคับใช้

อย่างไรก็ตามในสหรัฐเอง ข้อถกเถียงเรื่องการเปิดตลาดเสรีนั้นยังอยู่ในแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐและชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต นับ ตั้งแต่ นายบารัก โอบามา และ นางฮิลลารี คลินตัน ประกาศจะยกเลิกข้อตกลงใน นาฟต้า หากประเทศคู่ค้าซึ่งได้แก่แคนาดาและเม็กซิโกไม่ยอมกลับมาทบทวนข้อตกลงนาฟต้า ในระหว่างที่บุคคลทั้งสองชิงเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคในการหยั่งเสียงเลือกตั้งที่รัฐไอโอวา เมื่อ ม.ค.ที่ผ่านมา

หรือในกรณี นายจอห์น แมคเคน ตัวแทนพรรครีพับลิกัน เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 44 เสนอให้ เจรจาทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพยุโรป ในระหว่างการหาเสียงเมื่อเดือนที่แล้วด้วย

แมคเคนกล่าวว่า การทำข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้าระหว่างสหรัฐและสหภาพยุโรปย่อมเป็นเรื่องดีที่น่าจะเกิดขึ้น และ น่าจะเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ทั้งนี้ปัจจุบันสหรัฐและสหภาพยุโรปต่างเก็บภาษีสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมจากสองฝ่ายที่ต่ำอยู่แล้ว และทั้งสองฝ่ายยังได้มีความประสงค์ริเริ่มขจัดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำการค้าร่วมกันด้วย

อย่างไรก็ตามความพยายามจะนำพาเศรษฐกิจของประเทศเดินผ่านไปด้วยการเปิดตลาดและลดอุปสรรคทางภาษี ในขณะที่การเจรจาการค้ารอบโดฮาในองค์การการค้าโลกยังไม่มีข้อสรุปในเร็ววัน การเดินหน้าทำข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคี (เอฟทีเอ) จึงเป็นสิ่งที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับประเทศเล็กอาจต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่นเพื่อประกอบการตัดสินใจต่อไป

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ


"แบร์ลูสโคนี"กลับเข้ารับตำแหน่งนายกฯเป็นครั้งที่สาม

มหาเศรษฐีเจ้าพ่อสื่อผงาดกลับเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่สาม หลังชนะการเลือกตั้ง


(15ตปท.) ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย และมหาเศรษฐีเจ้าพ่อสื่อสารมวลชนผู้ยึดนโยบายอนุรักษ์นิยม วัย 71 ปี ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นสองวันจนถึงเมื่อวานนี้ หลังคู่แข่งคนสำคัญ-อดีตนายกรัฐเทศมนตรีกรุงโรมหัวกลางซ้าย วอลเตอร์ เวลโตรนี่ ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ พร้อมประกาศยินดีทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้านเพื่อเดินหน้านโยบายปฏิรูป ทั้งยังได้บอกกับตัวเองว่า หลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาจะไม่เข้านอนหากยังไม่ได้สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว

ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ พบว่า พรรคของแบร์ลูสโคนีได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนเหนือพรรคคู่แข่ง ได้ครองที่นั่งข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยในส่วนของสภาผู้แทนราษฎร พรรคของแบร์ลูสโคนีชนะไป 46.5 ต่อ 37.8% ส่วนการเลือกตั้งวุฒิสภา ชนะไป 47.2 ต่อ 38.1%

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้จัดขึ้นเร็วกว่ากำหนดถึง 3 ปี จากการล่มสลายก่อนถึงเวลาอันควรของรัฐบาลปีกซ้ายของนายโรมาโน่ โพรดิ หลังบริหารประเทศไม่ถึง 2 ปี และชัยชนะครั้งนี้จะทำให้แบร์ลูสโคนีได้กลับเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่สาม หลังก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองเมื่อ 14 ปีก่อน

รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเผชิญกับปัญหามากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเศรษฐกิจรวมถึงอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่าอัตราเติบโตเศรษฐกิจของอิตาลี ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของโลกในปีนี้ จะอยู่ที่ 0.3% เทียบกับ 1.4%ของ 15 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร นอกจากนี้อิตาลียังมีปัญหาเงินเฟ้อ,งบประมาณขาดดุล รวมถึงการถดถอยของความสามารถในการแข่งขันและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ที่มา: คม ชัด ลึก